Miss Stevens
มันเรียบง่ายแต่มีพลัง
-หนังดีอีกเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่มันดูง่าย ย่อยง่าย เสพแล้วอิ่ม อกอิ่มใจมากขนาดนี้
-หนังเล่าถึงครูสาวสตีเว่นที่ต้องพานักเรียนสามคนไปแข่งการแสดงเป็นเวลา 3วัน เธอและเด็กๆ ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างกลับไปจากทริปสามวันนี้
-แค่สามวันจริงๆ กับเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งของหนัง และเราไม่อยากจะเชื่อว่าด้วยการถ่ายทอดตัวละครทั้งสี่ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ ตัวหนังสามารถที่จะถ่ายทอดสตอรี่ของตัวละครออกมาได้ทั้งหมด เราได้เห็นถึงพัฒนาการ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของคนทั้งสี่ ในความรู้สึกเราเราว่ามัน deep มากๆ
-หนังเล่าเรื่องผ่านตัวครูสตีเว่นที่ต้องรับผิดชอบเด็กทั้งสาม ตอนแรกคิดว่าจะเป็นแบบหนัง coming of age วัยรุ่นนะ แต่เปล่าเลย มันทำให้เรารู้ว่าการก้าวผ่านพ้นวัยเนี่ยมันไม่ได้เกิดขึ้นในเฉพาะวัยรุ่นจริงๆ พอถึงจุดๆ นึง หรือสถานการณ์นึงมันก็จะมีจุดที่เราเติบโตขึ้นจากตัวเราคนเดิม
-เราได้เห็นตัวละครทุกตัวเติบโตขึ้นผ่านสถานการณ์ที่พาพวกเค้าออกจากจุดที่ยืนอยู่ สิ่งที่เจ๋งมากๆ คือหนังสามารถพาเราเดินก้าวผ่านจุดนั้นไปพร้อมๆ กับตัวละครได้อย่างสำเร็จ
-บทเจ๋งมาก ทั้งๆ ที่หนังไม่ได้พยายามยัดเยียดอะไรมากให้ เล่าเรียบๆ เนือยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มีความหวือหวาอะไร แต่เรากลับละสายตาไปไม่ได้ มันมีอะไรบางอย่างที่ดึงเราเอาไว้ บทพูด ตัวละคร มันคือ real situation ที่ทำให้เราอินไปกับตัวหนังได้อย่างไม่ต้องเล่นมากเล่นใหญ่อะไร เป็นความน้อยแต่มากที่เพอร์เฟคลงตัวสุดๆ
-หนึ่งในตัวละครหลักนอกจากครูสตีเว่นแล้วก็ยังมีบิลลี่ เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้า เค้าแอบชอบครูสตีเว่นอยู่ สิ่งนึงที่ชอบมากๆ คือการที่หนังไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวของครูกับบิลลี่ เราสัมผัสได้ถึงความรักความเป็นห่วงของนักเรียนคนนึงที่เห็นครูของตัวเองอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่เศร้า หดหู่ใจจากอดีต เลยอยากเป็นคนที่จะดูแลและมอบความสุขให้ กับความรักของครูต่อนักเรียนที่ถึงแม้จะรู้ว่าเด็กคิดกับเธอมากเกินกว่ามี่ควร แต่เธอก็ยังอยู่ข้างๆ ยังอยากให้เค้าได้พบเจอสิ่งที่ดี ดูแล้วอบอุ่นใจ รู้สึกว่าประเด็นตรงนี้หนังถ่ายทอดออกมาได้ดีจริงๆ มันโรมแมนติกแต่ไม่หวือหวา
-เรียกได้ว่าหนังใช้ใจแลกใจเลยแหละ Julia Hart เขียนและถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามจริงๆ คนดูอย่างเราคือให้ใจกับ Miss Stevens ไปทั้งดวงแล้ว
-สิ่งที่อดชื่นชมไม่ได้คือนักแสดง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แต่เราหลงรักหนุ่ม Timothee ไปซะแล้ว ช่วงนี้เจอหน้ากันบ่อยมาก5555 ทั้ง call me by your name และ lady bird (อ่านรีวิว lady bird ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/justasuckreviewer/posts/2104897409741735 ) ทุกอย่างที่เป็นทิโมธีเหมือนหลุมพรางขนาดใหญ่ที่พาเราตกลงไปตลอด คือเล่นดีมาก เรารู้สึกว่าเรื่องนี้เราเห็นบิลลี่มากกว่าตัวทิโมธี ทุกท่าทาง การพูด เราดูออกว่าเค้าคิดอะไร เค้ารู้สึกอะไร เชื่อว่าซึมเศร้าจริง ซีนโกรธ ซีนเศร้า ซีนโรแมนซ์คือมันออกมาดีซะจนต้องยอมใจ ผ่านทางสายตาปรือๆ นั่นแต่กลับรับรู้ถึงสิ่งเค้าส่งต่อมาให้ทั้งหมด เชียร์ให้ได้ออสการ์อยู่นะจ๊ะ ❤️
