สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากจะเล่าประสบการณ์การติดเชื้อ HIV ของผมเพื่อให้เป็นข้อคิด ข้อเตือนใจ สำหรับทุกๆคน ไม่เฉพาะแค่กับวัยรุ่น และข้อปฎิบัติในการใช้ชีวิตครับ
เกริ่นก่อนนะครับ ผมเป็นเกย์อายุ 22 ปีพึ่งจะเรียนจบจากมหาลัยหนึ่ง ชีวิตก็เป็นแบบมนุษย์ทั่วๆไปแหละครับ ผมเคยเสี่ยงอยู่หนึ่งครั้งแต่ตอนนั้นไม่เคยใส่ใจ เพราะไม่มีความรู้มากพอในการป้องกัน (อันนี้ยอมรับเลยครับ ว่าตัวเองพลาดมาก) จนมาถึงช่วงหนึ่งที่ Gay OK Bangkok ได้นำเสนอเรื่องราวที่ในเรื่องนำแสดงโดยเด็งหนึ่ง ผู้ติดเชื้อ HIV ตอนนั้นทำให้ผมหวั่นๆเล็กน้อย เพราะเราเคยเสี่ยง และเราได้ทำการตัดสินใจไปตรวจเชื้อ HIV ที่คลีนิคนิรนาม
ผมตัดสินใจเดินทางไปคนเดียว ขี้เกียจชวนเพื่อนไป กลัวถ้ารู้มาแล้วเขาจะรับไม่ได้ ผลตรวจก็ออกมาตามนั้นแหละครับ Positive ตอนแรกช๊อค ช๊อคมากพยาบาลถามว่าโอเคไหม ตอนนั้นผมไม่ร้องไห้ เพราะไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น เราบอกโอเค ถ้าเป็นก็แค่รักษา พยาบาลเลยจัดการเรื่องยาอะไรให้ ระหว่างทางกลับบ้าน จำได้ว่านั่งรถกลับร้องไห้จนแทบทรุดไปเลย
พอกลับถึงบ้าน เราเขียนจดหมายลาพ่อแม่ เพื่อน คนรัก แล้วขังอยู่ตัวเองไม่ไปไหน จนเผลอหลับไป ผมเศร้าอย่างนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ แต่ตอนนั้นยังไม่รับยา เพราะทำเรื่องเกี่ยวกับสิทธิ์อะไรสักอย่างอยู่
ชีวิตเราหลังจากนั้นก็ดาวน์เลยครับ ไหนงาน ไหนอยู่ๆก็จะตาย แถมยังจับได้ว่าแฟนมีคนอื่นพอดี จนทำให้ผมเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า ทุกๆอย่างมันเหมือนพังพร้อมกัน เด็กอายุ 20ต้นๆจะต้องมาเจอเรื่องหนักขนาดนี้เลยหรอ? ทุกๆวันคิดแต่เรื่องตาย อยากตายๆไปได้ก็ดี เพราะอยู่ไปยังไงเดี๋ยวก็ตาย อยู่ได้ไม่นาน ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนอะไรกับการตายของเรา
พอถึงคราวไปหาหมอ CD4 ผมอยู่ที่ 600กว่า หมอถามว่าพร้อมจะเริ่มไหม ถ้าไม่พร้อมหมอเข้าใจ แต่ก็อยากให้เริ่มให้ไวที่สุด เราปัดหมอมาตลอดถึงสี่เดือน (เพราะว่าดื้อ) จนกระทั่งเข้ารักษาอย่างจริงจัง
เรื่องที่ 1 : การใส่ใจในการทานยา คือเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งเลยนะครับ โอเคมันอาจจะเลทได้ แต่อย่าพยายามเลทบ่อย ผมทานต่อเนื่องมาตลอด (ทานทุกวันตอน 4ทุ่มครับ) ยังไม่เคยเลท เลทมากสุดไม่ถึง 1 นาที เพราะตอนนั้นอยู่บนรถ การที่เราทานยาตรงเวลาสม่ำเสมอจะช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันที่มากขึ้นครับ ตอนนี้ CD4 ผมจะ 1,000แล้วครับ หมอบอกไวมาก ขึ้นมายังตกใจ รับยาไปไม่นานเอง พอผมเห็นแค่ CD4 ที่มันขึ้นมาเนี่ยแหละครับ มันคือผลที่ทำให้เราอยากมีชีวิตต่อ
