เห็นกระทู้เยอะเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานกับสินสอด เราก็อยากแสดงความคิดเห็นในฐานะคนเคยเป็นสาว และตอนนี้ก็ล่วงมาวัยกลางคนนะคะ
ตอนสมัยยังอายุน้อย เราก็จะคิดแบบสมัยใหม่ หัวเสรีหน่อย การแต่งงาน สินสอด อะไรพวกนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลย คนเรารักกัน ชอบกัน อยากอยู่ด้วยกัน ทำไมจะต้องแคร์กับเปลือกเหล่านั้น แต่ตอนนี้เราผ่านการแต่งงาน มีชีวิตคู่มาก็หลายปี เราก็เพิ่งจะเข้าใจนะว่า รักอย่างเดียวมันไม่พอจริง ๆ ถ้ามีแต่รักกัน แต่ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เห็นใจกัน ไม่เข้าใจกัน มันไปไม่รอดหรอก บางครั้งเราคิดว่า สังคมให้ค่ากับความรักแบบหนุ่มสาวมาเกินไปด้วยซ้ำ ความรักเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตก็จริง แต่รักระหว่างหนุ่มสาว มันดับได้ง่าย ๆ ถ้าคนสองคนไม่ประคับประคองความรักให้ดี การแต่งงานคือการเริ่มต้นในการต่อสู้ที่จะประคองความรัก และครอบครัวให้ตลอดรอดฝั่ง
ตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยนไปตามอายุที่มากขึ้น การจัดงานแต่งงาน มันเป็นประเพณีที่มีประโยชน์ในความคิดของคนวัยกลางคนอย่างเรา ขั้นแรกเลย มันคือเรื่องทดสอบว่า เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวมีความสามารถที่จะเร่ิ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันได้ไหม ถ้ารักกัน ไม่คิดจัดงานตบแต่งแล้ว ย้ายตามไปอยู่ด้วยกันเลย มันก็ไว ทันใจดี แต่มันจะไม่ได้ pre test ทดสอบว่า ทั้งสองคนพร้อม มีความอดทน ร่วมมือร่วมใจกัน พอที่จะอยู่ร่วมกันได้ หรือไม่
การจัดงานแต่งงานยังเป็นการรวมญาติทั้งสองฝ่าย ให้มาเจอะเจอกัน และมันก็รู้สึกดี ๆ เมื่อเห็นญาติ ๆ เพื่อน ๆ เต็มใจเดินทางมางานแต่งงานของเรา และก็เป็นการประเมินได้นะคะว่า ว่าที่คู่ชีวิตของคุณมีความสามารถในการจัดการ การใช้เงินเป็นอย่างไร มีความคิดความเห็น การมองโลกอย่างไร และครอบครัวของเค้าด้วย พูดง่าย ๆ คือ เป็นคนบริหารเงินเป็นไหม เป็นคนฟุ่มเฟือยไหม ครอบครัวเขาเป็นคนดีไหม หรือว่าเห็นแก่ ถ้าเราเปิดตามอง เราจะเห็นได้ว่า เจ้าบ่าวเราและครอบครัวของเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าไม่เข้ากันจริง ๆ ก็จะแตกหักกันในขณะจัดงานได้ โดยเฉพาะสิ่งที่มาพร้อมกับการแต่งงาน ที่ผู้คนบ่นกันคือ สินสอด