-ตัดจบได้สมบูรณ์แบบจริงๆ เหมือนกับว่าหลังจากที่เด็กๆ ทั้งสามคนก้าวผ่านประสบการณ์ตลอดสามวัน รวมถึงตัวครูสตีเว่นเองด้วย หนังไม่ได้บอกว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง ความสัมพันธ์ของบิลลี่กับครูจะดีเหมือนเดิมมั้ย? หรือว่าครูจะหายจากอาการเศร้ารึเปล่า? อยู่ที่ว่าคนที่ได้ผ่านพ้นตรงนั้นมาแล้วรวมถึงคนดูอย่างเราจะคิดยังไงต่อไป (บิลลี่ทิ้งท้ายให้ครูสตีเว่นคือสุดยอดของสุดยอดมากๆ ฟังปุ๊บคืออารมณ์ตีกันปั๊บ ได้แต่ยิ้มอ่อนให้เหมือนที่ครูทำ)
สรุปว่าคอหนังดราม่าควรตำจริงๆ คือมันได้เยอะมาก ตลกบ้าง เศร้าบ้าง โรแมนซ์บ้าง รวมถึงอารมณ์ที่เรียกได้ว่าสามารถสัมผัสตรงนั้นได้อย่างลึกสุดๆ ถ่ายทอดออกมาได้งดงามเว่อ มุมกล้องก็สวย เด็ดดวงสุดคือเพลงเพราะๆ อย่าง sister golden hair ที่โผล่ขึ้นมาในเรื่องในจังหวะที่โคตรเป๊ะ อะไรมันจะลงตัวขนาดนี้❤️
9/10
แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
------------------------------
ถ้าชอบการรีวิวครั้งนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องหนังๆ พร้อมกับดูรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่เลย
เพจ แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
https://m.facebook.com/justasuckreviewer/?locale2=th_TH
[CR] Miss Stevens : หนังที่เป็นสมบัติล้ำค่าชัดๆ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเลย
มันเรียบง่ายแต่มีพลัง
-หนังดีอีกเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่มันดูง่าย ย่อยง่าย เสพแล้วอิ่ม อกอิ่มใจมากขนาดนี้
-หนังเล่าถึงครูสาวสตีเว่นที่ต้องพานักเรียนสามคนไปแข่งการแสดงเป็นเวลา 3วัน เธอและเด็กๆ ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างกลับไปจากทริปสามวันนี้
-แค่สามวันจริงๆ กับเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งของหนัง และเราไม่อยากจะเชื่อว่าด้วยการถ่ายทอดตัวละครทั้งสี่ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ ตัวหนังสามารถที่จะถ่ายทอดสตอรี่ของตัวละครออกมาได้ทั้งหมด เราได้เห็นถึงพัฒนาการ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของคนทั้งสี่ ในความรู้สึกเราเราว่ามัน deep มากๆ
-หนังเล่าเรื่องผ่านตัวครูสตีเว่นที่ต้องรับผิดชอบเด็กทั้งสาม ตอนแรกคิดว่าจะเป็นแบบหนัง coming of age วัยรุ่นนะ แต่เปล่าเลย มันทำให้เรารู้ว่าการก้าวผ่านพ้นวัยเนี่ยมันไม่ได้เกิดขึ้นในเฉพาะวัยรุ่นจริงๆ พอถึงจุดๆ นึง หรือสถานการณ์นึงมันก็จะมีจุดที่เราเติบโตขึ้นจากตัวเราคนเดิม
-เราได้เห็นตัวละครทุกตัวเติบโตขึ้นผ่านสถานการณ์ที่พาพวกเค้าออกจากจุดที่ยืนอยู่ สิ่งที่เจ๋งมากๆ คือหนังสามารถพาเราเดินก้าวผ่านจุดนั้นไปพร้อมๆ กับตัวละครได้อย่างสำเร็จ
-บทเจ๋งมาก ทั้งๆ ที่หนังไม่ได้พยายามยัดเยียดอะไรมากให้ เล่าเรียบๆ เนือยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มีความหวือหวาอะไร แต่เรากลับละสายตาไปไม่ได้ มันมีอะไรบางอย่างที่ดึงเราเอาไว้ บทพูด ตัวละคร มันคือ real situation ที่ทำให้เราอินไปกับตัวหนังได้อย่างไม่ต้องเล่นมากเล่นใหญ่อะไร เป็นความน้อยแต่มากที่เพอร์เฟคลงตัวสุดๆ
