คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
การรักษาด้วยการฟอกเลือด/ล้างช่องท้อง ทำให้คนไข้อยู่นานขึ้น แต่คุณภาพชีวิตนี่อีกเรื่องนะคะ
มีงานวิจัยให้ผู้ป่วยฟอกเลือด/ล้างช่องท้องตอบแบบสอบถาม ว่าคุณภาพชีวิตเขาก่อนกับหลังล้างไตเป็นยังไง
ปรากฏว่าคุณภาพชีวิตมีเพียงบางเรื่องที่ดีขึ้น คือ ไม่มีหอบเหนื่อยจากน้ำท่วมปอด แต่พวกความเพลีย กินไม่ลง อาการคัน กลับไม่ได้ดีขึ้นเลย
เดี๋ยวนี้จึงมีการรักษาแบบประคับประคองเกิดขึ้นมา คือ ไม่ใช่ว่าใครไตวาย ต้องเข้าสู่การฟอกเลือด/ล้างช่องท้องกันหมด
การรักษาประคับประคองไม่ใช่แปลว่าไม่ทำอะไร เค้ามีการใช้ยาแก้ปวด ยานอนหลับ ยาลดอาการคัน ฯลฯ ที่ทำให้ผู้ป่วยสบาย
การเลือกว่าจะรักษาแบบไหนขึ้นอยู่กับคนไข้และญาติเป็นหลัก
ถ้าคนอายุน้อย ยังมีภาระหน้าที่ การฟอกเลือด/ล้างช่องท้องเพื่อยืดชีวิตอาจมีความจำเป็น
โดยเฉพาะถ้ามีเป้าหมายถึงขั้นปลูกถ่ายไต ซึ่งคุณภาพชีวิตมักจะกลับมาใกล้เคียงคนปกติ
แต่คนสูงอายุที่มีโรคหลายอย่าง คนที่สติปัญญาบกพร่องมากๆ คุณภาพชีวิตอาจจะน้อยอยู่แล้ว หรือเจ้าตัวก็ไม่ได้อยากอยู่แล้ว
การไปยืดระยะความตายให้นานขึ้น (เค้าเรียกว่า prolonging death ไม่ใช่ prolonging life) อาจจะทรมานกว่าจากไปตามธรรมชาติ
จะกินเค็มก็ไม่ได้ กินหวานก็ไม่ได้ กระหายน้ำก็ดื่มไม่ได้ ไปฟอกเลือดก็ปวดหัว กลับมานอนก็ขาเป็นตะคริว ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ หลายๆ รพ.มีการทำ palliative มากขึ้น เค้าแนะนำว่าเมื่อผู้ป่วยและญาติแสดงเจตจำนงกับหมอแล้ว
ให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในเวชระเบียนไว้เลย เวลาคนไข้ถึงวาระสุดท้ายหมอก็อาจจะให้ยาให้คนไข้สงบ ไม่เจ็บ ไม่เหนื่อย
(ที่ว่ายังไงหมอก็ต้องให้ฟอกเลือด/ใส่ท่อ อันนั้นไม่ใช่นะคะ ถ้าญาติหรือคนไข้ไม่ให้ทำ ยังไงหมอก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว
แต่การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในเวชระเบียน จะทำให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจ มั่นคง ว่าได้ไตร่ตรองมาดีแล้ว)
ทั้งนี้ต้องคุยกับญาติทุกคนให้เรียบร้อย เพราะคนที่ได้อยู่ใกล้ ได้เห็นความทรมาน และทราบเจตนารมย์ของคนไข้ดี อาจจะเข้าใจก็จริง
แต่มักจะมีญาติที่ทั้งตาปีตาชาติไม่เคยมาดูแล แต่จะมาให้ยื้อตอนคนไข้กำลังจะไป พวกนี้แหละ จะทำให้แผนเสีย
ถ้ามีแบบนี้ขึ้นมาคนนึง หมอก็คงไม่กล้าปล่อยคนไข้ ก็ต้องวนลูปกลับไปฟอกเลือด ใส่ท่อช่วยหายใจ อะไรต่างๆ อีก
มีงานวิจัยให้ผู้ป่วยฟอกเลือด/ล้างช่องท้องตอบแบบสอบถาม ว่าคุณภาพชีวิตเขาก่อนกับหลังล้างไตเป็นยังไง
