นิทานชาวสวน
๓. ภัยสงคราม
พ.สมานคุรุกรรม
เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๓ ผมยังอยู่ที่บ้านตรอกข้างโรงเรียนนายร้อยทหารบก ริมถนนราชดำเนินนอก ทางราชการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก ๑ เมษายน เป็น ๑ มกราคม และเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นต้นไป
พอมาถึงเดือน ธันวาคม ๒๔๘๓ สงครามอินโดจีนเพิ่งยุติใหม่ ๆ โดยเราแทบจะไม่รู้เรื่องเลย นอกจากเคยอาศัยนั่งรถสามล้อถีบ เข้าขบวนเรียกร้องดินแดนภาคบูรพา คืนจากฝรั่งเศส
แล้วก็มีการเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ยึดได้ จากข้าศึกในสงครามนั้น รวมทั้งธงไชยเฉลิมพลของกองพันทหารฝรั่งเศส มาตั้งอวดที่สนามหลวง เท่านั้น เมื่อเปลี่ยน วันขึ้นปีใหม่ เดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ๒๔๘๓ ก็หายไปสามเดือน เพราะไปเป็น พ.ศ.๒๔๘๔ เสียแล้ว
ผมจึงมีอายุครบ ๙ ขวบอยู่เพียง ๙ เดือนเท่านั้น ก็เป็น ๑๐ ขวบเลย แล้วจึงย้ายจากบ้านเก่ามาอยู่ที่สวนอ้อย และย้ายจากโรงเรียนดำเนินศึกษา มาเข้าโรงเรียนมัธยมวัดราชาธิวาส ในชั้นมัธยมปีที่ ๒ เปิดเรียนเมื่อเดือน พฤษภาคม ๒๔๘๔
เราเด็ก ๆ ชาวสวนอ้อยกำลังสนุกสนานกัยอยู่ดี ๆ อย่างที่เล่ามาแล้ว พอถึงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นก็ยกกองทัพเข้าประเทศไทยมาขอเป็นมิตร ร่วมวงไพบูลย์ด้วย ประเทศไทยได้ต่อต้านไม่กี่ชั่วโมงก็ตกลงร่วมเป็นมิตกัน
โดยยอมให้กองทัพญี่ปุ่นยาตราผ่านไทย ไปรบกับอังกฤษ ประเทศมาลายู ทางตืจรดสิงคโปร์ และไปรบกับอังกฤษที่ประเทศพม่าทางตะวันตก โดยมีการโฆษณาว่า ได้ถล่มกองทัพอเมริกาที่อ่าวเพิลฮาร์เบอร์ วอดวายไปหมดสิ้นแล้ว ญี่ปุ่นจึงเป็นเจ้าของมหาสมุทร และท้องฟ้าอากาศ ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด
เราเด็ก ๆ ก็ไม่รู้ว่าสงครามจริง ๆ เป็นอย่างไร เห็นแต่ทหารญี่ปุ่นเต็มกรุงเทพ และพอขึ้นชั้นเรียนใหม่ พฤษภาคม ๒๔๘๕ ก็ไม่มีการสอบ เลื่อนได้หมดทุกคน เรียกว่าโตโจสงเคราะห์ เพราะ โตโจ เป็นชื่อของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เราก็เฮกันเท่านั้น
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 (พ.ศ.๒๔๘๒) เมื่อ เยอรมนีและสโลวาเกีย เริ่มการรุกรานโปแลนด์ ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และบรรดาประเทศในครือจักรภพแห่งชาติ ประกาศสงครามกับเยอรมนี
ขณะนั้นผมเพิ่งมีอายุได้ ๘ ขวบ และสงครามนั้นได้ลุกลามมาถึงประเทศไทย เมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ผมก็มีอายุได้ ๑๐ ขวบกว่า ย้ายบ้านจากตรอกโรงเรียนนายร้อย ถนนราชดำเนินนอก มาอยู่ที่ซอยสวนอ้อย หน้าวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ได้ไม่กี่เดือน
