ในโลกฟุตบอลทุกทีมย่อมมีคู่แข่ง... แต่ไม่ใช่ทุกทีมที่จะมีคู่ปรับ... ที่มีความสำคัญอยู่เหนือ 3 คะแนน หรือการเข้ารอบ-ตกรอบบอลถ้วย... มันคือเรื่องของความเป็นความตายและศักดิ์ศรี ที่ไม่มีวันยอมความกันได้ และ นี่ คือ 10 ดาร์บี้แมตช์ที่สร้างแรงกระเพื่อมมากกว่าในสนาม... จนเป็นตำนานในพงศาวดารลูกหนัง
อันดับ 10 อัล อาหลี - ซามาเล็ค
การพบกันระหว่าง อัล อาห์ลี กับ ซามาเล็ค คือเกมดาร์บี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอียิปต์ มันมีทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซามาเล็คถูกก่อตั้งขึ้นปี ค.ศ. 1911 ในฐานะตัวแทนของคนรวยที่อาศัยอยู่ในเมืองไคโร ในขณะที่ อัล อาห์ลี ถูกก่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 พวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนของกลุ่มชาตินิยม ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากเหล่านักล่าอาณานิคมในอดีต
ทั้งสองทีมพบกันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1917 และถูกมองว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างตัวแทนฝั่งรอยัลลิสต์กับฝั่งคลั่งชาติ ทำให้เกมดาร์บี้คู่นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในแง่ของความขัดแย้งและความรุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อปี ค.ศ. 1966 นั้น เกมของคู่นี้ต้องถูกยกเลิก เมื่อมีทหารจำนวนมากบุกเข้ามาในสนามและพยายามสลายการชุมนุมของแฟนบอล จึงทำให้ลีกสูงสุดของอิยิปต์หยุดทำการแข่งขันเกือบ 5 ปี
ความเป็นอริของทั้งคู่นั้นลามไปถึงแฟนบอลในช่วงต้นยุค 70 เมื่อกองเชียร์เริ่มรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นฆ่ากัน จนส่งผลให้เกมคู่นี้ต้องถูกยกเลิกนาน 1 ปี ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ทั้งสองทีมเจอกันมันจึงหลีกเลี่ยงความรุนแรงและความดุเดือดไม่ได้
การยกเลิกการแข่งขันไม่ได้ช่วยให้ความดุเดือดของคู่นี้ลดลงแต่อย่างไร โดยในปี 1996 ผู้เล่นของซามาเล็คตัดสินใจเดินออกจากสนามเพื่อประท้วงกรรมการ หลังจากแจกใบแดงไล่ 1 ในผู้เล่นของทีมทั้งที่เริ่มเกมมาได้แค่ 5 นาที ด้วยเหตุนี้ทำให้การแข่งขันในวันนั้นต้องยกเลิก และซามาเล็คถูกตัดคะแนนถึง 9 คะแนนในเวลาต่อมา นอกจากนี้แมตช์ที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดอีกแมตช์ ก็คือการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของอียิปต์ในปี 2007 โดยในวันนั้น โมฮัมเหม็ด อบูตริก้า ตัวรุกของ อัล อาห์ลี พาทีมโกงความตาย พลิกแซงชนะคู่อริได้ 4-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
“ฮอสซัม ฮัสซัน” คือนักเตะประวัติศาสตร์ของดาร์บี้แห่งอียิปต์ โดยเป็นเจ้าของสถิติติดทีมชาติและยิงประตูสูงสุดของอียิปต์ เขาเคยลงเล่นให้กับ อัล อาห์ลี ก่อนย้ายไปร่วมทีมคู่อริตลอดกาลอย่างซามาเล็คในภายหลัง นี่เป็นเหมือนการจุดไฟแห่งความโกรธให้กับแฟนบอลของอัล อาห์ลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮอสซัมพาซามาเล็คคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 ครั้งในเวลา 4 ปี
จากการลงแข่งขันในลีกอียิปต์ 56 ฤดูกาล อัล อาห์ลี คว้าแชมป์ได้ถึง 37 ครั้ง ส่วนซามาเล็คได้เพียง 12 ครั้ง นอกจากนี้ อัล อาห์ลี ยังเคยเป็นแชมป์แอฟริกาถึง 8 สมัย ในขณะที่คู่อริของพวกเขาทำได้เพียง 5 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยกให้คู่นี้คือ เอล เคมม่า แปลว่า “การพบกันของสุดยอดทีม”