โอเค ผมใช้หลักการแข่ง CD4 ครับ งงใช่ไหม? โอเคผมจะอธิบายให้ฟัง หลักการแข่ง CD4 ของผม คือทุกๆครั้งที่ตรวจเลือดครั้งใหญ่ ถ้า CD4 ขึ้น นั้นแหละมันคือสาเหตุที่ทำให้เราตายไม่ได้ ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตต่อ ง่ายๆเลยครับ ไม่ต้องแข่งกับใคร แข่งกับเจ้า CD4 ของตัวเองเนี่ยแหละครับ พอตอนนี้ CD4 ผมเกือบ 1,000 ผมก็ยิ้มสิครับ แกทำอะไรเราไม่ได้หรอก ที่สำคัญนะครับ พยายามคิดบวกให้มากๆครับ
เรื่องที่ 2 : การเกิดอาการเมายา อันนี้แล้วแต่คนนะครับ ช่วงทานแรกๆอย่าพึ่งตกใจไป หมอทุกท่านน่าจะบอกแหละครับ ว่าผลค้างเขียงจะมีอาการเมายา เราเลือกเวลาทานยาที่สะดวกกับเราเลยครับ พอทานเสร็จช่วงแรกๆ ผมแนะนำให้รีบนอนทันที เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเมายาที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการเมายา อาจจะหายช้าหายไว ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยด้วยครับ อย่างผมช่วงแรกๆที่ทาน นอนดึก เมายาแบบทรมานมาก คือเดินไม่ไหว โลกเอียง ล้มลงกับพื้น ผมเลยเลือกที่จะนอนไว สักประมาณ 2-3 เดือนก็จะเป็นปกติแล้วครับ ทนหน่อยนะครับ แต่เดี๋ยวมันจะดีขึ้น
เรื่องที่ 3 : การให้กำลังใจกับตัวเอง โอเคมันอาจจะยากในช่วงแรกนะครับ แต่คิดดูอีกมุมนะครับ ถ้าเราเรื่องจะปิด ไม่บอกใคร เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราทำได้คือการ heal ให้กับตัวเอง มันอาจจะ work สำหรับผม หรือ doesn’t work กับคนอื่น แต่เชื่อเหอะครับ กำลังใจคือสิ่งสำคัญที่สุด
เรื่องที่ 4 : การบอกความจริงคู่นอน/แฟน/ครอบครัว/เพื่อน ว่าคุณมีเชื่อ HIV โอเคในหัวข้อนี้ซึ่งแน่นอนครับ ผมเลือกที่จะบอกแฟน เพราะเป็นคนที่ใกล้ตัวที่สุด ที่มีโอกาสได้รับเชื้อจากเรามาที่สุด ผมตัดสินใจไปบอกเขาคนแรกและคนเดียว บอกเขาว่าให้ไปตรวจ ถ้าไม่มีก็เลิกกันไป เพราะไม่อยากให้เขามาทนอยู่กับเรา เขาไปตรวจซึ่งเขาไม่พบเชื้อ (เรายังไม่เคยสอดใส่กันจริงๆจังๆสักครั้งนะครับ แค่ภายนอก แต่ก็มีโอกาส โปรดอย่าละเลย)
เขาตัดสินใจไม่เลิก ผมบอกเลิกเขาหลายครั้ง ผมเลือกที่จะทำตัวงี่เง่าเพื่อให้เขารำคาญ แต่สิ่งเดียวที่ผมสัมผัสได้คือ เขารั้ง และยื้อผมไว้เสมอ เขาไม่เคยทิ้งผมไปไหน แม้ว่าผมจะมีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายก็ตาม ซึ่งข้อนี้ทำให้ผมได้กำลังใจเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวเลยครับ
ส่วนทางครอบครัว ผมกะว่าจะยังไม่บอกนะครับ ผมคิดว่ารอให้ผมมีการมีงานที่ค่อนข้างมั่นคง หรือไม่ก็แต่งงานกับแฟนผมก่อนครับ ผมถึงจะตัดสินใจบอก อย่างน้อยท่านจะได้หายห่วง
เรื่องที่ 5 : การป้องกันระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับแฟน เราเรื่องที่จะป้องกันโดยใส่ถุงยาง แล้วแฟนก็เลือกที่จะทาน PrEP ผมใช้ทฤษฎีของผมเอง เพราะสงสารแฟนที่ต้องมาคอยทานยา ผมไม่อยากให้ตับเขาทำงานหนัก ผมเลยตกลงกับเขาว่า ให้เขาทานเดือนเว้นเดือน แล้วระหว่างเดือนที่เว้น เราจะไม่มีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่กัน เพื่อเป็นการป้องกันให้กับตัวเขาด้วย