เมื่อจะรำลึกถึงอดีตในสมัยนั้น ก็เป็นการยากที่จะจำได้อย่างละเอียดลออ จึงต้องอาศัยบันทึกเหตุการณ์ประจำวันของแม่ ซึ่งเป็นครูโรงเรียนปัญญานิธิ ที่เป็นโรงเรียนราษฎร์ ตั้งอยู่ที่ถนนพะเนียง นางเลิ้ง เป็นหลักฐาน
แล้วจึงค่อยทวนความทรงจำ ถึงเรื่องราวที่ได้พบเห็นในสายตาของเด็ก อายุ ๑๐ – ๑๔ ปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ – ๒๔๘๘ เท่าที่พอจะนึกออก แต่ก็จะไม่อาศัยหนังสือที่ผู้อื่นเขียน หรือที่ได้เรียบเรียงไว้หลายเล่มในช่วงหลังสงคราม มาปะปนหรือสอดแทรกให้น่าเชื่อถือ คงไว้แต่เรื่องที่ตนเองรู้เห็น หรือจดจำไว้ได้เท่านั้น
ดังนั้นจึงต้องอาศัยบันทึกของแม่ ตั้งแต่วันแรกเริ่มของสงครามทีเดียว ท่านเขียนไว้ว่า
บัดนี้เหตุการณ์ที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้น ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับประเทศอังกฤษ และประเทศอเมริกาแล้ว แต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ และทหารญี่ปุ่นได้มาขึ้นบกที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี และจังหวัดพิบูลสงครามของไทย เมื่อเวลา ๖.๐๐ น. ของวันที่ ๘ ธันว์ ทหารไทยได้ต่อต้านปะทะกับทหารญี่ปุ่นอย่างสมเกียรติ ข่าวนี้ประกาศทางวิทยุของไทยในวันนี้ และมีประกาศอื่น ๆ อีกตลอดวัน
๑. ประกาศควบคุมแสงไฟ
๒. ประกาศใช้เสียงหวูดหรือไซเรน
๓. ประกาศงดงานฉลองรัฐธรรมนูญ
๔. ประกาศงดการหยุดในงานฉลองรัฐธรรมนูยของข้าราชการ
๕. ประกาศให้ราษฎรเตรียมน้ำเตรียมไฟไว้ในเวลาฉุกเฉิน อาจจะไม่มีใช้
ตอนบ่ายวันนี้รัฐบาลได้ประกาศว่า การที่ทหารไทยได้ปะทะกับทหารญี่ปุ่นเป็นเวลา ๕ ชั่วโมงเศษนั้น ได้ยุติลงแล้ว โดยทูตญี่ปุ่นได้มาเจรจากับท่านนายกว่า กองทหารญี่ปุ่นขอผ่านทางเดินในดินแดนของไทย แต่มิได้ถือว่าไทยเป็นศัตรูของญี่ปุ่น และญี่ปุ่นจะเคารพต่อความเป็นเอกราชของไทย รัฐบาลได้ตกลงยินยอมให้กองทัพผ่านไป
นั่นคือฉากแรกในวันแรก ที่เงาของสงคราม ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า สงครามมหาเอเชียบูรพา ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งนำความลำบากยากแค้นมาให้ประชาชนคนไทย ที่กำลังชื่นชมกับชัยชนะในกรณีพิพาทกับ อินโดจีนของฝรั่งเศส จนได้ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงมาอยู่ในอธิปไตยของประเทศไทยเมื่อต้นปี
แต่คราวนี้เป็นสงครามใหญ่ระดับโลก ซึ่งแตกต่างกันราวกับฟ้าดิน ซึ่งคนไทยทุกคนไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้เลย.