อันดับ 9 ดอร์ทมุนด์ - ชาลเก้
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่ใช่ทีมอันดับ 1 ของแคว้นในช่วงเริ่มแรก โดยตอนนั้น ชาลเก้ คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิภาคตะวันเฉียงเหนือของประเทศเยอรมันนานถึง 21 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นเมื่อปี 1947 วันนั้นทีมเสือเหลืองเอาชนะชาลเก้ด้วยสกอร์ 3-2 ทั้งที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังถึง 2 ครั้ง ก่อนฮึดกลับมายิงประตูชัยในช่วง 5 นาทีสุดท้าย
เหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีของ 2 ทีมนี้เกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อเหล่ากองเชียร์ฮูลิแกนของชาลเก้สถาปนาตัวเองขึ้นในชื่อ “เกลเซนซีน” และชอบใช้ความรุนแรงกับแฟนบอลคู่แข่ง ขณะที่แฟนบอลดอร์ทมุนด์ก็ก่อตั้งกลุ่มกองเชียร์ฮาร์ดคอร์ของตัวเองในชื่อว่า “โบรุสเซนฟร้อนท์” ในปี 1982 เช่นกัน
ด้วยความที่ทั้งสองทีมเป็นคู่อริกันในแคว้น ดังนั้นการทำผลงานในระดับทวีปได้เหนือกว่าถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของแฟนบอล ตัวอย่างเมื่อตอน ชาลเก้คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ หลังเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1997 แต่ในปีเดียวกันทีมเสือเหลืองกลับคว้าแชมป์ที่ใหญ่กว่าอย่างแชมเปี้ยนส์ลีกด้วยการเอาชนะยูเวนตุส
ทีมเสือเหลืองไม่สามารถเก็บชัยชนะในการเจอกับชาลเก้ได้เลยตลอด 13 เกมที่พบกันระหว่างเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2005 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็แก้แค้นได้สำเร็จในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล 2006/07 ซึ่งชัยชนะนัดนั้นส่งผลให้ชาลเก้พลาดโอกาสคว้าแชมป์ลีกทันที ทำให้ดาร์บี้แมตช์ของคู่นี้ได้รับการขนานนามว่า “สุดยอดดาร์บี้”
อันเดรียส โมลเลอร์ ดาวดังจากศึกยูโร 96 กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของแฟนบอลทั้ง 2 ทีมทันที เมื่อเขาตัดสินใจย้ายข้ามฝากจากดอร์ทมุนด์มาเล่นกับชาลเก้ในปี 2000 ซึ่งแม้แต่แฟนบอลราชันสีน้ำเงินก็ไม่พอใจกับการกระทำของนักเตะเช่นกัน ขณะที่ เยนส์ เลห์มันน์ คืออีกคนที่ผ่านการเล่นกับทั้งสองทีม แต่เขาไม่ได้ย้ายข้ามฟากโดยตรงเหมือนโมลเลอร์ หลังตัดสินใจย้ายจากชาลเก้ไปเฝ้าเสากับ เอซี มิลาน ก่อน โดยเขายังเคยโหม่งประตูชัยให้ชาลเก้เอาชนะดอร์ทมุนด์ในปี 1997 มาแล้ว
ทั้ง 2 สโมสรนั้นก่อตั้ง ลงแข่งและได้รับการสนับสนุนจากคนงานเหมืองถ่านหินและช่างตีเหล็กเหมือนกัน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเกลียดกันขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเหมือนกันมากๆก็ได้
อันดับ 8 เกรมิโอ – อินเตอร์นาซิอองนาล