เอ่อ อีกอย่างเวลาแฟนผมปากมีร้อนใน ผมจะหลีกเลี่ยงการจูบปากกับแฟนนะครับ เข้าใจครับ ว่าเชื้อไม่ติดทางน้ำลาย แต่เราอยากจะป้องกันไว้หลายๆทาง
เรื่องที่ 6 : การเที่ยวกลางคืน กับการดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับคนที่เป็นสายเมาเช่นผม แรกๆผมทำใจไม่ได้เลยครับ ที่รู้ว่าเป็นแล้วต้องหยุดดื่ม แต่ทำยังไงได้ล่ะ ให้เปลี่ยนวิธีคิดนะครับ ร่างกายเราอ่อนแออยู่แล้ว เราอยากจะให้มันอ่อนแอมากกว่านี้อีกหรอ? ก็นั้นแหละครับ จากปกติดื่มทุกอาทิตย์ บางทีอาทิตย์ละ 2-3 วัน ก็เลื่อนมาเป็นเดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง สามเดือนครั้งครับ มันอาจจะยากนิดหน่อย แต่เชื่อผมเถอะครับ เพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อใครเลย
เรื่องที่ 7 : อย่างที่ผมเคยบอกไปข้างต้นน่ะครับ ว่าผมเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้าเลย เพราะปัญหาหลายอย่างมันรุมเร้า บางคนตรวจเจอก็อาจจะเป็นก็ได้ครับ ปัญหาแต่ละคนก็ต่างๆกันไป ผมแนะนำให้หากิจกรรมทำในยามว่างนะครับ มันช่วยชีวิตได้ดีจริงๆครับ เพราะถ้าเราทำกิจกรรมยามว่าง มันจะทำให้เราลืมเรื่องที่สะสมมาออกไปได้ ไม่มากก็น้อยแหละครับ
การออกกำลังกาย เรื่องนี้คง depend on แต่ละคนแล้วกันนะครับว่าเรื่องที่จะทำหรือไม่ แต่ผมแนะนำนะครับ ว่าควร มันจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วจิตใจเราจะดีขึ้นด้วยครับ ผมไม่นับถือศาสนานะครับ จิตใจผมดีขึ้นผมคิดว่ามาจากการออกกำลังกายด้วยแหละครับ แต่ถ้าใครนับถือศาสนาก็อาจจะพึ่งการทำสมาธิ การเข้าวัด การทำบุญ ก็ช่วยให้จิตใจดีขึ้นเช่นกันครับ
เรื่องที่ 8 : การนำยาไปต่างประเทศ อันนี้เนื่องจากผมเป็นคนเที่ยวบ่อย ผมอยากแนะนำให้ขอใบรับรองแพทย์พกติดตัวไปด้วยครับ (โรงพยาบาลผมต้องเอา Passport ไปตอนหาหมอก่อนที่จะไปต่างประเทศนะครับ เพราะหมอต้องใช้เลข Passport เพื่อเขียนลงไปในใบรับรองแพทย์ แต่ละโรงพยาบาลอาจจะไม่เหมือนกันนะครับ) ให้พกยา Carry-on ไปสัก 7 เม็ด แล้วเอายาที่เป็นกระปุกโหลดใต้เครื่องไป 1 กระปุกครับ กันไว้ เพื่อกระเป๋าอาจจะตกหล่นหรือเครื่องอาจจะดีเลย์มีปัญหา เราต้องกันไว้ก่อนครับ จากประสบการณ์การเดินทางนะครับ ตอนนี้ยังไม่เคยโดนตม.เรียกตรวจเวลาเขาสแกนกระเป๋า carry-on ครับ ผมต่อเครื่องแทบตะวันออกกลางบ่อยเห็นมีคนบอกว่าค่อนข้างเข็มงวด แต่ผมยังไม่เคยโดน (ใครมีประสบการณ์แชร์กันได้นะครับ) แล้วที่สำคัญ เวลาไปต่างประเทศอย่าลืมตั้งเวลา Time Zone ให้ถูกนะครับ จะตั้งเป็นเวลาไทย รึจะตั้งเป็นเวลาตามประเทศนั้นตามที่เราสะดวกเลยครับ ที่สำคัญพกน้ำติดตัวไว้ด้วยครับเวลาอยู่ต่างประเทศ