สินสอดสำหรับเรา เรามองกลางๆ นะ มันจะดีหรือไม่ดี ก็แล้วแต่คนจัดการ ถ้าพ่อแม่ดี เรียกสินสอดแต่พอประมาณเพื่อให้ลูกสองคนรู้จักเก็บออม อดทน และคืนสินสอดให้ลูกหลังแต่งงานเพื่อไปเป็นทุนรอน อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี หรือพ่อแม่บางคน สมทบทุนเท่าสินสอดให้ลูกไปตั้งตัว หรือถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว เขาเต็มใจให้พ่อแม่เก็บไว้ใช้ ลูกไม่ได้ลำบากอะไร มันก็โอเค ถ้าทุก ๆ ฝ่ายเต็มใจและได้ผลออกมาดี
แต่กรณีที่พ่อแม่เจ้าสาวบางคนเรียกค่าสินสอดสูง แพงมากมาย บังคับให้ลูกสาว ลูกเขยไปกู้เงินมาให้ตัวเองเพื่อเป็นค่าสินสอด เสร็จแล้วเอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุหร่ายอันนี้ก็คงบอกว่า เสียใจด้วยค่ะ ถ้าคุณเป็นว่าที่ลูกเขย คุณยังกลับตัวยังทันนะคะ คุณมีทางเลือกค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำตาม คุณยังสามารถคุยปรึกษาหาทางออกกับว่าที่เจ้าสาวของคุณได้ จะพูดคุยต่อกันกัน ทำอย่างไรให้ลุล่วง ไม่ให้เดือดร้อน แต่ถ้าคุยแล้วว่าที่เจ้าสาวก็อยากได้เงินคุณมากมาย ไม่เห็นใจ ไม่ช่วยเหลือใด ๆ กลับตัวยังทันค่ะ สตรีมีอีกมากมายก่ายกอง เสียใจตอนนี้กับเสียเวลาที่คบกันมา ดีกว่าเสียใจภายหน้ากับเวลาสิบ ยี่สิบ สามสิบ ปีที่ต้องแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่เห็นแก่ตัวค่ะ
เราอาจจะโลกสวยนะ แต่เราว่าคนส่วนใหญ่น่าจะมีเหตุผลพอ ที่จะพูดคุยตกลงกันได้ คนจะแต่งงานกันมันน่าจะพูดคุยตกลง เห็นใจซึ่งกันและกัน และคงไม่มีมาตรฐานมากำหนดว่า ให้สินสอดเท่านี้ถึงจะพอ เท่านั้นถึงจะดี เพราะมันเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว คู่ไหนๆ มันก็ไม่เหมือนกัน เลยควรจะไปตกลงคุยกันระหว่างคู่ของตนกับครอบครัวว่าอะไรคือความพอดี
บางคนบอกว่า ประเพณีสินสอดมันโบราณ ควรจะยกเลิกไปได้แล้ว ในส่วนตัวเราก็คิดว่า ในอนาคต ประเพณีมันคงจะค่อย ๆ หายไปเอง แต่การเปลี่ยนแปลงมันต้องใช้เวลา จะไปบังคับคนอื่นมันไม่ง่าย ตอนนี้เรื่องสินสอดยังมี คนที่อยู่ก็ต้องหาทางจัดการให้เหมาะสมค่ะ
จริง ๆ จะมีงานแต่งงานหรือไม่ จะมีสินสอดหรือไม่ คงไม่สำคัญเท่าการให้เกียรติกัน ถ้าต่างฝ่าย ต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน พูดคุยกันดี ๆ มันก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ถ้าเริ่มงานแต่งงานมา เจ้าบ่าวจะไม่ยอมจัดงานแต่งงาน ไม่ให้สินสอด ไม่เข้าหาผู้ใหญ่ แถมยังพูดจาสามหาว ดูถูกครอบครัวเจ้าสาวต่าง ๆ นานา บอกว่าสินสอดคือการขายลูกกินทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ยินเงื่อนไขที่พ่อแม่เจ้าสาวต้องการ การแต่งงานคือความสิ้นเปลืองอย่างเดียว ทีฝรั่งยังไม่มีสินสอดเลย (แต่ไม่พูดถึงนะว่าฝรั่งเขาก็ต้องมีแหวนเพชรสมฐานะไปขอสาวแต่งงาน