ที่มา หน้า 2 มติชนรายวัน
เผยแพร่ วันที่ 1 มีนาคม 2561
หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการกรณีนายธานี เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุเตรียมยื่นจดทะเบียนชื่อพรรคการเมืองใหม่ ชื่อว่า “พรรคมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นสมาชิกพรรคด้วย พรรค กปปส.จะกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
ชำนาญ จันทร์เรือง
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์
ดูออกตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที แต่มีข้อสังเกตตรงที่นายวิทยา แก้วภราดัย หรือสมาชิกของเขาบอกว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่เกี่ยว ไม่เล่นการเมืองอะไรทั้งนั้น แต่ตามรัฐธรรมนูญใหม่ ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องหรือมีตำแหน่งในพรรคการเมือง ซึ่งขัดกับความเป็นจริงที่บอกว่าไม่รับตำแหน่ง นี่ถึงขั้นยุบพรรคนะ ถ้านายสุเทพไม่มีตำแหน่ง ไม่เกี่ยวข้องในพรรค เช่น ไม่เป็นที่ปรึกษาพรรค ถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวก็มีโทษถึงยุบพรรคแน่นอน จึงไม่แปลกอะไรอยู่แล้วที่ กปปส.เล่นการเมืองหรือตั้งพรรคการเมือง เพราะเขาพยายามโดมิเนต ครอบครอง มีอิทธิพลในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ทำไม่ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เก่าแก่ มีวิวัฒนาการมานาน เมื่อไม่สำเร็จก็ต้องตั้งพรรคเอง แต่ผลการเลือกตั้งที่ได้คงไม่มาก คงเฉียดแถวๆ จ.สุราษฎร์ธานี เพราะประชาธิปัตย์ก็คือประชาธิปัตย์ มีรากฐานเก่าแก่ คงไม่กระทบอะไรมาก
เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หาก กปปส.จะตั้งพรรคการเมือง คือตั้งก็ดี จะได้เป็นตัวเลือกของประชาชน อย่างในต่างประเทศมีพรรคเยอะแยะ เช่น พรรคกรีน พรรคที่สนับสนุนผลประโยชน์บางกลุ่ม เพราะพรรคการเมืองเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่ม มีความคิด มีอุดมการณ์ตรงกัน แต่จะเป็นแบบไหนก็ว่ากันไป ไม่จำเป็นต้องลงแล้วต้องชนะ หรือได้เสียงมากที่สุดอย่างเดียว อย่างน้อยที่สุดอาจเป็นตัวแทนคนข้ามเพศ กลุ่ม LGBT ก็ไม่แปลกอะไร ยิ่งดีถ้าประชาชนจะเลือก
ฐานเสียงของประชาธิปัตย์ยังแน่นอยู่ แต่แน่นอย่างไรก็สู้พรรคไทยรักไทยเดิมไม่ได้ แม้ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชน หรือเพื่อไทยก็ตาม แต่วัดกันตรงๆ ที่เขาสำรวจกันเมื่อไหร่ก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็ยังมาที่ 1 อยู่ แต่คงไม่เกินครึ่ง เพราะที่ 2 ก็ยังเป็นประชาธิปัตย์อยู่ ทาง คสช.ถึงยื้อทุกอย่าง ไม่ยอมเลือกตั้ง ถ้าเลือกก็แพ้ ไม่เลือกก็พัง ก็เลยยื้อออกไปเช่นนี้
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เอง ต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ถ้ายังเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ สมมุติว่าเขาจะไปเสนอคนนอก ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค แล้วจะยอมเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือ ในประวัติศาสตร์ไทยมีอยู่คนเดียวคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเขาก็ไม่ยอม อีกอย่างคือนายอภิสิทธิ์นำประชาธิปัตย์แพ้มาตลอด คงมีการเปลี่ยน แต่จะได้หน้าใหม่ หรือจะกลับไปเป็นคุณชวน หลีกภัย อีกครั้งหนึ่งก็ไม่ทราบ ถ้าไม่เปลี่ยนก็คงไม่ชนะอีก