ปรากฏว่าคุณภาพชีวิตมีเพียงบางเรื่องที่ดีขึ้น คือ ไม่มีหอบเหนื่อยจากน้ำท่วมปอด แต่พวกความเพลีย กินไม่ลง อาการคัน กลับไม่ได้ดีขึ้นเลย
เดี๋ยวนี้จึงมีการรักษาแบบประคับประคองเกิดขึ้นมา คือ ไม่ใช่ว่าใครไตวาย ต้องเข้าสู่การฟอกเลือด/ล้างช่องท้องกันหมด
การรักษาประคับประคองไม่ใช่แปลว่าไม่ทำอะไร เค้ามีการใช้ยาแก้ปวด ยานอนหลับ ยาลดอาการคัน ฯลฯ ที่ทำให้ผู้ป่วยสบาย
การเลือกว่าจะรักษาแบบไหนขึ้นอยู่กับคนไข้และญาติเป็นหลัก
ถ้าคนอายุน้อย ยังมีภาระหน้าที่ การฟอกเลือด/ล้างช่องท้องเพื่อยืดชีวิตอาจมีความจำเป็น
โดยเฉพาะถ้ามีเป้าหมายถึงขั้นปลูกถ่ายไต ซึ่งคุณภาพชีวิตมักจะกลับมาใกล้เคียงคนปกติ
แต่คนสูงอายุที่มีโรคหลายอย่าง คนที่สติปัญญาบกพร่องมากๆ คุณภาพชีวิตอาจจะน้อยอยู่แล้ว หรือเจ้าตัวก็ไม่ได้อยากอยู่แล้ว
การไปยืดระยะความตายให้นานขึ้น (เค้าเรียกว่า prolonging death ไม่ใช่ prolonging life) อาจจะทรมานกว่าจากไปตามธรรมชาติ
จะกินเค็มก็ไม่ได้ กินหวานก็ไม่ได้ กระหายน้ำก็ดื่มไม่ได้ ไปฟอกเลือดก็ปวดหัว กลับมานอนก็ขาเป็นตะคริว ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ หลายๆ รพ.มีการทำ palliative มากขึ้น เค้าแนะนำว่าเมื่อผู้ป่วยและญาติแสดงเจตจำนงกับหมอแล้ว
ให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรในเวชระเบียนไว้เลย เวลาคนไข้ถึงวาระสุดท้ายหมอก็อาจจะให้ยาให้คนไข้สงบ ไม่เจ็บ ไม่เหนื่อย
(ที่ว่ายังไงหมอก็ต้องให้ฟอกเลือด/ใส่ท่อ อันนั้นไม่ใช่นะคะ ถ้าญาติหรือคนไข้ไม่ให้ทำ ยังไงหมอก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว
แต่การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในเวชระเบียน จะทำให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจ มั่นคง ว่าได้ไตร่ตรองมาดีแล้ว)
ทั้งนี้ต้องคุยกับญาติทุกคนให้เรียบร้อย เพราะคนที่ได้อยู่ใกล้ ได้เห็นความทรมาน และทราบเจตนารมย์ของคนไข้ดี อาจจะเข้าใจก็จริง
แต่มักจะมีญาติที่ทั้งตาปีตาชาติไม่เคยมาดูแล แต่จะมาให้ยื้อตอนคนไข้กำลังจะไป พวกนี้แหละ จะทำให้แผนเสีย
ถ้ามีแบบนี้ขึ้นมาคนนึง หมอก็คงไม่กล้าปล่อยคนไข้ ก็ต้องวนลูปกลับไปฟอกเลือด ใส่ท่อช่วยหายใจ อะไรต่างๆ อีก
แสดงความคิดเห็น
ขอคำปรึกษาค่ะ โรคไตในผู้สูงอายุ ควรฟอกหรือไม่ฟอกดีคะ
คุณย่าอายุ 82ปีค่ะ ค่าไตกำลังเสื่อมลงเรื่อยๆ ตอนนี้รักษาโดยการทานยา งดผักใบเขียว หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นกลุ่มเสี่ยง
และมีการฉีดยาฮอร์โมนลดเลือดจางเพื่อลดการเกิดสภาวะไตวายค่ะ ซึ่งมีการนัดพบคุณหมอตลอดทุกสามเดือน ณ โรงพยาบาลรัฐฯแห่งหนึ่ง