เริ่มแรกก็คือการพรางไฟ ซึ่งไฟฟ้าทุกดวงในบ้านต้องเอาผ้าสีน้ำเงินมาหุ้มโป๊ะไฟโดยรอบ ให้แสงไฟส่องตรงลงมาอย่างเดียว ไม่กระจายออกไปนอกห้องหรือนอกบ้าน ไฟฟ้าที่อยู่นอกบ้านจะต้องเลิกเปิด อย่างเด็ดขาด
เวลากลางคืนสายตรวจของตำรวจ ที่ต้องเดินเท้าเพราะยังไม่มีรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ใช้ พบว่ามีบ้านไหนมีแสงไฟลอดออกมา ก็จะตักเตือนทันที เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันภัยทางอากาศ โดยได้เริ่มมีการซ้อมป้องกันภัย หรือที่เรียกย่อว่า ซ.ป.อ.หลายครั้ง ให้ประชาชน ได้รู้จักสัญญาณมีภัยทางอากาศ
โดยจะเปิดไซเรนจากโรงงาน หรือหอสัญญาณที่ทางการติดตั้งใหม่ ซึ่งส่วนมากจะอยู่ในวัด เสียงนั้นดังเป็นห้วง ๆ เหมือนเสียงสัญญาณของรถดับเพลิง และสัญญาณปลอดภัย ที่เป็นเสียงลากยาวท่อนเดียวตั้งแต่เริ่มจนจบ โดยที่รถดับเพลิงสมัยนั้น กลับไปใช้เสียงรัวระฆังแบบโบราณ สมัยที่รถดับเพลิงยังลากด้วยม้านั่นเอง
วันต่อมาก็เป็นการประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ ซึ่งทำให้รัฐบาลซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นทหาร ได้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดต่อไปในยามสงคราม เช่นห้ามไม่ให้เปิดรับวิทยุต่างประเทศ ให้มีเสียงดังได้ยินไปถึงบ้านคนอื่น เมื่อฟังแล้วไม่ให้นำข่าวนั้นไปเผยแพร่แก่คนอื่น
ให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ทำมาหากินไปตามปกติ ส่วนคนที่แตกตื่นอพยพออกจากบ้านเรือนไปนั้น ก็ให้กลับมายังถิ่นฐานบ้านเรือนของตนตามเดิม เหตุการณ์ทั่วไปก็ยังเป็นปกติอยู่ต่อมา นอกจากจะมีการส่งกองทหารผ่าน ไปทางทิศใต้ของประเทศไทยเท่านั้น แม้ราคาเครื่องอุปโภคบริโภคในตลาดจะสูงขึ้นบ้าง ก็ยังไม่เป็นที่เดือดร้อนเท่าไร
ถึงวันขึ้นปีใหม่ มกราคม ๒๔๘๕ ซึ่งต้องงดการจัดงานปีใหม่ นอกจากการตักบาตรที่ท้องสนามหลวง แต่มีการปราศรัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไทย และ พลเอก โตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นทางวิทยุกระจายเสียง จากโตเกียวและพระนคร กับเพิ่มรายการภาษามาลายู ภาษาพม่า และภาษอินเดีย ขึ้นจากรายการปกติด้วย
จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๕ ชาวพระนครจึงประสบกับภาวะสงครามเป็นครั้งแรก จากบันทึกของแม่ เขียนไว้ว่า
ประมาณเวลา ๔ นาฬิกา เสียงระเบิดลูกแรกทำให้สะดุ้งตื่น พอลุกขึ้นนั่งก็ได้ยินเสียงหวูดอันตราย พร้อมกับเสียงระเบิด บึ้ม ๆ ๆ ๆ อีก ๖ ครั้ง (คนในบ้านเปิดประตูห้องนอน ออกมาดูที่นอกชาน) ก็เห็นเรือบินข้าศึกเปิดไฟแดง
ทุกคนต่างเข้าใจว่าเรือบินของไทยขึ้นต่อสู้ เพราะเห็นยิงปืนกลด้วย เงียบไปสักครู่ก็บินกลับมาอีก เสียง ป.ต.อ. ยิงขับไล่กับเสียงระเบิดปนคละกันไป ไฟฉายส่องจับเห็นเรือบิน แต่ไม่ได้ถูกยิง แล้วเงียบไป เวลา ๕ นาฬิกาครึ่ง หวูดหมดอันตรายจึงดังขึ้น ต่างเข้าครัวหุงข้าวกินโดยไม่ได้นอนอีก นับเป็นประวัติการณ์ครั้งแรก ของกรุงเทพมหานคร