และไม่พูดถึงว่าฝรั่งถ้ามีลูก ตามกฎหมายต้องเลี้ยงลูกไปจนลูกอายุ 18 ปี แต่ของไทยนี่ ผู้ชายสามารถชิ่งหนี ไม่ส่งเสียอะไรได้ง่าย ๆ เลย) อ้างโน่นนี่ ไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น จะเอาแต่ลูกสาวเขามาอยู่ด้วยอย่างเดียว เราว่า ว่าที่เจ้าสาวสมัยใหม่ อย่าทำตัวแมนเกินไป ประเภทฉันไม่ต้องการทั้งนั้น ขอเพียงได้อยู่กับเธอ จะพ่อแม่ จะงานแต่ง ทั้งหลายไม่เอาแล้ว อันนั้นมันจะเกินไปหน่อย ทราบว่าสาวสมัยใหม่เก่ง ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่หวังพึ่งผู้ชาย แต่คุณก็ควรจะได้ผู้ชายที่ให้เกียรติคุณและครอบครัวนะ ถ้าสุดท้ายแล้ว ฝ่ายชายจะไม่มีอะไรมาให้ แต่อย่างน้อยต้องมีความเคารพ มีความตั้งใจ ให้เกียรติ อันนี้ต้องเป็นพื้นฐานที่ต้องมี สุดท้ายแล้วพ่อแม่คุณก็เลี้ยงคุณมา เมื่อมีปัญหากับสามี มีลูกขึ้นมา พ่อแม่คุณนี่แหล่ะที่จะคอยอยู่ช่วยเหลือคุณ อย่าให้ความรักบังตามากไปค่ะ (อันนี้พูดในกรณีพ่อแม่ปกติ ทั่วๆ ไปที่รักลูก และทำเพื่อลูกนะคะ ถ้าคุณมีพ่อแม่ที่เห็นแก่ได้ ไม่เคยเสียสละเพื่อคุณเลย หรือพ่อแม่ที่สุดโต่งเกินไป อันนี้ก็พิจารณาตามความเหมาะสมละกัน)
สุดท้ายนี้ ถ้ามีขาประจำพันทิบคนไหนที่ชอบหาเรื่องด่าผู้หญิง หรือด่ากระทบคนไม่คัดค้านเรื่องสินสอด มาแสดงความเห็น เราขอไม่ตอบนะคะ เพราะรู้ว่าพูดไปสองไพเบี้ย
การแต่งงาน สินสอด และชีวิตคู่
ตอนสมัยยังอายุน้อย เราก็จะคิดแบบสมัยใหม่ หัวเสรีหน่อย การแต่งงาน สินสอด อะไรพวกนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลย คนเรารักกัน ชอบกัน อยากอยู่ด้วยกัน ทำไมจะต้องแคร์กับเปลือกเหล่านั้น แต่ตอนนี้เราผ่านการแต่งงาน มีชีวิตคู่มาก็หลายปี เราก็เพิ่งจะเข้าใจนะว่า รักอย่างเดียวมันไม่พอจริง ๆ ถ้ามีแต่รักกัน แต่ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เห็นใจกัน ไม่เข้าใจกัน มันไปไม่รอดหรอก บางครั้งเราคิดว่า สังคมให้ค่ากับความรักแบบหนุ่มสาวมาเกินไปด้วยซ้ำ ความรักเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตก็จริง แต่รักระหว่างหนุ่มสาว มันดับได้ง่าย ๆ ถ้าคนสองคนไม่ประคับประคองความรักให้ดี การแต่งงานคือการเริ่มต้นในการต่อสู้ที่จะประคองความรัก และครอบครัวให้ตลอดรอดฝั่ง
ตอนนี้มุมมองเราเปลี่ยนไปตามอายุที่มากขึ้น การจัดงานแต่งงาน มันเป็นประเพณีที่มีประโยชน์ในความคิดของคนวัยกลางคนอย่างเรา ขั้นแรกเลย มันคือเรื่องทดสอบว่า เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวมีความสามารถที่จะเร่ิ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกันได้ไหม ถ้ารักกัน ไม่คิดจัดงานตบแต่งแล้ว ย้ายตามไปอยู่ด้วยกันเลย มันก็ไว ทันใจดี แต่มันจะไม่ได้ pre test ทดสอบว่า ทั้งสองคนพร้อม มีความอดทน ร่วมมือร่วมใจกัน พอที่จะอยู่ร่วมกันได้ หรือไม่