เรื่องที่ 9 : อยากทำอะไรก็ให้รีบทำ ไม่ใช่แค่กับคนที่มีเชื้อหลอกครับ สำหรับทุกคน เราอย่าเสียเวลาปล่าวประโยชน์กับการที่เอามานั่งเสียใจ หรือว่าอะไรที่มันไม่ทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข เราอยากทำอะไรก็รีบทำ อยากไปที่ที่ไม่เคยไปก็รีบไป อยากบอกรักใครก็รีบบอก ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าชีวิตเราชีวิตนี้มันจะหมดไปวันไหน เพราะฉะนั้น ทำซะ
นี่คือข้อปฏิบัติการใช้ชีวิตของผมเพื่อจะเป็นแนวทางให้คนที่พึ่งรู้ตรวจว่าทราบว่ามีเชื้อ แหละไขว้เขว หาทางออกไม่เจอ หวังว่าที่ผมพิมพ์มานี้ ก็คงเกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ
พี่โจโจ้ที่ทำ Gay Ok Bangkok ตอนของเต็งหนึ่งแล้วคุณช่าบันทึกของตุ๊ดที่ทำซีรี่ย์ไดอารี่ ตุ๊ดซี่ตอนของกอล์ฟที่ติดเชื้อ HIV จนทำให้ผมกล้าที่จะไปตรวจเลือด แล้วทำให้สังคมรู้ว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV ก็สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้
บ้าน Pha ที่ให้คำแนะนำกับผมและเพื่อนๆที่ติดเชื้อ
แฟนผม ถ้าไม่มีเขาคนนี้ ผมอาจจะทำอะไรบ้าๆไปแล้วก็ได้
แล้วสุดท้ายขอบคุณตัวเอง ที่ไม่เคยท้อ ถ้ามันเป็นไปแล้วก็เป็น ก็รักษามันซะ เลิกโทษความผิดพลาดของตัวเอง มันพลาดแล้วก็อย่าทำมันพลาดอีก
** ถ้าพิมพ์ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ ใครมีสงสัยอะไร หรืออยากจะปรึกษาอะไรส่งข้อความมาหลังไมค์ได้นะครับ
จากประสบการณ์การติดเชื้อ HIV เตือนวัยรุ่นให้ใส่ใจการป้องกัน
เกริ่นก่อนนะครับ ผมเป็นเกย์อายุ 22 ปีพึ่งจะเรียนจบจากมหาลัยหนึ่ง ชีวิตก็เป็นแบบมนุษย์ทั่วๆไปแหละครับ ผมเคยเสี่ยงอยู่หนึ่งครั้งแต่ตอนนั้นไม่เคยใส่ใจ เพราะไม่มีความรู้มากพอในการป้องกัน (อันนี้ยอมรับเลยครับ ว่าตัวเองพลาดมาก) จนมาถึงช่วงหนึ่งที่ Gay OK Bangkok ได้นำเสนอเรื่องราวที่ในเรื่องนำแสดงโดยเด็งหนึ่ง ผู้ติดเชื้อ HIV ตอนนั้นทำให้ผมหวั่นๆเล็กน้อย เพราะเราเคยเสี่ยง และเราได้ทำการตัดสินใจไปตรวจเชื้อ HIV ที่คลีนิคนิรนาม
ผมตัดสินใจเดินทางไปคนเดียว ขี้เกียจชวนเพื่อนไป กลัวถ้ารู้มาแล้วเขาจะรับไม่ได้ ผลตรวจก็ออกมาตามนั้นแหละครับ Positive ตอนแรกช๊อค ช๊อคมากพยาบาลถามว่าโอเคไหม ตอนนั้นผมไม่ร้องไห้ เพราะไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น เราบอกโอเค ถ้าเป็นก็แค่รักษา พยาบาลเลยจัดการเรื่องยาอะไรให้ ระหว่างทางกลับบ้าน จำได้ว่านั่งรถกลับร้องไห้จนแทบทรุดไปเลย
พอกลับถึงบ้าน เราเขียนจดหมายลาพ่อแม่ เพื่อน คนรัก แล้วขังอยู่ตัวเองไม่ไปไหน จนเผลอหลับไป ผมเศร้าอย่างนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ แต่ตอนนั้นยังไม่รับยา เพราะทำเรื่องเกี่ยวกับสิทธิ์อะไรสักอย่างอยู่