นันทนา นันทวโรภาส
คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก
การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะตั้งพรรคการเมืองถือเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับคำพูดของคุณสุเทพเอง ที่เคยประกาศว่าจะไม่เข้ามายุ่งกับการเมือง การเป็นนักการเมืองนั้น ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะประชาชนจะให้การยอมรับสนับสนุนนักการเมืองคนใด เขาก็ต้องดูว่านักการเมืองคนนั้นพูดจริง ทำจริง และเป็นที่พึ่งได้ ดังนั้น ถ้านักการเมืองสื่อสารแล้วเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ความน่าเชื่อถือจะขาดไปโดยสิ้นเชิง และไม่มีหลักประกันใดเลยว่าถ้าพูดอย่างหนึ่ง แล้วทำอีกอย่างหนึ่ง เมื่อสัญญากับประชาชนแล้ว จะทำตามสัญญาหรือไม่ อันนี้เป็นความอันตรายอย่างยิ่งสำหรับนักการเมือง จึงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคุณสุเทพถึงคิดที่จะตั้งพรรคการเมือง
การตั้งพรรคการเมืองครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มกดดันทางการเมืองคือกลุ่มมวลมหาประชาชนที่สนับสนุนให้คุณสุเทพต่อสู้กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่จนถึงตอนนี้ การเปลี่ยนสถานะจากกลุ่มกดดันไปเป็นพรรคการเมืองยังเป็นมติของมวลมหาประชาชนหรือไม่ เพราะทั้งสองสถานะนี้คือคนละอย่างกัน กลุ่มกดดันเกิดขึ้นมาในระยะเวลาหนึ่งเพื่อปฏิบัติการอะไรบางอย่าง เช่น ต่อต้าน หรือสนับสนุน หลังจากบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว กลุ่มกดดันนั้นก็อาจจะสลายตัวไป เพราะภารกิจสิ้นสุดแล้ว ไม่ได้มีความผูกพันว่าจะต้องมาเป็นมวลชนของนายสุเทพ แต่หากจะมองกลุ่มกดดันทางการเมืองว่าเป็นมวลชนพื้นฐานสำหรับการตั้งพรรคการเมือง ก็สามารถทำได้ แต่ต้องกลับไปดูมวลชนด้วยว่าเขาอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า อยากให้ดูตัวอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เปลี่ยนตัวเองไปเป็นพรรคการเมืองใหม่ แล้วมวลชนก็ไม่ได้ให้การสนับสนุน สุดท้ายพรรคนี้ก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว จึงมองว่านายสุเทพจะไม่สามารถระดมมวลชนมาสนับสนุนได้เหมือนเช่นช่วงที่เป็น กปปส. เพราะมีความต่างทั้งในเรื่องเป้าหมายและพันธกิจ
ส่วนการแยกออกไปตั้งพรรคของนายสุเทพจะเป็นการแย่งฐานเสียงกันเองในภาคใต้กับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น คิดว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน คงต้องปล่อยให้การดำเนินการต่างๆ เดินต่อไป เพื่อจะได้เห็นภาพว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร อีกไม่นานคงได้เห็นว่าเป็นการแยกกันจริงๆ หรือใช้กลยุทธ์แยกกันเดินรวมกันตี เพราะกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเป็นกลุ่มที่จะมาอยู่ในซีก กปปส. หมายถึงยังเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่เชื่อยากว่าจะแยกกันได้จริงๆ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