ขณะนั้นทั้งบ้านมีผู้อาศัยอยู่ห้าคน คือ น้าและพี่สาว ลูกของน้าซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน แม่และผมกับน้องสาว เป็นผู้อาศัย มีผู้ชายแต่ผมคนเดียวอายุเพิ่งจะ ๑๑ ขวบ แม่ได้บันทึกเหตุการณ์ในวันรุ่งขึ้นไว้อย่างละเอียดยิบ
ผลเสียหายฝ่ายเรามีดังนี้
๑. ฝั่งธนบุรี บ้านเอกชนหลังหนึ่งถูกทำลาย
๒. เยาวราช ตึกแถวใกล้เจ็ดชั้นทลายและไฟไหม้
๓. หัวลำโพง โรงรับจำนำและโรงแรมทลาย
๔. วัดตะเคียน เพลิงไหม้ไม้กระดาน
๕. บางรัก ไปรษณีย์กลางไม่เป็นอันตราย เพราะลูกระเบิดด้าน แต่ถูกโรงพยาบาล และบ้าน ร้านขายรองเท้า และ โรงเรียนอัสสัมชัญ
๖. ริมคลองหลอด เขื่อนพังเล็กน้อย กระทรวงมหาดไทยเสียหายห้องหนึ่ง
รวมทั้งหมดคนบาดเจ็บ ๑๑๒ คน เสียชีวิต ๓๑ คน โดยมากเป็นจีนและแขก
เช้าวันพฤหัสที่ ๘ นี้ ตามถนนหนทางช่างมีคนเดินไปมามากเหลือเกิน รถรางรถเมล์ ก็เต็มไปด้วยคนโดยสารจนแน่นขนัด รถจักรยาน (สามล้อถีบ) ก็ขึ้นราคาเป็นสองเท่า ทั้งนี้เพราะบ้างก็อพยพ บ้างก็จะไปดูสถานที่ถูกระเบิด บ้างก็จะไปเยี่ยมญาติที่บาดเจ็บ บ้างก็จะไปทำราชการ บ้างก็จะไปโรงเรียน เมื่อขึ้นรถไม่ได้ต่างก็เดินกันไป
เมื่อถึงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๔๘๕ แม่ก็บันทึกต่อว่า วันนี้กระทรวงศึกษาธิการ มีคำสั่งถึงโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วไป ใจความว่า
ปีนี้ไม่มีการสอบไล่ แต่ให้ตัดสินโดยถือเกณฑ์เวลามาเรียนร้อยละ ๖๐ เป็นสอบได้ และให้ปิดโรงเรียน จนกว่าจะสั่งให้เปิด คือปิดตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๔๘๕ เป็นต้นไป
วันเสาร์ที่ ๒๔ มกร ๘๕ วันนี้เวลา ๒๐.๓๐ น. ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นแต่ไกล แล้วหวูดอันตรายจึงดังขึ้น เงียบอยู่ประมาณ ๒๐ นาที เครื่องบินก็มาปรากฏในพระนคร เสียงระเบิดอีก ๒ ครั้ง และเสียงปืนยิงหลายนัด แล้วมีเสียงไชโยทั่วไปทุกถนน เพราะยินดีที่เห็นเครื่องข้าศึกถูกปืน เงียบไปสักสิบนาที เครื่องบินก็ผ่านมาอีก เสียงปืนยิงอีก แล้วก็เงียบไปอีก ๒๐ นาที เครื่องบินก็ผ่านมาอีกเป็นครั้งที่สาม แล้วเงียบเลย เวลา ๒๒ น.จึงเปิดหวูดหมดอันตราย
วันอาทิตย์ ๒๕ มกร ๘๕ เช้าวันนี้ได้ความว่า เมื่อคืนนี้มีเครื่องบินข้าศึกมารบกวนพระนคร ๒ เครื่อง ถูกยิงตก ๑ เครื่อง ที่ตำบลตลาดพลูฝั่งธน อีก ๑ เครื่องก็เสียหาย อาจไม่ได้กลับถึงฐานทัพ ฝ่ายเราเสียหายคือ
๑. ตลาดชูชีพที่เชิงสะพานกษัตริย์ศึก ถูกระเบิดทำลาย ตลาดนี้เป็นของเจ้าพระยาธรรมาฯ ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันศุกร์ พอเสาร์ก็ถูกระเบิดตลาดพัง
๒. ตึกแถวของเจ้าพระยาธรรมาฯ ซึ่งอยู่หน้าบ้านของท่าน ริมสะพานกษัตริย์ศึก
๓. วัดเลียบ ไม่เป็นอันตราย
ส่วนเครื่องบินข้าศึกที่ตกนั้น นักบินตายหมด เพราะเครื่องบินระเบิด ร่างกายไม่มีชิ้นดี เรื่องนี้ผมได้อ่านหนังสือสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต แต่งขยายความอย่างสนุกสนาน.