ทั้งสองทีมได้อยู่ในปอร์โต้ อเลเกร เมืองหลวงของรัฐ และต่างแชร์ฐานแฟนบอลในรัฐที่มีประชากรอยู่ 4.5 ล้านคนพอๆกัน นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์บอลลีกของรัฐคัมเปโอนาโต้ เกาโช่ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย โดยพวกเขาคว้าแชมป์รวมกันถึง 80 จาก 95 ครั้งเลยทีเดียว เกรมิโอเป็นทีมที่เก่าแก่กว่า ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1903 จากกลุ่มคนรวยที่ช่วยให้เกมลูกหนังเป็นที่นิยม อย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นแค่สโมสรที่มีสมาชิกในกลุ่มเล็กๆเฉพาะคนที่มีเชื้อสายเยอรมัน จน 6 ปีให้หลัง 3 พี่น้องผู้มีเชื้อสายอิตาเลียนอย่างเอ็นริเก้, โชเซ่ และ หลุยส์ ป็อปเป้ ก็ได้ก่อตั้งอินเตอร์นาซิอองนาลขึ้นมา ซึ่งดูจากชื่อก็ดูเหมือนว่าต้องการจะประชดประชันคู่ปรับร่วมเมืองอย่างชัดเจน เพราะแปลตรงตัวได้ว่าสโมสรเป็นของคนทุกๆชาติ
โดยดาร์บี้ “เกรนาล” หนแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 1909 อินเตอร์นาซิอองนาล ถูกคู่อริถล่มไปยับเยินถึง 10-0 ซึ่งมีบางรายงานระบุว่า ผู้รักษาประตูเกรมิโอว่างจัดถึงขนาดเดินออกนอกสนามไปคุยกับแฟนบอลเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่าจะเป็นดาร์บี้ที่ไหนก็ตามก็มักจะมีฮีโร่เกิดขึ้นเสมอ ซึ่งทางฝั่งเกรมิโอก็มีเด็กหนุ่มวัย 18 ปีที่ชื่อว่า “โรนัลดินโญ่” ผู้ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งในนัดชิงชนะเลิศของรัฐเมื่อปี 1999 ที่เจ้าตัวเป็นคนทำประตูชัย หลังจากแตะลอดขาฝั่งตรงข้ามไปหนึ่งทีก่อนจะทำชิ่งหนึ่ง-สอง รวมถึงเดาะบอลข้ามหัวคนที่ประกบอยู่ นั่นก็คือ ดุงก้า กัปตันทีมชุดแชมป์โลกปี 1994

นักเตะที่ได้รับการยกย่องอย่างมากของเกรมิโอ นั่นคือ อูริโก้ ลาร่า นายทวารผู้เป็นโรคหัวใจ โดยชื่อของเขาถูกนำไปอยู่ในเพลงประจำสโมสรด้วย สำหรับวีรกรรมของนายด่านรายนี้คือการฝืนลงเล่นในเกมดาร์บี้ปี 1935 ซึ่งตอนที่เสียจุดโทษนั้น เขาได้รับการเตือนจากคนยิง ซึ่งบังเอิญเป็นน้องชายของเจ้าตัวว่าแพทย์ของเขาบอกให้ผ่อนคลายเข้าไว้ แต่เขาก็เพิกเฉยและเซฟจุดโทษได้สำเร็จ ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกและเสียชีวิตในอีก 2 เดือนให้หลัง
ขณะที่ทางฝั่งนาซิอองนาลต้องรำลึกถึงเกม ‘เกรนาลแห่งศตวรรษ’ เมื่อปี 1989 หลังจากที่เสมอกันแบบไร้สกอร์ในเลกแรก ในนัดที่สองของบราซิเลียน แชมเปี้ยนชิพ รอบรองชนะเลิศที่มีโควต้าโคปา ลิเบอร์ตาดอเรส เป็นเดิมพัน ทำให้มันเป็นเกมที่มีความหมายมากต่อหน้าแฟนบอลเฉียด 80,000 คน ซึ่งหลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังในครึ่งแรกและเหลือ 10 คนภายใต้อุณหภูมิ 40 องศา นาซิอองนาลก็พลิกนรกกลับมาชนะ 2-1 และทั้ง 2 ประตูก็มาจากนิลสันที่บาดเจ็บอยู่ด้วย
ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่ประกอบกันนี้เองที่ทำให้เกิดเป็นตำนานขึ้นมา ก่อนเกมดาร์บี้ 1 สัปดาห์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรัฐทางตอนใต้ของริโอ แกรนด์ ดู ซุล จะไม่มีความหมายอะไรเลย และการเป็นกลางก็ไม่สามารถเป็นไปได้ ตอนที่นาซิอองนาลครองความยิ่งใหญ่ของฟุตบอลบราซิลยุค 70 เกรมิโอก็ตกที่นั่งลำบาก ขณะที่ในยุค 80 ก็จะกลับกัน มันก็จะสลับกันไปมาอยู่อย่างนี้ แต่เมื่อพอมาถึงแมตช์แข่งที่ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลบราซิเลียนโคจรมาพบกันแล้ว ทุกอย่างก็จะกลับมาเท่ากันหมด
อันดับ 7 ลิเวอร์พูล - แมนฯยูไนเต็ด
การปะทะกันของยักษ์ใหญ่จากทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองผู้ดีคู่นี้ถือว่าอยู่คู่ประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษมาไม่น้อยกว่า 50 ปี พวกเขาได้แชมป์ลีกสูงสุดรวมกัน 38 สมัย ขณะที่ถ้วยอื่นๆของประเทศรวมกันได้ 78 ซึ่ง 24 แชมป์นั้นเกิดขึ้นระหว่างปี 1973 ถึง 2013 ซึ่งทั้งสองทีมต่างผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ทีมละสองทศวรรษชนิดที่ไม่มีทีมจากอังกฤษทีมไหนมาเทียมเทียบ
ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมาพวกเขาก็เริ่มสร้างสถานะของตัวเองขึ้นมา นำโดยสองสหายชาวสก็อตอย่าง บิลล์ แชงค์ลี่ย์ และ แม็ตต์ บัสบี้ ทั้งคู่เริ่มคว้าแชมป์และแฟนบอลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีความเคารพต่อกันและกัน โดยนักเตะยูไนเต็ดสามารถชมเกมบนอัฒจันทร์เดอะ ค็อป ขณะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลก็โหวตให้บัสบี้เป็นกัปตันทีมยอดเยี่ยมตลอดกาลเมื่อปี 1966
แม้แมนฯยูไนเต็ดจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1968 แต่ลิเวอร์พูลก็ยกระดับตัวเองแซงหน้า “ปีศาจแดง” ที่ร้างแชมป์ไปกว่า 25 ปี แต่น่าบังเอิญที่ทางฝั่ง “หงส์แดง” มักจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ “เร้ด เดวิลส์” อยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะถ้วยแชมป์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆก็ตาม และศึกแดงเดือดก็ยังคงเป็นเกมที่เฝ้ารอของแฟนบอลในแต่ละฤดูกาลจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เข้มข้นเท่าตอนมีอัฒจันทร์แบบยืนในช่วงทศวรรษที่ 70 และ 80 ก็ตาม
เมื่อเทียบกับความขี้เหร่ของผลงานในยุค 1980 ของยูไนเต็ดแล้ว ทำให้บางคนถึงกับชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงจากดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีกถือเป็นการสร้างความแตกต่างไปอีกระดับหนึ่ง เมื่อยูไนเต็ดได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องขยายสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด และมีมูลค่าลิขสิทธิ์ทีวีเพิ่มมากขึ้น พวกเขาได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ พร้อมกับนำเงินที่ได้ไปซื้อนักเตะเพื่อความสำเร็จที่มากกว่าเดิม
ขณะที่ลิเวอร์พูลอาจมีข้อจำกัดมากกว่าทีมเพื่อนบ้านและเติบโตในเชิงพาณิชย์น้อยกว่า แต่ก็ยังคงเป็นทีมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเกมแดงเดือดที่เตะกันในช่วงเที่ยงวันของเวลาท้องถิ่นไม่เพียงแต่จะลดปริมาณแอลกอฮอล์ของแฟนบอลเท่านั้น หากแต่ยังช่วยให้แฟนบอล 75 ล้านคนของยูไนเต็ด และ “เดอะ ค็อป” ซึ่งมีกลุ่มแฟนคลับกว่า 200 กลุ่มใน 50 ประเทศทั่วโลกได้ชมเกมกันอย่างทั่วถึง
ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เกมแดงเดือดนั้นเป็นที่ฮิตกันไปทั่วโลกมากกว่าเอล กลาซิโก้เสียอีกเพราะมักเป็นเกมตัดสินแชมป์หรือไม่ก็มีเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น อย่างชัยชนะของยูไนเต็ดในเกมนัดชิงเอฟเอ คัพ ปี 1977 ก็เป็นตัวขวางไม่ให้ลิเวอร์พูลคว้าเทรเบิลแชมป์ แต่ รอนนี่ วีแลน ของลิเวอร์พูลก็มาล้างแค้นได้ในเกมลีก คัพ ปี 1983 ในปี 1994 ลิเวอร์พูลถล่มแชมป์เก่ายูไนเต็ด 3-0 แต่ 5 ปีหลังจากนั้นยูไนเต็ดก็ยิงแซง 2 ลูกใน 2 นาทีก่อนจะเดินหน้าคว้าเทรเบิลแชมป์ในบั้นปลาย
สองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษยอมรับความเป็นคู่ปรับกันโดยดุษฎีและไม่มีการย้ายทีมข้ามฟากกันมา 50 ปีแล้ว ความเป็นอริของทั้งสอง มีความเหมือนกันทั้งไม่ว่าจะเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญ, ผู้จัดการทีมชาวสก็อตผู้ยิ่งใหญ่ และได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นแรงงาน ซึ่งนี่เป็นความเหมือนที่พวกเขาไม่อยากจะยอมรับ

credit : www.fourfourtwo.com/th
ดาร์บี้แมตช์นี้มีถึงตาย : 10 คู่ปรับจองล้างจองผลาญข้ามศตวรรษแห่งโลกลูกหนัง
อันดับ 10 อัล อาหลี - ซามาเล็ค
การพบกันระหว่าง อัล อาห์ลี กับ ซามาเล็ค คือเกมดาร์บี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอียิปต์ มันมีทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์และการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซามาเล็คถูกก่อตั้งขึ้นปี ค.ศ. 1911 ในฐานะตัวแทนของคนรวยที่อาศัยอยู่ในเมืองไคโร ในขณะที่ อัล อาห์ลี ถูกก่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1909 พวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนของกลุ่มชาตินิยม ซึ่งทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากเหล่านักล่าอาณานิคมในอดีต
ทั้งสองทีมพบกันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1917 และถูกมองว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่างตัวแทนฝั่งรอยัลลิสต์กับฝั่งคลั่งชาติ ทำให้เกมดาร์บี้คู่นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในแง่ของความขัดแย้งและความรุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อปี ค.ศ. 1966 นั้น เกมของคู่นี้ต้องถูกยกเลิก เมื่อมีทหารจำนวนมากบุกเข้ามาในสนามและพยายามสลายการชุมนุมของแฟนบอล จึงทำให้ลีกสูงสุดของอิยิปต์หยุดทำการแข่งขันเกือบ 5 ปี
ความเป็นอริของทั้งคู่นั้นลามไปถึงแฟนบอลในช่วงต้นยุค 70 เมื่อกองเชียร์เริ่มรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นฆ่ากัน จนส่งผลให้เกมคู่นี้ต้องถูกยกเลิกนาน 1 ปี ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ทั้งสองทีมเจอกันมันจึงหลีกเลี่ยงความรุนแรงและความดุเดือดไม่ได้
การยกเลิกการแข่งขันไม่ได้ช่วยให้ความดุเดือดของคู่นี้ลดลงแต่อย่างไร โดยในปี 1996 ผู้เล่นของซามาเล็คตัดสินใจเดินออกจากสนามเพื่อประท้วงกรรมการ หลังจากแจกใบแดงไล่ 1 ในผู้เล่นของทีมทั้งที่เริ่มเกมมาได้แค่ 5 นาที ด้วยเหตุนี้ทำให้การแข่งขันในวันนั้นต้องยกเลิก และซามาเล็คถูกตัดคะแนนถึง 9 คะแนนในเวลาต่อมา นอกจากนี้แมตช์ที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดอีกแมตช์ ก็คือการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของอียิปต์ในปี 2007 โดยในวันนั้น โมฮัมเหม็ด อบูตริก้า ตัวรุกของ อัล อาห์ลี พาทีมโกงความตาย พลิกแซงชนะคู่อริได้ 4-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
“ฮอสซัม ฮัสซัน” คือนักเตะประวัติศาสตร์ของดาร์บี้แห่งอียิปต์ โดยเป็นเจ้าของสถิติติดทีมชาติและยิงประตูสูงสุดของอียิปต์ เขาเคยลงเล่นให้กับ อัล อาห์ลี ก่อนย้ายไปร่วมทีมคู่อริตลอดกาลอย่างซามาเล็คในภายหลัง นี่เป็นเหมือนการจุดไฟแห่งความโกรธให้กับแฟนบอลของอัล อาห์ลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฮอสซัมพาซามาเล็คคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 ครั้งในเวลา 4 ปี
