สำหรับคนที่เคยใช้แล้ว แต่ไม่รู้สึกดีขึ้น หรือใช้ยากลุ่ม กรดวิตามินเอ(เรตินเอ,ดิฟเฟอรินเจล)แล้วหน้าแดง หน้าลอก ลองตั้งสติและอ่านข้อมูล ดังนี้

#ยาทาสิว #ลดสิวอุดตัน #ป้องกันสิวอักเสบ
.
เป็นยาทารักษาสิวที่ใช้กันทั่วโลก มีงานวิจัยมากมาย แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธีถึงจะเห็นผล สรุปมาให้ดังนี้
.
ยาทาสิวกลุ่มเรตินอยด์
"Retinoids" (ยาทาสิวกลุ่มวิตามินเอ) ชื่อการค้า "เรตินเอ" (Retin A) ทาก่อนนอน ช่วยลดสิวอุดตัน ซื้อตามร้านขายยา มี 2 แบบ 0.025%
กับ 0.05%
รายละเอียดเพิ่มเติม
.
หน้าที่ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตันเพื่อป้องกันการเป็นสิวอักเสบในอนาคต เพราะสิวอุดตัน 75% จะทำให้เกิดการอักเสบได้
.
เรตินเอ ช่วยปรับเรื่องการแบ่งเซลล์ให้เป็นปกติ(คนเป็นสิวเกิดจากเซลล์ผิวแบ่งตัวมากเกินไป) และคุมการสร้างผิว(เคราติน) ทำให้สิว(คอมีโดน)หลวมตัวและหลุดออกง่าย แต่อาจทำให้ผิวชั้นนอกบางและไวแสงได้
(แมทริกซ์ในผิวหนังลดลง) การหยุดทายาเรตินเอจะทำให้เกิดการรวมตัวของคอมีโดนใหม่ และเกิดสิวอุดตันได้ภายใน 2-3 อาทิตย์ เรตินเอ อาจทำให้
ผิวอ่อนแอ ระคายเคืองได้ ดังนั้นเพื่อให้ทายาได้ต่อเนื่องควรใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอควบคู่กับสกินแคร์ดีๆ และใช้เมื่อสภาพผิวพร้อม(อันนี้ต้องรู้จักผิวตัวเองก่อนทา) เพื่อลดอาการระคายเคืองจะได้คุมสิวได้อยู่หมัด
.
งานวิจัยพบว่าการทาบำรุงก่อนใช้ยากลุ่มวิตามินเอ 2 อาทิตย์ช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวได้
(ค่า TEWL ไม่เพิ่มขึ้น) ยากลุ่มวิตามินเอจะดีกว่าเบนแซค (BP) ตรงที่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว เพราะ BP ทำให้เกราะป้องกันผิวเสียรูป(ผิวอ่อนแอ สิวแย่ลง)
นอกจากช่วยเรื่องสิวแล้ว
เรตินเอยังกระตุ้นการสร้างคอลาเจนและอีลาสตินในผิวได้
.
ข้อเสีย อาจทำให้
ผิวแดง ผิวลอกได้
ผิวหนังร้อน คันผิว ถ้าใช้ไปสักพัก จึงต้องทาบำรุงให้เพียงพอ หรือลดความถี่ในการทายาบ้าง เพื่อให้สามารถทายาได้ต่อเนื่อง หลายคนเลิกทายาตัวนี้เพราะทนการระคายผิวไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ให้เน้นบำรุงผิวโดยเลือกชนิดที่เหมาะกับคนเป็นสิว ที่สำคัญใช้ไปต้องดูสภาพผิวตัวเองไปด้วยเพื่อความปลอดภัย
.
ถ้าผิวที่ระคายเคืองง่ายแนะนำให้ใช้ "
differin" แทน "
retin A" เพราะระคายเคืองผิวน้อยกว่า แต่ราคาแพงกว่า โดยใช้รักษาสิวได้เหมือนกัน
.
เมื่อควบคุมสิวได้พอใจแล้ว Dr.Rogers แนะนำให้ทาผิวด้วยกรดวิตามินเอหรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ(retinyl palmitate, retinyl acetate, retanal) เหลืออาทิตย์ละ 2 ครั้ง และสามารถเพิ่มความถี่ได้เท่าที่รู้สึกสบายผิว เพื่อได้ประโยชน์ด้านสิว ริ้วรอย ผิวที่เรียบเนียน และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
.
ยังไม่หมดเท่านี้ ครั้งหน้าทาง #krebslabs จะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคนเป็นสิว จะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการรักษาสิว จะได้ไม่เชื่อใครง่ายๆ
แต้มสิวอักเสบ อ่าน
https://pantip.com/topic/37421119
ยาทาสิว ตอนที่ 3
https://pantip.com/topic/37747580
ยาทาสิว ตอนที่ 4
https://pantip.com/topic/37751075
การเลือกสกินแคร์สำหรับคนเป็นสิว(จำเป็น)
https://pantip.com/topic/37153774
https://pantip.com/topic/37298713
ประสบการณ์การกินยารักษาสิว
https://pantip.com/topic/37235426
สิวที่หลัง
https://pantip.com/topic/37751239
ที่มา:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/Krebslabs/
ยาทาสิว ตอนที่ 1 ลดสิวอุดตัน เพื่อป้องกันสิวอักเสบในอนาคต
.