-หนึ่งในตัวละครหลักนอกจากครูสตีเว่นแล้วก็ยังมีบิลลี่ เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้า เค้าแอบชอบครูสตีเว่นอยู่ สิ่งนึงที่ชอบมากๆ คือการที่หนังไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวของครูกับบิลลี่ เราสัมผัสได้ถึงความรักความเป็นห่วงของนักเรียนคนนึงที่เห็นครูของตัวเองอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่เศร้า หดหู่ใจจากอดีต เลยอยากเป็นคนที่จะดูแลและมอบความสุขให้ กับความรักของครูต่อนักเรียนที่ถึงแม้จะรู้ว่าเด็กคิดกับเธอมากเกินกว่ามี่ควร แต่เธอก็ยังอยู่ข้างๆ ยังอยากให้เค้าได้พบเจอสิ่งที่ดี ดูแล้วอบอุ่นใจ รู้สึกว่าประเด็นตรงนี้หนังถ่ายทอดออกมาได้ดีจริงๆ มันโรมแมนติกแต่ไม่หวือหวา
-เรียกได้ว่าหนังใช้ใจแลกใจเลยแหละ Julia Hart เขียนและถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามจริงๆ คนดูอย่างเราคือให้ใจกับ Miss Stevens ไปทั้งดวงแล้ว
-สิ่งที่อดชื่นชมไม่ได้คือนักแสดง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แต่เราหลงรักหนุ่ม Timothee ไปซะแล้ว ช่วงนี้เจอหน้ากันบ่อยมาก5555 ทั้ง call me by your name และ lady bird (อ่านรีวิว lady bird ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/justasuckreviewer/posts/2104897409741735 ) ทุกอย่างที่เป็นทิโมธีเหมือนหลุมพรางขนาดใหญ่ที่พาเราตกลงไปตลอด คือเล่นดีมาก เรารู้สึกว่าเรื่องนี้เราเห็นบิลลี่มากกว่าตัวทิโมธี ทุกท่าทาง การพูด เราดูออกว่าเค้าคิดอะไร เค้ารู้สึกอะไร เชื่อว่าซึมเศร้าจริง ซีนโกรธ ซีนเศร้า ซีนโรแมนซ์คือมันออกมาดีซะจนต้องยอมใจ ผ่านทางสายตาปรือๆ นั่นแต่กลับรับรู้ถึงสิ่งเค้าส่งต่อมาให้ทั้งหมด เชียร์ให้ได้ออสการ์อยู่นะจ๊ะ ❤️
-ตัดจบได้สมบูรณ์แบบจริงๆ เหมือนกับว่าหลังจากที่เด็กๆ ทั้งสามคนก้าวผ่านประสบการณ์ตลอดสามวัน รวมถึงตัวครูสตีเว่นเองด้วย หนังไม่ได้บอกว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง ความสัมพันธ์ของบิลลี่กับครูจะดีเหมือนเดิมมั้ย? หรือว่าครูจะหายจากอาการเศร้ารึเปล่า? อยู่ที่ว่าคนที่ได้ผ่านพ้นตรงนั้นมาแล้วรวมถึงคนดูอย่างเราจะคิดยังไงต่อไป (บิลลี่ทิ้งท้ายให้ครูสตีเว่นคือสุดยอดของสุดยอดมากๆ ฟังปุ๊บคืออารมณ์ตีกันปั๊บ ได้แต่ยิ้มอ่อนให้เหมือนที่ครูทำ)
สรุปว่าคอหนังดราม่าควรตำจริงๆ คือมันได้เยอะมาก ตลกบ้าง เศร้าบ้าง โรแมนซ์บ้าง รวมถึงอารมณ์ที่เรียกได้ว่าสามารถสัมผัสตรงนั้นได้อย่างลึกสุดๆ ถ่ายทอดออกมาได้งดงามเว่อ มุมกล้องก็สวย เด็ดดวงสุดคือเพลงเพราะๆ อย่าง sister golden hair ที่โผล่ขึ้นมาในเรื่องในจังหวะที่โคตรเป๊ะ อะไรมันจะลงตัวขนาดนี้❤️
9/10
แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
------------------------------
ถ้าชอบการรีวิวครั้งนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องหนังๆ พร้อมกับดูรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่เลย
เพจ แค่นักวิจารณ์หนังกากๆ คนหนึ่ง
https://m.facebook.com/justasuckreviewer/?locale2=th_TH