การตั้งพรรคการเมืองเป็นสิทธิทั่วไปที่สามารถทำได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และควรจะจัดตั้งอย่างยิ่ง ถามว่าฐานเสียงของพรรค กปปส.กับประชาธิปัตย์ซ้อนทับกันหรือเปล่า ก็ต้องมองว่าพรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในการระดมคนเข้า กปปส. ซึ่งก่อนจะฟันธงต้องดูตรงนี้ อย่างไรก็ตาม กปปส.มีความหลากหลาย ทั้งคนของประชาธิปัตย์ ทั้งเอ็นจีโอที่ต้องการปฏิรูปประเทศ เอาเข้าจริงฐานเสียงอาจไม่ใช่ก้อนเดียวกันทั้งหมด ตรงนี้จึงคิดว่าคงไม่ถึงกับกระทบมากนัก มองว่าอาจเป็นเฉพาะบางแห่งบางที่เท่านั้น
ในความเป็นจริง ส.ส.ประชาธิปัตย์ทางใต้ค่อนข้างเหนียวแน่น ต่อให้นายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งพรรคการเมือง ไม่ว่านายสุเทพจะแสดงตนหรือไม่ก็ต้องอาศัยนายสุเทพอยู่ดี
ทั้งนี้ ในยามวิกฤตที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ไม่ได้แสดงตัวเป็นธงนำให้เห็นความหวังที่ปลายอุโมงค์ รวมถึงการปรองดองซึ่งอยากพูดในภาพรวมด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ แต่รู้สึกว่าพรรคการเมือง ซึ่งแม้จะถูกจำกัดจากประกาศของ คสช. แต่เราก็คาดหวังว่าพรรคการเมืองต้องทำหน้าที่ในวิกฤตของบ้านเมืองมากกว่านี้ จึงค่อนข้างผิดหวังกับบทบาทของการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสถาบันการเมือง ที่จะนำบ้านเมืองเปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ควรทำหน้าที่มากกว่านี้ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว
ส่วนกลยุทธ์การต่อสู้ของประชาธิปัตย์ ต้องดูฐานมวลชนว่าการเลือกตั้งในรอบสิบปีที่ผ่านมา คือ มีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่ที่เคยใช้สิทธิจำนวนหนึ่งและไม่เคยได้รับการรับรองสิทธิเลยตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ในปี 2557 มีความพยายามเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่เป็นผล เพราะฉะนั้นนับจากปี 2554 ถึงปัจจุบัน ตัวเลขของประชาชนวัยหนุ่มสาวที่อายุ 18 ปีใน พ.ศ.2554 จนถึงปี 2557 คนกลุ่มนี้มีเป็นล้าน น่าจะเป็นกลุ่มที่อาจจะมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่าน คือถ้ามีทางเลือกใหม่ที่ไม่ใช่โฉมหน้าของนักการเมืองแบบเก่า อาศัยความนิยมแบบเก่า แต่อาศัยฐานของโซเชียลมีเดีย ฐานของความนิยมในตัวบุคคลซึ่งเชื่อว่ามีไม่น้อย ก็น่าสนใจ พูดตรงๆ คือ คงหวังอะไรเก่าๆ ไม่ได้
มองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ กับรัฐบาลที่กำลังร่างกฎหมายเรื่อง กกต.ก็ดี จะต้องไม่เลื่อนโรดแมปออกไปอีกแล้ว อีกด้านหนึ่งคือการจะปูทางให้การเมืองเดินหน้าต่อไป ต้องคิดคำนึงด้วยว่าเราจะดึงฟืนไฟที่สุมกันอยู่อย่างไร เพราะความขัดแย้งผูกพันกันมาหลายปี มีตัวละครมากขึ้น แม้กระทั่งเด็กอายุสิบกว่าๆ ก็ตกเป็นจำเลยในคดีการเมือง เป็นผู้ต้องหาในคดีการเมืองมากมาย
ตรงนี้จะเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งว่า พรรคการเมืองใดจะมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะเข้ามาปลดล็อกตรงนี้ให้คนเหล่านี้ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ในช่วงที่พรรคการเมืองอ้างว่าถูกบังคับให้ทำหน้าที่ไม่ได้ พอคุณเริ่มจะทำได้ คุณต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา
JJNY : 'กปปส.' ตั้งพรรค กระเทือนฐานเสียง ปชป.?