เป็นยาทารักษาสิวที่ใช้กันทั่วโลก มีงานวิจัยมากมาย แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธีถึงจะเห็นผล สรุปมาให้ดังนี้
.
ยาทาสิวกลุ่มเรตินอยด์
"Retinoids" (ยาทาสิวกลุ่มวิตามินเอ) ชื่อการค้า "เรตินเอ" (Retin A) ทาก่อนนอน ช่วยลดสิวอุดตัน ซื้อตามร้านขายยา มี 2 แบบ 0.025%
กับ 0.05%
รายละเอียดเพิ่มเติม
.
หน้าที่ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตันเพื่อป้องกันการเป็นสิวอักเสบในอนาคต เพราะสิวอุดตัน 75% จะทำให้เกิดการอักเสบได้
.
เรตินเอ ช่วยปรับเรื่องการแบ่งเซลล์ให้เป็นปกติ(คนเป็นสิวเกิดจากเซลล์ผิวแบ่งตัวมากเกินไป) และคุมการสร้างผิว(เคราติน) ทำให้สิว(คอมีโดน)หลวมตัวและหลุดออกง่าย แต่อาจทำให้ผิวชั้นนอกบางและไวแสงได้(แมทริกซ์ในผิวหนังลดลง) การหยุดทายาเรตินเอจะทำให้เกิดการรวมตัวของคอมีโดนใหม่ และเกิดสิวอุดตันได้ภายใน 2-3 อาทิตย์ เรตินเอ อาจทำให้ผิวอ่อนแอ ระคายเคืองได้ ดังนั้นเพื่อให้ทายาได้ต่อเนื่องควรใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอควบคู่กับสกินแคร์ดีๆ และใช้เมื่อสภาพผิวพร้อม(อันนี้ต้องรู้จักผิวตัวเองก่อนทา) เพื่อลดอาการระคายเคืองจะได้คุมสิวได้อยู่หมัด
.
งานวิจัยพบว่าการทาบำรุงก่อนใช้ยากลุ่มวิตามินเอ 2 อาทิตย์ช่วยป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวได้(ค่า TEWL ไม่เพิ่มขึ้น) ยากลุ่มวิตามินเอจะดีกว่าเบนแซค (BP) ตรงที่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว เพราะ BP ทำให้เกราะป้องกันผิวเสียรูป(ผิวอ่อนแอ สิวแย่ลง)
นอกจากช่วยเรื่องสิวแล้ว เรตินเอยังกระตุ้นการสร้างคอลาเจนและอีลาสตินในผิวได้
.
ข้อเสีย อาจทำให้ผิวแดง ผิวลอกได้ ผิวหนังร้อน คันผิว ถ้าใช้ไปสักพัก จึงต้องทาบำรุงให้เพียงพอ หรือลดความถี่ในการทายาบ้าง เพื่อให้สามารถทายาได้ต่อเนื่อง หลายคนเลิกทายาตัวนี้เพราะทนการระคายผิวไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ให้เน้นบำรุงผิวโดยเลือกชนิดที่เหมาะกับคนเป็นสิว ที่สำคัญใช้ไปต้องดูสภาพผิวตัวเองไปด้วยเพื่อความปลอดภัย
.
ถ้าผิวที่ระคายเคืองง่ายแนะนำให้ใช้ "differin" แทน "retin A" เพราะระคายเคืองผิวน้อยกว่า แต่ราคาแพงกว่า โดยใช้รักษาสิวได้เหมือนกัน
.
เมื่อควบคุมสิวได้พอใจแล้ว Dr.Rogers แนะนำให้ทาผิวด้วยกรดวิตามินเอหรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ(retinyl palmitate, retinyl acetate, retanal) เหลืออาทิตย์ละ 2 ครั้ง และสามารถเพิ่มความถี่ได้เท่าที่รู้สึกสบายผิว เพื่อได้ประโยชน์ด้านสิว ริ้วรอย ผิวที่เรียบเนียน และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
.
ยังไม่หมดเท่านี้ ครั้งหน้าทาง #krebslabs จะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคนเป็นสิว จะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการรักษาสิว จะได้ไม่เชื่อใครง่ายๆ
แต้มสิวอักเสบ อ่าน https://pantip.com/topic/37421119
ยาทาสิว ตอนที่ 3 https://pantip.com/topic/37747580
ยาทาสิว ตอนที่ 4 https://pantip.com/topic/37751075
การเลือกสกินแคร์สำหรับคนเป็นสิว(จำเป็น)
https://pantip.com/topic/37153774
https://pantip.com/topic/37298713
ประสบการณ์การกินยารักษาสิว https://pantip.com/topic/37235426
สิวที่หลัง https://pantip.com/topic/37751239
ที่มา: [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้