#############
ภัยสงคราม ๒ มี.ค.๖๑
๓. ภัยสงคราม
พ.สมานคุรุกรรม
เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๓ ผมยังอยู่ที่บ้านตรอกข้างโรงเรียนนายร้อยทหารบก ริมถนนราชดำเนินนอก ทางราชการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จาก ๑ เมษายน เป็น ๑ มกราคม และเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นต้นไป
พอมาถึงเดือน ธันวาคม ๒๔๘๓ สงครามอินโดจีนเพิ่งยุติใหม่ ๆ โดยเราแทบจะไม่รู้เรื่องเลย นอกจากเคยอาศัยนั่งรถสามล้อถีบ เข้าขบวนเรียกร้องดินแดนภาคบูรพา คืนจากฝรั่งเศส
แล้วก็มีการเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ยึดได้ จากข้าศึกในสงครามนั้น รวมทั้งธงไชยเฉลิมพลของกองพันทหารฝรั่งเศส มาตั้งอวดที่สนามหลวง เท่านั้น เมื่อเปลี่ยน วันขึ้นปีใหม่ เดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ๒๔๘๓ ก็หายไปสามเดือน เพราะไปเป็น พ.ศ.๒๔๘๔ เสียแล้ว
ผมจึงมีอายุครบ ๙ ขวบอยู่เพียง ๙ เดือนเท่านั้น ก็เป็น ๑๐ ขวบเลย แล้วจึงย้ายจากบ้านเก่ามาอยู่ที่สวนอ้อย และย้ายจากโรงเรียนดำเนินศึกษา มาเข้าโรงเรียนมัธยมวัดราชาธิวาส ในชั้นมัธยมปีที่ ๒ เปิดเรียนเมื่อเดือน พฤษภาคม ๒๔๘๔
เราเด็ก ๆ ชาวสวนอ้อยกำลังสนุกสนานกัยอยู่ดี ๆ อย่างที่เล่ามาแล้ว พอถึงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นก็ยกกองทัพเข้าประเทศไทยมาขอเป็นมิตร ร่วมวงไพบูลย์ด้วย ประเทศไทยได้ต่อต้านไม่กี่ชั่วโมงก็ตกลงร่วมเป็นมิตกัน
โดยยอมให้กองทัพญี่ปุ่นยาตราผ่านไทย ไปรบกับอังกฤษ ประเทศมาลายู ทางตืจรดสิงคโปร์ และไปรบกับอังกฤษที่ประเทศพม่าทางตะวันตก โดยมีการโฆษณาว่า ได้ถล่มกองทัพอเมริกาที่อ่าวเพิลฮาร์เบอร์ วอดวายไปหมดสิ้นแล้ว ญี่ปุ่นจึงเป็นเจ้าของมหาสมุทร และท้องฟ้าอากาศ ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด
เราเด็ก ๆ ก็ไม่รู้ว่าสงครามจริง ๆ เป็นอย่างไร เห็นแต่ทหารญี่ปุ่นเต็มกรุงเทพ และพอขึ้นชั้นเรียนใหม่ พฤษภาคม ๒๔๘๕ ก็ไม่มีการสอบ เลื่อนได้หมดทุกคน เรียกว่าโตโจสงเคราะห์ เพราะ โตโจ เป็นชื่อของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เราก็เฮกันเท่านั้น
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 (พ.ศ.๒๔๘๒) เมื่อ เยอรมนีและสโลวาเกีย เริ่มการรุกรานโปแลนด์ ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และบรรดาประเทศในครือจักรภพแห่งชาติ ประกาศสงครามกับเยอรมนี
ขณะนั้นผมเพิ่งมีอายุได้ ๘ ขวบ และสงครามนั้นได้ลุกลามมาถึงประเทศไทย เมื่อ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ผมก็มีอายุได้ ๑๐ ขวบกว่า ย้ายบ้านจากตรอกโรงเรียนนายร้อย ถนนราชดำเนินนอก มาอยู่ที่ซอยสวนอ้อย หน้าวชิรพยาบาล ถนนสามเสน ได้ไม่กี่เดือน