ชีวิตเราหลังจากนั้นก็ดาวน์เลยครับ ไหนงาน ไหนอยู่ๆก็จะตาย แถมยังจับได้ว่าแฟนมีคนอื่นพอดี จนทำให้ผมเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้า ทุกๆอย่างมันเหมือนพังพร้อมกัน เด็กอายุ 20ต้นๆจะต้องมาเจอเรื่องหนักขนาดนี้เลยหรอ? ทุกๆวันคิดแต่เรื่องตาย อยากตายๆไปได้ก็ดี เพราะอยู่ไปยังไงเดี๋ยวก็ตาย อยู่ได้ไม่นาน ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนอะไรกับการตายของเรา
พอถึงคราวไปหาหมอ CD4 ผมอยู่ที่ 600กว่า หมอถามว่าพร้อมจะเริ่มไหม ถ้าไม่พร้อมหมอเข้าใจ แต่ก็อยากให้เริ่มให้ไวที่สุด เราปัดหมอมาตลอดถึงสี่เดือน (เพราะว่าดื้อ) จนกระทั่งเข้ารักษาอย่างจริงจัง
เรื่องที่ 1 : การใส่ใจในการทานยา คือเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งเลยนะครับ โอเคมันอาจจะเลทได้ แต่อย่าพยายามเลทบ่อย ผมทานต่อเนื่องมาตลอด (ทานทุกวันตอน 4ทุ่มครับ) ยังไม่เคยเลท เลทมากสุดไม่ถึง 1 นาที เพราะตอนนั้นอยู่บนรถ การที่เราทานยาตรงเวลาสม่ำเสมอจะช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันที่มากขึ้นครับ ตอนนี้ CD4 ผมจะ 1,000แล้วครับ หมอบอกไวมาก ขึ้นมายังตกใจ รับยาไปไม่นานเอง พอผมเห็นแค่ CD4 ที่มันขึ้นมาเนี่ยแหละครับ มันคือผลที่ทำให้เราอยากมีชีวิตต่อ
โอเค ผมใช้หลักการแข่ง CD4 ครับ งงใช่ไหม? โอเคผมจะอธิบายให้ฟัง หลักการแข่ง CD4 ของผม คือทุกๆครั้งที่ตรวจเลือดครั้งใหญ่ ถ้า CD4 ขึ้น นั้นแหละมันคือสาเหตุที่ทำให้เราตายไม่ได้ ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตต่อ ง่ายๆเลยครับ ไม่ต้องแข่งกับใคร แข่งกับเจ้า CD4 ของตัวเองเนี่ยแหละครับ พอตอนนี้ CD4 ผมเกือบ 1,000 ผมก็ยิ้มสิครับ แกทำอะไรเราไม่ได้หรอก ที่สำคัญนะครับ พยายามคิดบวกให้มากๆครับ
เรื่องที่ 2 : การเกิดอาการเมายา อันนี้แล้วแต่คนนะครับ ช่วงทานแรกๆอย่าพึ่งตกใจไป หมอทุกท่านน่าจะบอกแหละครับ ว่าผลค้างเขียงจะมีอาการเมายา เราเลือกเวลาทานยาที่สะดวกกับเราเลยครับ พอทานเสร็จช่วงแรกๆ ผมแนะนำให้รีบนอนทันที เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเมายาที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น อาการเมายา อาจจะหายช้าหายไว ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยด้วยครับ อย่างผมช่วงแรกๆที่ทาน นอนดึก เมายาแบบทรมานมาก คือเดินไม่ไหว โลกเอียง ล้มลงกับพื้น ผมเลยเลือกที่จะนอนไว สักประมาณ 2-3 เดือนก็จะเป็นปกติแล้วครับ ทนหน่อยนะครับ แต่เดี๋ยวมันจะดีขึ้น
เรื่องที่ 3 : การให้กำลังใจกับตัวเอง โอเคมันอาจจะยากในช่วงแรกนะครับ แต่คิดดูอีกมุมนะครับ ถ้าเราเรื่องจะปิด ไม่บอกใคร เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เราทำได้คือการ heal ให้กับตัวเอง มันอาจจะ work สำหรับผม หรือ doesn’t work กับคนอื่น แต่เชื่อเหอะครับ กำลังใจคือสิ่งสำคัญที่สุด