เผยแพร่ วันที่ 1 มีนาคม 2561
หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการกรณีนายธานี เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุเตรียมยื่นจดทะเบียนชื่อพรรคการเมืองใหม่ ชื่อว่า “พรรคมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นสมาชิกพรรคด้วย พรรค กปปส.จะกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
ชำนาญ จันทร์เรือง
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์
ดูออกตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที แต่มีข้อสังเกตตรงที่นายวิทยา แก้วภราดัย หรือสมาชิกของเขาบอกว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่เกี่ยว ไม่เล่นการเมืองอะไรทั้งนั้น แต่ตามรัฐธรรมนูญใหม่ ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องหรือมีตำแหน่งในพรรคการเมือง ซึ่งขัดกับความเป็นจริงที่บอกว่าไม่รับตำแหน่ง นี่ถึงขั้นยุบพรรคนะ ถ้านายสุเทพไม่มีตำแหน่ง ไม่เกี่ยวข้องในพรรค เช่น ไม่เป็นที่ปรึกษาพรรค ถ้าไม่ยุ่งเกี่ยวก็มีโทษถึงยุบพรรคแน่นอน จึงไม่แปลกอะไรอยู่แล้วที่ กปปส.เล่นการเมืองหรือตั้งพรรคการเมือง เพราะเขาพยายามโดมิเนต ครอบครอง มีอิทธิพลในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ทำไม่ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เก่าแก่ มีวิวัฒนาการมานาน เมื่อไม่สำเร็จก็ต้องตั้งพรรคเอง แต่ผลการเลือกตั้งที่ได้คงไม่มาก คงเฉียดแถวๆ จ.สุราษฎร์ธานี เพราะประชาธิปัตย์ก็คือประชาธิปัตย์ มีรากฐานเก่าแก่ คงไม่กระทบอะไรมาก
เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หาก กปปส.จะตั้งพรรคการเมือง คือตั้งก็ดี จะได้เป็นตัวเลือกของประชาชน อย่างในต่างประเทศมีพรรคเยอะแยะ เช่น พรรคกรีน พรรคที่สนับสนุนผลประโยชน์บางกลุ่ม เพราะพรรคการเมืองเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่ม มีความคิด มีอุดมการณ์ตรงกัน แต่จะเป็นแบบไหนก็ว่ากันไป ไม่จำเป็นต้องลงแล้วต้องชนะ หรือได้เสียงมากที่สุดอย่างเดียว อย่างน้อยที่สุดอาจเป็นตัวแทนคนข้ามเพศ กลุ่ม LGBT ก็ไม่แปลกอะไร ยิ่งดีถ้าประชาชนจะเลือก
ฐานเสียงของประชาธิปัตย์ยังแน่นอยู่ แต่แน่นอย่างไรก็สู้พรรคไทยรักไทยเดิมไม่ได้ แม้ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชน หรือเพื่อไทยก็ตาม แต่วัดกันตรงๆ ที่เขาสำรวจกันเมื่อไหร่ก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็ยังมาที่ 1 อยู่ แต่คงไม่เกินครึ่ง เพราะที่ 2 ก็ยังเป็นประชาธิปัตย์อยู่ ทาง คสช.ถึงยื้อทุกอย่าง ไม่ยอมเลือกตั้ง ถ้าเลือกก็แพ้ ไม่เลือกก็พัง ก็เลยยื้อออกไปเช่นนี้
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เอง ต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ถ้ายังเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ สมมุติว่าเขาจะไปเสนอคนนอก ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค แล้วจะยอมเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือ ในประวัติศาสตร์ไทยมีอยู่คนเดียวคือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเขาก็ไม่ยอม อีกอย่างคือนายอภิสิทธิ์นำประชาธิปัตย์แพ้มาตลอด คงมีการเปลี่ยน แต่จะได้หน้าใหม่ หรือจะกลับไปเป็นคุณชวน หลีกภัย อีกครั้งหนึ่งก็ไม่ทราบ ถ้าไม่เปลี่ยนก็คงไม่ชนะอีก
