ไซโควิปลาส

กระทู้สนทนา
.


             ผมนั่งแทะเล็มความคิดของตัวเองด้วยความรู้สึกแปร่งปร่า ความคิดรสชาติไม่อร่อยเท่าที่ควรทั้งที่วานนี้ยังแซบนัวอร่อยสมองอยู่แท้ๆ ผมนั่งประจำเก้าอี้หินอ่อนใต้ร่มเงาของหลังคารอรถประจำทางเช่นเคย เป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้วกับการมาบรรจุตัวเองลงในช่องว่างของผู้คนแถวป้ายรถเมล์

             เปล่า... ผมไม่ได้คิดจะวิ่ง  เดิน หรือคลาน ขึ้นรถเมล์สายไหนทั้งนั้น เพราะผมมีนิสัยแสนดีอย่างหนึ่งที่ยากจะมีใครเสมอเหมือน นั่นคือนิสัย ‘เอ้อละเหยอ้อยอิ่ง’  นั่นเอง  ความฝันสูงสุดคือวันหนึ่งในอนาคตกาล จะมีโอกาส เอ้อระเหยอ้อยอิ่งลอยชาย ขึ้นรถเมล์สาย 666  ที่รอแล้วรออีกก็ไม่ยอมมาให้สัมผัสสายตาสักที

             ชีวิตผู้คนมากมายหลายหลากแถวป้ายเมล์ สนุกยิ่งกว่าการพันธนาการตัวเองอยู่กับเทพเจ้าสี่เหลี่ยม ซึ่งผู้คนยอมรับนับถือกันทั้งโลก ยิ่งระยะนี้มีแต่ข่าวหวยสามบาทที่สร้างหลายคนโด่งดังทางลบ ราวดารา จนจะอ้วกออกมาเป็นตัวเลขอยู่แล้ว  สู้มารับชมชีวิตจริงๆไม่ได้ ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างมีศิลปะ เพียงแต่จะเป็นศิลปะแขนงไหนแบบไหนเท่านั้น มีให้ชมไม่ซ้ำเรื่อง อย่างเช่น เจ้าหนุ่มหน้ามลผู้กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหญิงสาวแต่งตัวดีนั่งเชิดหน้าอยู่บนม้าหินอ่อนด้านข้าง ชายหนุ่มมีสีหน้าราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังเดินทางมาถึง แววตาท่าทางเต็มไปด้วยความทุกข์ร้าวเหลือคณา ไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น นอกจากหญิงสาวเลอโฉมเบื้องหน้า

             “ได้โปรดเถอะที่รัก....” เขาเอ่ยขณะสายตาเต็มไปด้วยแววเว้าวอน  “ได้โปรดยอมรับเสียทีเถอะว่า ลูกในท้องของคุณเป็นลูกของผม  โปรดเถิดดวงใจ โปรดได้ฟังเพลงนี่ก๊อน....”

             “เชอะ...”  หญิงสาวสะบัดหน้าไม่แม้แต่จะชายตามองลง  “คุณกล้าดียังไงมาแอบอ้าง ว่าลูกในท้องเป็นลูกของคุณ ทั้งที่คืนนั้นฉันเผลอกายใจไปกับพวกผู้ชายห้าคนเท่านั้น มีหลักฐานอะไรมาคุกเข่ายัน  อย่ามาหาเรื่องให้สังคมตราหน้าฉันว่าท้องมีพ่อเลย เสียชื่อวงค์ตระกูลฉันหมด เชอะ....ผู้ชายอะไรหน้าไม่อาย มาขี้ตู่ว่าเป็นลูกตัวเอง คำว่าลูกผู้ชายหายไปไหน เชอะ... แน่จริงคุณต้องปฏิเสธสิว่าไม่ใช่ลูกคุณจึงจะถูก เป็นตัวอย่างที่ดีต่อสังคม คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ เชอะ...อย่าแถ..อย่าแถกับฟ้านะคะ”

             “อย่างน้อยคุณก็น่าจะลองไปตรวจดีเอนเอดูนะครับ เอามาเทียบกันดู แล้วความจริงจะประจักษ์ว่าเป็นลูกของผมจริงแท้แน่นอน  เพราะเพื่อนผมทั้งสี่คนทำหมันกันหมดทุกคนแล้วครับ ได้โปรด นึกว่าสงสารลูกผู้ชายตาดำๆ ผู้แสนจะน่าสงสาร”