การจัดงานแต่งงานยังเป็นการรวมญาติทั้งสองฝ่าย ให้มาเจอะเจอกัน และมันก็รู้สึกดี ๆ เมื่อเห็นญาติ ๆ เพื่อน ๆ เต็มใจเดินทางมางานแต่งงานของเรา และก็เป็นการประเมินได้นะคะว่า ว่าที่คู่ชีวิตของคุณมีความสามารถในการจัดการ การใช้เงินเป็นอย่างไร มีความคิดความเห็น การมองโลกอย่างไร และครอบครัวของเค้าด้วย พูดง่าย ๆ คือ เป็นคนบริหารเงินเป็นไหม เป็นคนฟุ่มเฟือยไหม ครอบครัวเขาเป็นคนดีไหม หรือว่าเห็นแก่ ถ้าเราเปิดตามอง เราจะเห็นได้ว่า เจ้าบ่าวเราและครอบครัวของเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าไม่เข้ากันจริง ๆ ก็จะแตกหักกันในขณะจัดงานได้ โดยเฉพาะสิ่งที่มาพร้อมกับการแต่งงาน ที่ผู้คนบ่นกันคือ สินสอด
สินสอดสำหรับเรา เรามองกลางๆ นะ มันจะดีหรือไม่ดี ก็แล้วแต่คนจัดการ ถ้าพ่อแม่ดี เรียกสินสอดแต่พอประมาณเพื่อให้ลูกสองคนรู้จักเก็บออม อดทน และคืนสินสอดให้ลูกหลังแต่งงานเพื่อไปเป็นทุนรอน อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี หรือพ่อแม่บางคน สมทบทุนเท่าสินสอดให้ลูกไปตั้งตัว หรือถ้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว เขาเต็มใจให้พ่อแม่เก็บไว้ใช้ ลูกไม่ได้ลำบากอะไร มันก็โอเค ถ้าทุก ๆ ฝ่ายเต็มใจและได้ผลออกมาดี
แต่กรณีที่พ่อแม่เจ้าสาวบางคนเรียกค่าสินสอดสูง แพงมากมาย บังคับให้ลูกสาว ลูกเขยไปกู้เงินมาให้ตัวเองเพื่อเป็นค่าสินสอด เสร็จแล้วเอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุหร่ายอันนี้ก็คงบอกว่า เสียใจด้วยค่ะ ถ้าคุณเป็นว่าที่ลูกเขย คุณยังกลับตัวยังทันนะคะ คุณมีทางเลือกค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำตาม คุณยังสามารถคุยปรึกษาหาทางออกกับว่าที่เจ้าสาวของคุณได้ จะพูดคุยต่อกันกัน ทำอย่างไรให้ลุล่วง ไม่ให้เดือดร้อน แต่ถ้าคุยแล้วว่าที่เจ้าสาวก็อยากได้เงินคุณมากมาย ไม่เห็นใจ ไม่ช่วยเหลือใด ๆ กลับตัวยังทันค่ะ สตรีมีอีกมากมายก่ายกอง เสียใจตอนนี้กับเสียเวลาที่คบกันมา ดีกว่าเสียใจภายหน้ากับเวลาสิบ ยี่สิบ สามสิบ ปีที่ต้องแต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่เห็นแก่ตัวค่ะ