นันทนา นันทวโรภาส
คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก
การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะตั้งพรรคการเมืองถือเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับคำพูดของคุณสุเทพเอง ที่เคยประกาศว่าจะไม่เข้ามายุ่งกับการเมือง การเป็นนักการเมืองนั้น ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะประชาชนจะให้การยอมรับสนับสนุนนักการเมืองคนใด เขาก็ต้องดูว่านักการเมืองคนนั้นพูดจริง ทำจริง และเป็นที่พึ่งได้ ดังนั้น ถ้านักการเมืองสื่อสารแล้วเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ความน่าเชื่อถือจะขาดไปโดยสิ้นเชิง และไม่มีหลักประกันใดเลยว่าถ้าพูดอย่างหนึ่ง แล้วทำอีกอย่างหนึ่ง เมื่อสัญญากับประชาชนแล้ว จะทำตามสัญญาหรือไม่ อันนี้เป็นความอันตรายอย่างยิ่งสำหรับนักการเมือง จึงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคุณสุเทพถึงคิดที่จะตั้งพรรคการเมือง
การตั้งพรรคการเมืองครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มกดดันทางการเมืองคือกลุ่มมวลมหาประชาชนที่สนับสนุนให้คุณสุเทพต่อสู้กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่จนถึงตอนนี้ การเปลี่ยนสถานะจากกลุ่มกดดันไปเป็นพรรคการเมืองยังเป็นมติของมวลมหาประชาชนหรือไม่ เพราะทั้งสองสถานะนี้คือคนละอย่างกัน กลุ่มกดดันเกิดขึ้นมาในระยะเวลาหนึ่งเพื่อปฏิบัติการอะไรบางอย่าง เช่น ต่อต้าน หรือสนับสนุน หลังจากบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว กลุ่มกดดันนั้นก็อาจจะสลายตัวไป เพราะภารกิจสิ้นสุดแล้ว ไม่ได้มีความผูกพันว่าจะต้องมาเป็นมวลชนของนายสุเทพ แต่หากจะมองกลุ่มกดดันทางการเมืองว่าเป็นมวลชนพื้นฐานสำหรับการตั้งพรรคการเมือง ก็สามารถทำได้ แต่ต้องกลับไปดูมวลชนด้วยว่าเขาอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า อยากให้ดูตัวอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เปลี่ยนตัวเองไปเป็นพรรคการเมืองใหม่ แล้วมวลชนก็ไม่ได้ให้การสนับสนุน สุดท้ายพรรคนี้ก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว จึงมองว่านายสุเทพจะไม่สามารถระดมมวลชนมาสนับสนุนได้เหมือนเช่นช่วงที่เป็น กปปส. เพราะมีความต่างทั้งในเรื่องเป้าหมายและพันธกิจ
ส่วนการแยกออกไปตั้งพรรคของนายสุเทพจะเป็นการแย่งฐานเสียงกันเองในภาคใต้กับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น คิดว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน คงต้องปล่อยให้การดำเนินการต่างๆ เดินต่อไป เพื่อจะได้เห็นภาพว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร อีกไม่นานคงได้เห็นว่าเป็นการแยกกันจริงๆ หรือใช้กลยุทธ์แยกกันเดินรวมกันตี เพราะกลุ่มคนในพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังเป็นกลุ่มที่จะมาอยู่ในซีก กปปส. หมายถึงยังเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่เชื่อยากว่าจะแยกกันได้จริงๆ
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