             “เชอะ...ไม่มีทางเสียล่ะ ฝันไปเถอะ คนอะไรหน้าไม่อาย กิ้วๆ”

             พูดจบเธอก็ผลุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นรถซาเล้งคนหนึ่งวิ่งมาจอดหน้าป้ายรถเมล์อย่างนิ่มนวลเต็มเปี่ยมไปด้วยมารยาทอันดีงาม  ก้าวเท้าขึ้นไปนั่งไขว่ห้างอย่างมาดเท่ แล้วซาเล้งราคาแพงก็วิ่งออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มที่เคราะห์ร้ายนั่งร้องไห้คร่ำครวญอย่างร้าวราน กลั่นกรองออกมาเป็นเสียงเพลงแสนเศร้า

             “ช่างร้ายเหลือ.....ช่างร้ายเหลือ.....ช่างร้ายเหลือทน  คนอะไร ไล่ควายไปนา....ช่างหลายเหลือดี ภูตผี ตนใดสิงใจเธอนั่น.”

             นี่ล่ะชีวิต...อะไรก็เป็นไปได้  ผู้คนสังเกตว่าไม่ค่อยมีใครสนใจกับเหตการณ์นี้เลย เพราะต่างกำลังจ้องมองใบหน้าของเทพสี่เหลี่ยมในมือกันทั้งนั้น ราวกับว่าเป็นเครื่องมือไขปริศนาความลับทั้งหลายของจักวาล  ขณะนั้นเอง เด็กช่างกลสองสถาบันสองกลุ่มพากันเดินตรงมายังป้ายรถเมล์ มาจากคนละทาง กลุ่มละสี่ห้าคน แต่ละคนมีอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ติดตัวกันมาเต็มไปหมดยิ่งกว่าทหารจะออกรบ

             ตายละหวา....ผมนึกในใจ  มีหวังตีกันเละแน่  เพราะเห็นข่าวทางทีวีมานับครั้งไม่ถ้วน ว่าสองสถาบันนี้เจอกันเป็นไม่ได้ ต้องแหลกกันไปข้างหนึ่ง  แต่แล้วสิ่งไม่น่าเชื่อก็ปรากฏต่อหน้า เด็กหนุ่มทั้งสองกลุ่มเดินตรงมาทักทายจับไม้จับมือพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ราวกับสนิทสนมกันมานาน

             “พวกนายไม่เปลี่ยนใจแค่นะครับ”  เด็กหนุ่มท่าทางเป็นแกนนำคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสุภาพ  อีกฝ่ายหัวเราะอย่างสุภาพเช่นกัน ตอบอย่างสุภาพว่า

             “ไม่เปลี่ยนใจครับ พวกเราคนจะไปกับพวกคุณ เพื่อลงสนามพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พวกเรายินดีจะอุทิศชีวิตเลือดเนื้อในการปกป้องประเทศชาติ ใช้ความรู้ของพวกเราตรวจหาวัตถุระเบิด ออกลาดตระเวณไปกับเหล่าตำรวจทหาร  เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองปกป้องดุแลผู้บริสุทธิ์และไม่บริสุทธ์  จะเสียเลือดเนื้อทั้งทีต้องให้มีความหมาย ไม่ใช่มาไล่ฆ่ากันไปวันๆ เสียชื่อเด็กช่างกลหมดนะครับ”

             ทุกคนยื่นมือเกาะกุมกันราวเป็นพันธะสัญญาใจในการสละความสุขส่วนตัวเพื่อประเทศชาติ ผมมองแล้วน้ำตาซึม  ทำไมเรื่องจริงมันต่างจากข่าวสารแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า

             “นั่นไง  พาหนะพวกเรามาพอดี”

             ใครคนหนึ่งหันไปมองถนนแล้วชี้มืออย่างสุภาพ   ขบวนรถเมอเตอรไซด์เด็กแว้นกลุ่มหนึ่งจำนวนสิบกว่าคัน พากันวิ่งมาอย่างสุภาพและเคารพกฏจราจร  ไม่มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเพราะรถทุกคันติดท่อเก็บเสียง จอดเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ

             “รีบไปกันเลยครับ พวกเราแกงค์เด็กแว้นจะร่วมไปลุยกับพวกคุณด้วย”

             เด็กช่างกลทั้งหลายพากันร้องเพลงปลุกใจกันอย่างอาจหาญ พากันขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์กันอย่างไม่รีรอลังเล กับการออกภาคสนามสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หัวใจพวกเขายิ่งใหญ่เสียนี่กระไร ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว


             หลังจากกระบวนรถแว้นเพื่อชาติพากันวิ่งออกไป  รถมเมล์ปรับอากาศคันหนึ่งวิ่งมาจอดเทียบท่าอย่างนิ่มนวล ประตูรถเปิดกว้างพร้อมกับพนักงานเก็บเงินหรือที่เรียกกันว่ากระเป๋ารถเมล์โผล่ออกมา ร้องบอกว่า

             “ได้โปรดเถอะครับ ขณะนี้รถของเรายังมีที่ว่างอยู่หลายสิบที่เลยครับ ได้โปรดให้เกียรติใช้บริการของพวกเราด้วยครับ  อากาศเย็นสบายชื่นใจ ที่นั่งเหลือเฟือ คนขับและกระเป๋ารูปหล่อ มีน้ำเย็นและขนมแจกฟรีทุกที่นั่ง ตั๋วรถเมล์สามารถส่งไปชิงโชครถเก๋งคันงามได้ ขอเชิญทุกท่านใช้บริการด้วยเกิดครับ รับรองความปลอดภัย รถของเราติดกระจกกันกระสุน ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันหลังคาจะเปิดออก เก้าอี้จะดีดตัวลอยไปในอากาศ พร้อมร่มชูชีพลอยลงพื้นอย่างประทับใจ กราบเรียนเชิญทุกท่านครับ”

             ผู้คนพากันส่ายหน้า ทำเอาพนักงานหนุ่มรูปหล่อมีสีหน้าผิดหวังจนจะร้องให้  แต่แล้วก็มีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งควงแขนกันเดินขึ้นไป ทำให้ใบหน้าของพนักงานประจำรถแช่มชื่นขึ้นมาทันที

             “โอ...สวรรค์เมตตาแล้ว ฝันที่เป็นจริง ขอบคุณท่านทั้งสองด้วยครับ ชาตินี้พวกเราจะไม่ลืมพระคุณท่านเลย  ทางเรายินดีจะลดราคาลงครี่งหนึ่งในฐานะที่ท่านเป็นลูกค้าคนที่หนึ่งร้อยของวันนี้นะครับ สองคนถือว่าหนึ่งใจ และรับคูปองขึ้นรถฟรีทุกสายได้เป็นเวลา หนึ่งเดือน”

             รถเมล์วิ่งออกไปพร้อมกับความรู้สึกดีๆ ล้นปรี่เกินหัวใจ

             ขณะนั้นเอง มีสองแม่ลูกคู่หนึ่งเดินมาบริเวณป้ายรถเมล์ ดูเหมือนจะมีการอ้อนวอนร้องขอปฏิเสธอะไรกันไปด้วย

             “ไม่ค่ะแม่  หนูไม่เอาโทรศัพท์รุ่นราคาแพงแบบนี้ แม่เอาไปคืนเถอะค่ะ”  เสียงลูกสาววัยเรียนมัธยมต้นพูดอย่างสิ้นเยื่อขาดใย  “โทรศัพท์อันเดิมหนูก็มีอยู่แล้ว ยังใช้งานได้ดีนะคะ”

             “แต่นั่นมันล้าสมัยแล้วนะลูก  เล่นเน็ตเล่นไลน์ก็ไม่ได้ ดูหนังฟังเพลงก็ไม่ได้ มันจะมีประโยชน์อะไรจ๊ะลูก”

             “โทรศัพท์หน้าที่ของมันคือพูดคุยสื่อสารนะคะ หนูไม่เล่นไลน์ไม่เล่นอะไรทั้งนั้น  หนูจะเอาเวลามาเรียนหนังสือ”

             “ได้โปรดเถอะลูกรัก”   ผู้เป็นแม่ยังไม่ละความพยายาม  “สมัยนี้เด็กๆเขาต้องเล่นไลน์เล่นเน็ตกันในเวลาเรียนจนปกติอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันโลกนะลูก แล้วเกิดหนุ่มๆจะสนใจเขาก็หมดโอกาสนะจ๊ะ สมัยนี้เขาจีบกันผ่านทางเฟสทางไลน์กันหมดแล้ว ไม่มีใครเขียนจดหมายบรรยายรักกันหรอกลูก”

             “ไม่ค่ะ ยังไงก็ไม่”

             “โธ่...”