เรื่องที่ 4 : การบอกความจริงคู่นอน/แฟน/ครอบครัว/เพื่อน ว่าคุณมีเชื่อ HIV โอเคในหัวข้อนี้ซึ่งแน่นอนครับ ผมเลือกที่จะบอกแฟน เพราะเป็นคนที่ใกล้ตัวที่สุด ที่มีโอกาสได้รับเชื้อจากเรามาที่สุด ผมตัดสินใจไปบอกเขาคนแรกและคนเดียว บอกเขาว่าให้ไปตรวจ ถ้าไม่มีก็เลิกกันไป เพราะไม่อยากให้เขามาทนอยู่กับเรา เขาไปตรวจซึ่งเขาไม่พบเชื้อ (เรายังไม่เคยสอดใส่กันจริงๆจังๆสักครั้งนะครับ แค่ภายนอก แต่ก็มีโอกาส โปรดอย่าละเลย)
เขาตัดสินใจไม่เลิก ผมบอกเลิกเขาหลายครั้ง ผมเลือกที่จะทำตัวงี่เง่าเพื่อให้เขารำคาญ แต่สิ่งเดียวที่ผมสัมผัสได้คือ เขารั้ง และยื้อผมไว้เสมอ เขาไม่เคยทิ้งผมไปไหน แม้ว่าผมจะมีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายก็ตาม ซึ่งข้อนี้ทำให้ผมได้กำลังใจเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวเลยครับ
ส่วนทางครอบครัว ผมกะว่าจะยังไม่บอกนะครับ ผมคิดว่ารอให้ผมมีการมีงานที่ค่อนข้างมั่นคง หรือไม่ก็แต่งงานกับแฟนผมก่อนครับ ผมถึงจะตัดสินใจบอก อย่างน้อยท่านจะได้หายห่วง
เรื่องที่ 5 : การป้องกันระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับแฟน เราเรื่องที่จะป้องกันโดยใส่ถุงยาง แล้วแฟนก็เลือกที่จะทาน PrEP ผมใช้ทฤษฎีของผมเอง เพราะสงสารแฟนที่ต้องมาคอยทานยา ผมไม่อยากให้ตับเขาทำงานหนัก ผมเลยตกลงกับเขาว่า ให้เขาทานเดือนเว้นเดือน แล้วระหว่างเดือนที่เว้น เราจะไม่มีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่กัน เพื่อเป็นการป้องกันให้กับตัวเขาด้วย
เอ่อ อีกอย่างเวลาแฟนผมปากมีร้อนใน ผมจะหลีกเลี่ยงการจูบปากกับแฟนนะครับ เข้าใจครับ ว่าเชื้อไม่ติดทางน้ำลาย แต่เราอยากจะป้องกันไว้หลายๆทาง
เรื่องที่ 6 : การเที่ยวกลางคืน กับการดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับคนที่เป็นสายเมาเช่นผม แรกๆผมทำใจไม่ได้เลยครับ ที่รู้ว่าเป็นแล้วต้องหยุดดื่ม แต่ทำยังไงได้ล่ะ ให้เปลี่ยนวิธีคิดนะครับ ร่างกายเราอ่อนแออยู่แล้ว เราอยากจะให้มันอ่อนแอมากกว่านี้อีกหรอ? ก็นั้นแหละครับ จากปกติดื่มทุกอาทิตย์ บางทีอาทิตย์ละ 2-3 วัน ก็เลื่อนมาเป็นเดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง สามเดือนครั้งครับ มันอาจจะยากนิดหน่อย แต่เชื่อผมเถอะครับ เพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่เพื่อใครเลย
เรื่องที่ 7 : อย่างที่ผมเคยบอกไปข้างต้นน่ะครับ ว่าผมเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้าเลย เพราะปัญหาหลายอย่างมันรุมเร้า บางคนตรวจเจอก็อาจจะเป็นก็ได้ครับ ปัญหาแต่ละคนก็ต่างๆกันไป ผมแนะนำให้หากิจกรรมทำในยามว่างนะครับ มันช่วยชีวิตได้ดีจริงๆครับ เพราะถ้าเราทำกิจกรรมยามว่าง มันจะทำให้เราลืมเรื่องที่สะสมมาออกไปได้ ไม่มากก็น้อยแหละครับ