เราอาจจะโลกสวยนะ แต่เราว่าคนส่วนใหญ่น่าจะมีเหตุผลพอ ที่จะพูดคุยตกลงกันได้ คนจะแต่งงานกันมันน่าจะพูดคุยตกลง เห็นใจซึ่งกันและกัน และคงไม่มีมาตรฐานมากำหนดว่า ให้สินสอดเท่านี้ถึงจะพอ เท่านั้นถึงจะดี เพราะมันเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว คู่ไหนๆ มันก็ไม่เหมือนกัน เลยควรจะไปตกลงคุยกันระหว่างคู่ของตนกับครอบครัวว่าอะไรคือความพอดี
บางคนบอกว่า ประเพณีสินสอดมันโบราณ ควรจะยกเลิกไปได้แล้ว ในส่วนตัวเราก็คิดว่า ในอนาคต ประเพณีมันคงจะค่อย ๆ หายไปเอง แต่การเปลี่ยนแปลงมันต้องใช้เวลา จะไปบังคับคนอื่นมันไม่ง่าย ตอนนี้เรื่องสินสอดยังมี คนที่อยู่ก็ต้องหาทางจัดการให้เหมาะสมค่ะ
จริง ๆ จะมีงานแต่งงานหรือไม่ จะมีสินสอดหรือไม่ คงไม่สำคัญเท่าการให้เกียรติกัน ถ้าต่างฝ่าย ต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน พูดคุยกันดี ๆ มันก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ถ้าเริ่มงานแต่งงานมา เจ้าบ่าวจะไม่ยอมจัดงานแต่งงาน ไม่ให้สินสอด ไม่เข้าหาผู้ใหญ่ แถมยังพูดจาสามหาว ดูถูกครอบครัวเจ้าสาวต่าง ๆ นานา บอกว่าสินสอดคือการขายลูกกินทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ยินเงื่อนไขที่พ่อแม่เจ้าสาวต้องการ การแต่งงานคือความสิ้นเปลืองอย่างเดียว ทีฝรั่งยังไม่มีสินสอดเลย (แต่ไม่พูดถึงนะว่าฝรั่งเขาก็ต้องมีแหวนเพชรสมฐานะไปขอสาวแต่งงาน และไม่พูดถึงว่าฝรั่งถ้ามีลูก ตามกฎหมายต้องเลี้ยงลูกไปจนลูกอายุ 18 ปี แต่ของไทยนี่ ผู้ชายสามารถชิ่งหนี ไม่ส่งเสียอะไรได้ง่าย ๆ เลย) อ้างโน่นนี่ ไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น จะเอาแต่ลูกสาวเขามาอยู่ด้วยอย่างเดียว เราว่า ว่าที่เจ้าสาวสมัยใหม่ อย่าทำตัวแมนเกินไป ประเภทฉันไม่ต้องการทั้งนั้น ขอเพียงได้อยู่กับเธอ จะพ่อแม่ จะงานแต่ง ทั้งหลายไม่เอาแล้ว อันนั้นมันจะเกินไปหน่อย ทราบว่าสาวสมัยใหม่เก่ง ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ ไม่หวังพึ่งผู้ชาย แต่คุณก็ควรจะได้ผู้ชายที่ให้เกียรติคุณและครอบครัวนะ ถ้าสุดท้ายแล้ว ฝ่ายชายจะไม่มีอะไรมาให้ แต่อย่างน้อยต้องมีความเคารพ มีความตั้งใจ ให้เกียรติ อันนี้ต้องเป็นพื้นฐานที่ต้องมี สุดท้ายแล้วพ่อแม่คุณก็เลี้ยงคุณมา เมื่อมีปัญหากับสามี มีลูกขึ้นมา พ่อแม่คุณนี่แหล่ะที่จะคอยอยู่ช่วยเหลือคุณ อย่าให้ความรักบังตามากไปค่ะ (อันนี้พูดในกรณีพ่อแม่ปกติ ทั่วๆ ไปที่รักลูก และทำเพื่อลูกนะคะ ถ้าคุณมีพ่อแม่ที่เห็นแก่ได้ ไม่เคยเสียสละเพื่อคุณเลย หรือพ่อแม่ที่สุดโต่งเกินไป อันนี้ก็พิจารณาตามความเหมาะสมละกัน)
สุดท้ายนี้ ถ้ามีขาประจำพันทิบคนไหนที่ชอบหาเรื่องด่าผู้หญิง หรือด่ากระทบคนไม่คัดค้านเรื่องสินสอด มาแสดงความเห็น เราขอไม่ตอบนะคะ เพราะรู้ว่าพูดไปสองไพเบี้ย