เมื่อจะรำลึกถึงอดีตในสมัยนั้น ก็เป็นการยากที่จะจำได้อย่างละเอียดลออ จึงต้องอาศัยบันทึกเหตุการณ์ประจำวันของแม่ ซึ่งเป็นครูโรงเรียนปัญญานิธิ ที่เป็นโรงเรียนราษฎร์ ตั้งอยู่ที่ถนนพะเนียง นางเลิ้ง เป็นหลักฐาน
แล้วจึงค่อยทวนความทรงจำ ถึงเรื่องราวที่ได้พบเห็นในสายตาของเด็ก อายุ ๑๐ – ๑๔ ปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ – ๒๔๘๘ เท่าที่พอจะนึกออก แต่ก็จะไม่อาศัยหนังสือที่ผู้อื่นเขียน หรือที่ได้เรียบเรียงไว้หลายเล่มในช่วงหลังสงคราม มาปะปนหรือสอดแทรกให้น่าเชื่อถือ คงไว้แต่เรื่องที่ตนเองรู้เห็น หรือจดจำไว้ได้เท่านั้น
ดังนั้นจึงต้องอาศัยบันทึกของแม่ ตั้งแต่วันแรกเริ่มของสงครามทีเดียว ท่านเขียนไว้ว่า
บัดนี้เหตุการณ์ที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้น ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับประเทศอังกฤษ และประเทศอเมริกาแล้ว แต่วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ และทหารญี่ปุ่นได้มาขึ้นบกที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี และจังหวัดพิบูลสงครามของไทย เมื่อเวลา ๖.๐๐ น. ของวันที่ ๘ ธันว์ ทหารไทยได้ต่อต้านปะทะกับทหารญี่ปุ่นอย่างสมเกียรติ ข่าวนี้ประกาศทางวิทยุของไทยในวันนี้ และมีประกาศอื่น ๆ อีกตลอดวัน
๑. ประกาศควบคุมแสงไฟ
๒. ประกาศใช้เสียงหวูดหรือไซเรน
๓. ประกาศงดงานฉลองรัฐธรรมนูญ
๔. ประกาศงดการหยุดในงานฉลองรัฐธรรมนูยของข้าราชการ
๕. ประกาศให้ราษฎรเตรียมน้ำเตรียมไฟไว้ในเวลาฉุกเฉิน อาจจะไม่มีใช้
ตอนบ่ายวันนี้รัฐบาลได้ประกาศว่า การที่ทหารไทยได้ปะทะกับทหารญี่ปุ่นเป็นเวลา ๕ ชั่วโมงเศษนั้น ได้ยุติลงแล้ว โดยทูตญี่ปุ่นได้มาเจรจากับท่านนายกว่า กองทหารญี่ปุ่นขอผ่านทางเดินในดินแดนของไทย แต่มิได้ถือว่าไทยเป็นศัตรูของญี่ปุ่น และญี่ปุ่นจะเคารพต่อความเป็นเอกราชของไทย รัฐบาลได้ตกลงยินยอมให้กองทัพผ่านไป
นั่นคือฉากแรกในวันแรก ที่เงาของสงคราม ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า สงครามมหาเอเชียบูรพา ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งนำความลำบากยากแค้นมาให้ประชาชนคนไทย ที่กำลังชื่นชมกับชัยชนะในกรณีพิพาทกับ อินโดจีนของฝรั่งเศส จนได้ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงมาอยู่ในอธิปไตยของประเทศไทยเมื่อต้นปี
แต่คราวนี้เป็นสงครามใหญ่ระดับโลก ซึ่งแตกต่างกันราวกับฟ้าดิน ซึ่งคนไทยทุกคนไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้เลย.