การออกกำลังกาย เรื่องนี้คง depend on แต่ละคนแล้วกันนะครับว่าเรื่องที่จะทำหรือไม่ แต่ผมแนะนำนะครับ ว่าควร มันจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง แล้วจิตใจเราจะดีขึ้นด้วยครับ ผมไม่นับถือศาสนานะครับ จิตใจผมดีขึ้นผมคิดว่ามาจากการออกกำลังกายด้วยแหละครับ แต่ถ้าใครนับถือศาสนาก็อาจจะพึ่งการทำสมาธิ การเข้าวัด การทำบุญ ก็ช่วยให้จิตใจดีขึ้นเช่นกันครับ
เรื่องที่ 8 : การนำยาไปต่างประเทศ อันนี้เนื่องจากผมเป็นคนเที่ยวบ่อย ผมอยากแนะนำให้ขอใบรับรองแพทย์พกติดตัวไปด้วยครับ (โรงพยาบาลผมต้องเอา Passport ไปตอนหาหมอก่อนที่จะไปต่างประเทศนะครับ เพราะหมอต้องใช้เลข Passport เพื่อเขียนลงไปในใบรับรองแพทย์ แต่ละโรงพยาบาลอาจจะไม่เหมือนกันนะครับ) ให้พกยา Carry-on ไปสัก 7 เม็ด แล้วเอายาที่เป็นกระปุกโหลดใต้เครื่องไป 1 กระปุกครับ กันไว้ เพื่อกระเป๋าอาจจะตกหล่นหรือเครื่องอาจจะดีเลย์มีปัญหา เราต้องกันไว้ก่อนครับ จากประสบการณ์การเดินทางนะครับ ตอนนี้ยังไม่เคยโดนตม.เรียกตรวจเวลาเขาสแกนกระเป๋า carry-on ครับ ผมต่อเครื่องแทบตะวันออกกลางบ่อยเห็นมีคนบอกว่าค่อนข้างเข็มงวด แต่ผมยังไม่เคยโดน (ใครมีประสบการณ์แชร์กันได้นะครับ) แล้วที่สำคัญ เวลาไปต่างประเทศอย่าลืมตั้งเวลา Time Zone ให้ถูกนะครับ จะตั้งเป็นเวลาไทย รึจะตั้งเป็นเวลาตามประเทศนั้นตามที่เราสะดวกเลยครับ ที่สำคัญพกน้ำติดตัวไว้ด้วยครับเวลาอยู่ต่างประเทศ
เรื่องที่ 9 : อยากทำอะไรก็ให้รีบทำ ไม่ใช่แค่กับคนที่มีเชื้อหลอกครับ สำหรับทุกคน เราอย่าเสียเวลาปล่าวประโยชน์กับการที่เอามานั่งเสียใจ หรือว่าอะไรที่มันไม่ทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข เราอยากทำอะไรก็รีบทำ อยากไปที่ที่ไม่เคยไปก็รีบไป อยากบอกรักใครก็รีบบอก ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าชีวิตเราชีวิตนี้มันจะหมดไปวันไหน เพราะฉะนั้น ทำซะ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ
พี่โจโจ้ที่ทำ Gay Ok Bangkok ตอนของเต็งหนึ่งแล้วคุณช่าบันทึกของตุ๊ดที่ทำซีรี่ย์ไดอารี่ ตุ๊ดซี่ตอนของกอล์ฟที่ติดเชื้อ HIV จนทำให้ผมกล้าที่จะไปตรวจเลือด แล้วทำให้สังคมรู้ว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV ก็สามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติได้
บ้าน Pha ที่ให้คำแนะนำกับผมและเพื่อนๆที่ติดเชื้อ
แฟนผม ถ้าไม่มีเขาคนนี้ ผมอาจจะทำอะไรบ้าๆไปแล้วก็ได้
แล้วสุดท้ายขอบคุณตัวเอง ที่ไม่เคยท้อ ถ้ามันเป็นไปแล้วก็เป็น ก็รักษามันซะ เลิกโทษความผิดพลาดของตัวเอง มันพลาดแล้วก็อย่าทำมันพลาดอีก
** ถ้าพิมพ์ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ ใครมีสงสัยอะไร หรืออยากจะปรึกษาอะไรส่งข้อความมาหลังไมค์ได้นะครับ