การตั้งพรรคการเมืองเป็นสิทธิทั่วไปที่สามารถทำได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และควรจะจัดตั้งอย่างยิ่ง ถามว่าฐานเสียงของพรรค กปปส.กับประชาธิปัตย์ซ้อนทับกันหรือเปล่า ก็ต้องมองว่าพรรคประชาธิปัตย์มีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในการระดมคนเข้า กปปส. ซึ่งก่อนจะฟันธงต้องดูตรงนี้ อย่างไรก็ตาม กปปส.มีความหลากหลาย ทั้งคนของประชาธิปัตย์ ทั้งเอ็นจีโอที่ต้องการปฏิรูปประเทศ เอาเข้าจริงฐานเสียงอาจไม่ใช่ก้อนเดียวกันทั้งหมด ตรงนี้จึงคิดว่าคงไม่ถึงกับกระทบมากนัก มองว่าอาจเป็นเฉพาะบางแห่งบางที่เท่านั้น
ในความเป็นจริง ส.ส.ประชาธิปัตย์ทางใต้ค่อนข้างเหนียวแน่น ต่อให้นายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งพรรคการเมือง ไม่ว่านายสุเทพจะแสดงตนหรือไม่ก็ต้องอาศัยนายสุเทพอยู่ดี
ทั้งนี้ ในยามวิกฤตที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ไม่ได้แสดงตัวเป็นธงนำให้เห็นความหวังที่ปลายอุโมงค์ รวมถึงการปรองดองซึ่งอยากพูดในภาพรวมด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ แต่รู้สึกว่าพรรคการเมือง ซึ่งแม้จะถูกจำกัดจากประกาศของ คสช. แต่เราก็คาดหวังว่าพรรคการเมืองต้องทำหน้าที่ในวิกฤตของบ้านเมืองมากกว่านี้ จึงค่อนข้างผิดหวังกับบทบาทของการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสถาบันการเมือง ที่จะนำบ้านเมืองเปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ควรทำหน้าที่มากกว่านี้ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว
ส่วนกลยุทธ์การต่อสู้ของประชาธิปัตย์ ต้องดูฐานมวลชนว่าการเลือกตั้งในรอบสิบปีที่ผ่านมา คือ มีกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่ที่เคยใช้สิทธิจำนวนหนึ่งและไม่เคยได้รับการรับรองสิทธิเลยตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ในปี 2557 มีความพยายามเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่เป็นผล เพราะฉะนั้นนับจากปี 2554 ถึงปัจจุบัน ตัวเลขของประชาชนวัยหนุ่มสาวที่อายุ 18 ปีใน พ.ศ.2554 จนถึงปี 2557 คนกลุ่มนี้มีเป็นล้าน น่าจะเป็นกลุ่มที่อาจจะมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่าน คือถ้ามีทางเลือกใหม่ที่ไม่ใช่โฉมหน้าของนักการเมืองแบบเก่า อาศัยความนิยมแบบเก่า แต่อาศัยฐานของโซเชียลมีเดีย ฐานของความนิยมในตัวบุคคลซึ่งเชื่อว่ามีไม่น้อย ก็น่าสนใจ พูดตรงๆ คือ คงหวังอะไรเก่าๆ ไม่ได้
มองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ กับรัฐบาลที่กำลังร่างกฎหมายเรื่อง กกต.ก็ดี จะต้องไม่เลื่อนโรดแมปออกไปอีกแล้ว อีกด้านหนึ่งคือการจะปูทางให้การเมืองเดินหน้าต่อไป ต้องคิดคำนึงด้วยว่าเราจะดึงฟืนไฟที่สุมกันอยู่อย่างไร เพราะความขัดแย้งผูกพันกันมาหลายปี มีตัวละครมากขึ้น แม้กระทั่งเด็กอายุสิบกว่าๆ ก็ตกเป็นจำเลยในคดีการเมือง เป็นผู้ต้องหาในคดีการเมืองมากมาย
ตรงนี้จะเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งว่า พรรคการเมืองใดจะมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะเข้ามาปลดล็อกตรงนี้ให้คนเหล่านี้ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ในช่วงที่พรรคการเมืองอ้างว่าถูกบังคับให้ทำหน้าที่ไม่ได้ พอคุณเริ่มจะทำได้ คุณต้องพูดอะไรบางอย่างออกมา