เริ่มแรกก็คือการพรางไฟ ซึ่งไฟฟ้าทุกดวงในบ้านต้องเอาผ้าสีน้ำเงินมาหุ้มโป๊ะไฟโดยรอบ ให้แสงไฟส่องตรงลงมาอย่างเดียว ไม่กระจายออกไปนอกห้องหรือนอกบ้าน ไฟฟ้าที่อยู่นอกบ้านจะต้องเลิกเปิด อย่างเด็ดขาด
เวลากลางคืนสายตรวจของตำรวจ ที่ต้องเดินเท้าเพราะยังไม่มีรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ใช้ พบว่ามีบ้านไหนมีแสงไฟลอดออกมา ก็จะตักเตือนทันที เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันภัยทางอากาศ โดยได้เริ่มมีการซ้อมป้องกันภัย หรือที่เรียกย่อว่า ซ.ป.อ.หลายครั้ง ให้ประชาชน ได้รู้จักสัญญาณมีภัยทางอากาศ
โดยจะเปิดไซเรนจากโรงงาน หรือหอสัญญาณที่ทางการติดตั้งใหม่ ซึ่งส่วนมากจะอยู่ในวัด เสียงนั้นดังเป็นห้วง ๆ เหมือนเสียงสัญญาณของรถดับเพลิง และสัญญาณปลอดภัย ที่เป็นเสียงลากยาวท่อนเดียวตั้งแต่เริ่มจนจบ โดยที่รถดับเพลิงสมัยนั้น กลับไปใช้เสียงรัวระฆังแบบโบราณ สมัยที่รถดับเพลิงยังลากด้วยม้านั่นเอง
วันต่อมาก็เป็นการประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ ซึ่งทำให้รัฐบาลซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นทหาร ได้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดต่อไปในยามสงคราม เช่นห้ามไม่ให้เปิดรับวิทยุต่างประเทศ ให้มีเสียงดังได้ยินไปถึงบ้านคนอื่น เมื่อฟังแล้วไม่ให้นำข่าวนั้นไปเผยแพร่แก่คนอื่น
ให้ประชาชนอยู่ในความสงบ ทำมาหากินไปตามปกติ ส่วนคนที่แตกตื่นอพยพออกจากบ้านเรือนไปนั้น ก็ให้กลับมายังถิ่นฐานบ้านเรือนของตนตามเดิม เหตุการณ์ทั่วไปก็ยังเป็นปกติอยู่ต่อมา นอกจากจะมีการส่งกองทหารผ่าน ไปทางทิศใต้ของประเทศไทยเท่านั้น แม้ราคาเครื่องอุปโภคบริโภคในตลาดจะสูงขึ้นบ้าง ก็ยังไม่เป็นที่เดือดร้อนเท่าไร
ถึงวันขึ้นปีใหม่ มกราคม ๒๔๘๕ ซึ่งต้องงดการจัดงานปีใหม่ นอกจากการตักบาตรที่ท้องสนามหลวง แต่มีการปราศรัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไทย และ พลเอก โตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นทางวิทยุกระจายเสียง จากโตเกียวและพระนคร กับเพิ่มรายการภาษามาลายู ภาษาพม่า และภาษอินเดีย ขึ้นจากรายการปกติด้วย
จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๕ ชาวพระนครจึงประสบกับภาวะสงครามเป็นครั้งแรก จากบันทึกของแม่ เขียนไว้ว่า
ประมาณเวลา ๔ นาฬิกา เสียงระเบิดลูกแรกทำให้สะดุ้งตื่น พอลุกขึ้นนั่งก็ได้ยินเสียงหวูดอันตราย พร้อมกับเสียงระเบิด บึ้ม ๆ ๆ ๆ อีก ๖ ครั้ง (คนในบ้านเปิดประตูห้องนอน ออกมาดูที่นอกชาน) ก็เห็นเรือบินข้าศึกเปิดไฟแดง
ทุกคนต่างเข้าใจว่าเรือบินของไทยขึ้นต่อสู้ เพราะเห็นยิงปืนกลด้วย เงียบไปสักครู่ก็บินกลับมาอีก เสียง ป.ต.อ. ยิงขับไล่กับเสียงระเบิดปนคละกันไป ไฟฉายส่องจับเห็นเรือบิน แต่ไม่ได้ถูกยิง แล้วเงียบไป เวลา ๕ นาฬิกาครึ่ง หวูดหมดอันตรายจึงดังขึ้น ต่างเข้าครัวหุงข้าวกินโดยไม่ได้นอนอีก นับเป็นประวัติการณ์ครั้งแรก ของกรุงเทพมหานคร