             ไม่ค่ะ”

             “มีคุณทูนหัวของแม่ รับไปเถอะ”

             “ไม่ๆๆๆๆๆๆๆ...และไม่ค่ะ”

             อะไรกันนักหนา ผมเริ่มรู้สึกรำคาญจึงลุกขึ้นทำท่าจะเดินหนี  แต่รู้สึกว่ามีคนคว้าแขนเอาไว้ หันไปมองพบว่าเป็นหญิงสาวสวยแต่งตัวด้วยชุดขาวสะอาดสะอ้านไปทั้งตัว ผมจ้องมองอย่างไม่แน่ใจว่าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า

             “คุณคะ”   เธอมองหน้าแล้วยิ้มหวานเสียงหวาน  “เรามาเป็นแฟนกันดีกว่านะคะ

             “เฮ้ย...”   ผมตกใจผวาถอยหลังแต่เธอยังไม่ยอมปล่อยแขน   “ผมไม่รู้จักคุณมาก่อน คุณเป็นใครกันครับ”

             “เป็นคนที่หลงรักคุณยังไงคะ  เรามาเป็นแฟนกันดีกว่าค่ะ”

             ไม่มีทางหรอก  ผมพยายามหาทางเอาตัวรอด คนอะไรไม่รู้ จู่ๆ มาขอเป็นแฟนหน้าตาเฉยราวกับเห็นผมเป็นดอกไม้ริมทาง จะเด็ดจะดมจะชมจะเชยเล่นเมื่อไรก็ได้ ทำราวกับว่าผมเป็นวัตถุเอาหยิบจะฉวยกันง่ายๆ ใช้ได้ที่ไหน... ผมก็ลูกมีพ่อมีแม่เหมือนกัน จะรักจะชอบกันก็ต้องเข้าตามตรอกออกทางหน้าต่าง มาสารภาพรักกันแบบนี้ไม่ไหวแน่  เห็นเราเป็นอะไร ถึงมาลวนลามจับไม้จับมือกันกลางที่สาธารณะชน จะมากเกินไปแล้ว

             “ช่วยด้วย”

             ผมสะบัดแขนสุดแรงแล้วออกวิ่งหนีแบบสุดชีวิต วิ่งแบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง เตลิดไปให้ไกลแสนไกล หางตายังรู้สึกคล้ายเห็นเธอกำลังวิ่งตามมาติดๆ จะจริงหรือเปล่าไม่มีเวลาดูให้ชัดเจน วิ่งผ่านเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ทะลุออกมาอีกด้านเป็นตลาดสด  ความเหน็ดเหนื่อจากการวิ่งทำให้ต้องหลบวูบแอบบริเวณข้างแฝงขายปลาสด แม่ค้ามองอย่างแปลกใจแต่ไม่ว่าอะไรเพราะผมไม่มีทีท่าจะขอซื้อปลา จึงไม่ให้ความสนใจ

             เกือบไปแล้วไหมล่ะ...  ผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้

             “จ๊ะเอ๋....มาแอบอยู่นี่เอง”

             เสียงหวานๆ ดังมาจากข้างหลังผมใจหายวาบ หันไปมองแบบไม่รู้ตัว เธอนั่นเองยืนชดช้อยยิ้มหวานตาเป็นประกายวับวาม ไม่ต้องรอให้เสียเวลา ผมกระโจนสุดตัวออกวิ่งแตลิดเปิดเบิงสุดกำลังอีกครั้ง แต่ให้ตายเถอะ  เธอดูเหมือนจะปรากฏกายทุกครั้งเมื่อผมลดฝีเท้าลง บางครั้งอยู่ท่ามกลางฝูงชน บางครั้งยืนมองลงมาจากสะพานลอย บางครั้งดักอยู่บริเวณมุมตึก

             สติสัมปชัญญะของผมดับวูบลง  หลังเห็นใบหน้าเธอลอยเต็มความรู้สึกเป็นครั้งสุดท้าย



-----------


             “คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ”

             “ฉีดยาให้แล้วค่ะ อยู่ดีๆ อาการก็กำเริบ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เห็นหน้าพยาบาลแล้ววิ่งหนีไปรอบตึก กว่าจะจับตัวได้ก็ทำเอาเหนื่อยเลยค่ะ”

             “อ้อ ครับ   พักนี้อากาศเริ่มร้อน ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะครับ”




จบแล้วเด้อครับ
ขอบคุณทุกท่าน ที่แวะมาเยือนครับ
หัวเราะหัวเราะดอกไม้ดอกไม้จุ๊บๆจุ๊บๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่