โดยปกติแล้วมีการปรึกษากับคุณหมอตลอดค่ะถึงแนวทางการรักษา และการรับมือเมื่อถึงขั้นวิกฤติ
เนื่องจากคุณย่า "ไม่ขอรับการรักษาโดยการฟอกไตและฟอกเลือดค่ะ" คือต้องการรักษาด้วยยาฉีดและรับประทานยาไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ากลัวเจ็บและเหตุผลอื่นๆ ซึ่งได้คุยกันถึงวันหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคืออาการโคม่าที่มาจากโรคไต
เราตกลงกันว่า จะยื้อหรือรักษาคุณย่าต่อด้วยวิธีธรรมชาติค่ะ จะคุยกับทางรพ.ว่าไม่ขอรับการรักษาด้วยการสอดท่อตรงหรืออะไรก็ตามที่ทำให้ย่าต้องทรมาน
คำถามแรกคือ เราอยากทราบว่าวิธีธรรมชาติที่ว่านี้คือการยื้อชีวิตในแนวทางไหนคะ
เราเข้าใจว่าอาจใช้การฉีดเพื่อผ่อนคลายและให้อาการสงบลงค่ะ มีการครอบอ๊อกซิเจนด้วยอีกทางหนึ่ง ประมาณนี้หรือเปล่าคะ
เพราะเราอ่านเจอว่า บางคนไม่คิดฟอกแต่สุดท้ายพอเข้ารพ.ก็โดนจับฟอกอยู่ดี เป็นไปได้มั้ยคะที่เราจะไม่ขอใช้วิธีนั้น
หรือจริงๆแล้วการฟอกนั้นทรมานน้อยกว่าการใช้วิธีธรรมชาติค่ะ ( ขออภัยหากเราพิมพ์ยาวจนอ่านไม่ค่อยเข้าใจนะคะ เรื่องวิธีช่วยเหลือทางการแพทย์เราไม่ค่อยทราบจริงๆค่ะ^^")
ต่อมาคือ เมื่อหลายวันก่อนคุณย่ามีอาการติดเชื้อกระทันหันจนหามส่งรพ.เอกชนแถวบ้าน ซึ่งตอนนี้รักษาจนหายดีแล้วค่ะ
แต่คุณหมอฝั่งรพ.เอกชน ได้พูดถึงโรคไตที่คุณย่าเป็น ซึ่งคุณหมอพูดในเชิงโน้มน้าวว่าขอให้ทำเพราะอยู่ได้นานกว่าไม่ทำ
( ไม่ทำอยู่ได้ไม่กี่เดือน ถ้าทำจะอยู่ได้เป็นปี ประมาณนี้ค่ะ ) อีกอย่างถ้าไม่ทำตอนนี้ สุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี เพราะลูกหลานทนเห็นไม่ไหวที่เห็นย่าทรมาน
**** เราอยากขอคำแนะนำและคำปรึกษาค่ะ ว่าควรตัดสินใจอย่างไรดีคะ ควรเชื่อวิธีการรักษาแบบไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด
แบบไหนที่ทำให้คุณย่าทรมานน้อยที่สุดในวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรตัดสินใจอย่างไรดีคะ T_T
ใครที่มีประสบการณ์หรือพอจะแนะนำเราได้รบกวนตอบเราให้เราทีนะคะ เป็นเรื่องเดียวในตอนนี้ที่เราไม่สบายใจ ไม่รู้ควรเลือกวิธีไหน
ตัดสินใจแบบไหนถึงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ขอบคุณมากค่ะ
ปล. เหตุผลสำคัญที่ไม่ขอฟอกไตของคุณย่าคือการกลัวเจ็บและเสี่ยงติดเชื้อ การใช้เวลาในการฟอก
นอกจากนี้อาจเป็นเพราะเพื่อนคุณย่าที่เป็นโรคไตเหมือนกัน รับการรักษาด้วยวิธีฟอกไตแล้วแต่ก็ยื้อชีวิตอยู่ได้ไม่นานค่ะ
(ประมาณว่าฟอกไปก็หนีไม่พ้นความตายอยู่ดี😭)
ขอบคุณอีกครั้งคะ