ขณะนั้นทั้งบ้านมีผู้อาศัยอยู่ห้าคน คือ น้าและพี่สาว ลูกของน้าซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน แม่และผมกับน้องสาว เป็นผู้อาศัย มีผู้ชายแต่ผมคนเดียวอายุเพิ่งจะ ๑๑ ขวบ แม่ได้บันทึกเหตุการณ์ในวันรุ่งขึ้นไว้อย่างละเอียดยิบ
ผลเสียหายฝ่ายเรามีดังนี้
๑. ฝั่งธนบุรี บ้านเอกชนหลังหนึ่งถูกทำลาย
๒. เยาวราช ตึกแถวใกล้เจ็ดชั้นทลายและไฟไหม้
๓. หัวลำโพง โรงรับจำนำและโรงแรมทลาย
๔. วัดตะเคียน เพลิงไหม้ไม้กระดาน
๕. บางรัก ไปรษณีย์กลางไม่เป็นอันตราย เพราะลูกระเบิดด้าน แต่ถูกโรงพยาบาล และบ้าน ร้านขายรองเท้า และ โรงเรียนอัสสัมชัญ
๖. ริมคลองหลอด เขื่อนพังเล็กน้อย กระทรวงมหาดไทยเสียหายห้องหนึ่ง
รวมทั้งหมดคนบาดเจ็บ ๑๑๒ คน เสียชีวิต ๓๑ คน โดยมากเป็นจีนและแขก
เช้าวันพฤหัสที่ ๘ นี้ ตามถนนหนทางช่างมีคนเดินไปมามากเหลือเกิน รถรางรถเมล์ ก็เต็มไปด้วยคนโดยสารจนแน่นขนัด รถจักรยาน (สามล้อถีบ) ก็ขึ้นราคาเป็นสองเท่า ทั้งนี้เพราะบ้างก็อพยพ บ้างก็จะไปดูสถานที่ถูกระเบิด บ้างก็จะไปเยี่ยมญาติที่บาดเจ็บ บ้างก็จะไปทำราชการ บ้างก็จะไปโรงเรียน เมื่อขึ้นรถไม่ได้ต่างก็เดินกันไป
เมื่อถึงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๔๘๕ แม่ก็บันทึกต่อว่า วันนี้กระทรวงศึกษาธิการ มีคำสั่งถึงโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วไป ใจความว่า
ปีนี้ไม่มีการสอบไล่ แต่ให้ตัดสินโดยถือเกณฑ์เวลามาเรียนร้อยละ ๖๐ เป็นสอบได้ และให้ปิดโรงเรียน จนกว่าจะสั่งให้เปิด คือปิดตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๔๘๕ เป็นต้นไป
วันเสาร์ที่ ๒๔ มกร ๘๕ วันนี้เวลา ๒๐.๓๐ น. ได้มีเสียงระเบิดดังขึ้นแต่ไกล แล้วหวูดอันตรายจึงดังขึ้น เงียบอยู่ประมาณ ๒๐ นาที เครื่องบินก็มาปรากฏในพระนคร เสียงระเบิดอีก ๒ ครั้ง และเสียงปืนยิงหลายนัด แล้วมีเสียงไชโยทั่วไปทุกถนน เพราะยินดีที่เห็นเครื่องข้าศึกถูกปืน เงียบไปสักสิบนาที เครื่องบินก็ผ่านมาอีก เสียงปืนยิงอีก แล้วก็เงียบไปอีก ๒๐ นาที เครื่องบินก็ผ่านมาอีกเป็นครั้งที่สาม แล้วเงียบเลย เวลา ๒๒ น.จึงเปิดหวูดหมดอันตราย
วันอาทิตย์ ๒๕ มกร ๘๕ เช้าวันนี้ได้ความว่า เมื่อคืนนี้มีเครื่องบินข้าศึกมารบกวนพระนคร ๒ เครื่อง ถูกยิงตก ๑ เครื่อง ที่ตำบลตลาดพลูฝั่งธน อีก ๑ เครื่องก็เสียหาย อาจไม่ได้กลับถึงฐานทัพ ฝ่ายเราเสียหายคือ
๑. ตลาดชูชีพที่เชิงสะพานกษัตริย์ศึก ถูกระเบิดทำลาย ตลาดนี้เป็นของเจ้าพระยาธรรมาฯ ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันศุกร์ พอเสาร์ก็ถูกระเบิดตลาดพัง
๒. ตึกแถวของเจ้าพระยาธรรมาฯ ซึ่งอยู่หน้าบ้านของท่าน ริมสะพานกษัตริย์ศึก
๓. วัดเลียบ ไม่เป็นอันตราย
ส่วนเครื่องบินข้าศึกที่ตกนั้น นักบินตายหมด เพราะเครื่องบินระเบิด ร่างกายไม่มีชิ้นดี เรื่องนี้ผมได้อ่านหนังสือสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อินทรปาลิต แต่งขยายความอย่างสนุกสนาน.
#############