จากการลงแข่งขันในลีกอียิปต์ 56 ฤดูกาล อัล อาห์ลี คว้าแชมป์ได้ถึง 37 ครั้ง ส่วนซามาเล็คได้เพียง 12 ครั้ง นอกจากนี้ อัล อาห์ลี ยังเคยเป็นแชมป์แอฟริกาถึง 8 สมัย ในขณะที่คู่อริของพวกเขาทำได้เพียง 5 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ยกให้คู่นี้คือ เอล เคมม่า แปลว่า “การพบกันของสุดยอดทีม”
อันดับ 9 ดอร์ทมุนด์ - ชาลเก้
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่ใช่ทีมอันดับ 1 ของแคว้นในช่วงเริ่มแรก โดยตอนนั้น ชาลเก้ คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูมิภาคตะวันเฉียงเหนือของประเทศเยอรมันนานถึง 21 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นเมื่อปี 1947 วันนั้นทีมเสือเหลืองเอาชนะชาลเก้ด้วยสกอร์ 3-2 ทั้งที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังถึง 2 ครั้ง ก่อนฮึดกลับมายิงประตูชัยในช่วง 5 นาทีสุดท้าย
เหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีของ 2 ทีมนี้เกิดขึ้นในปี 1979 เมื่อเหล่ากองเชียร์ฮูลิแกนของชาลเก้สถาปนาตัวเองขึ้นในชื่อ “เกลเซนซีน” และชอบใช้ความรุนแรงกับแฟนบอลคู่แข่ง ขณะที่แฟนบอลดอร์ทมุนด์ก็ก่อตั้งกลุ่มกองเชียร์ฮาร์ดคอร์ของตัวเองในชื่อว่า “โบรุสเซนฟร้อนท์” ในปี 1982 เช่นกัน
ด้วยความที่ทั้งสองทีมเป็นคู่อริกันในแคว้น ดังนั้นการทำผลงานในระดับทวีปได้เหนือกว่าถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของแฟนบอล ตัวอย่างเมื่อตอน ชาลเก้คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ หลังเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1997 แต่ในปีเดียวกันทีมเสือเหลืองกลับคว้าแชมป์ที่ใหญ่กว่าอย่างแชมเปี้ยนส์ลีกด้วยการเอาชนะยูเวนตุส
ทีมเสือเหลืองไม่สามารถเก็บชัยชนะในการเจอกับชาลเก้ได้เลยตลอด 13 เกมที่พบกันระหว่างเดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2005 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็แก้แค้นได้สำเร็จในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล 2006/07 ซึ่งชัยชนะนัดนั้นส่งผลให้ชาลเก้พลาดโอกาสคว้าแชมป์ลีกทันที ทำให้ดาร์บี้แมตช์ของคู่นี้ได้รับการขนานนามว่า “สุดยอดดาร์บี้”
อันเดรียส โมลเลอร์ ดาวดังจากศึกยูโร 96 กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของแฟนบอลทั้ง 2 ทีมทันที เมื่อเขาตัดสินใจย้ายข้ามฝากจากดอร์ทมุนด์มาเล่นกับชาลเก้ในปี 2000 ซึ่งแม้แต่แฟนบอลราชันสีน้ำเงินก็ไม่พอใจกับการกระทำของนักเตะเช่นกัน ขณะที่ เยนส์ เลห์มันน์ คืออีกคนที่ผ่านการเล่นกับทั้งสองทีม แต่เขาไม่ได้ย้ายข้ามฟากโดยตรงเหมือนโมลเลอร์ หลังตัดสินใจย้ายจากชาลเก้ไปเฝ้าเสากับ เอซี มิลาน ก่อน โดยเขายังเคยโหม่งประตูชัยให้ชาลเก้เอาชนะดอร์ทมุนด์ในปี 1997 มาแล้ว
ทั้ง 2 สโมสรนั้นก่อตั้ง ลงแข่งและได้รับการสนับสนุนจากคนงานเหมืองถ่านหินและช่างตีเหล็กเหมือนกัน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเกลียดกันขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาเหมือนกันมากๆก็ได้
อันดับ 8 เกรมิโอ – อินเตอร์นาซิอองนาล
ทั้งสองทีมได้อยู่ในปอร์โต้ อเลเกร เมืองหลวงของรัฐ และต่างแชร์ฐานแฟนบอลในรัฐที่มีประชากรอยู่ 4.5 ล้านคนพอๆกัน นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์บอลลีกของรัฐคัมเปโอนาโต้ เกาโช่ ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย โดยพวกเขาคว้าแชมป์รวมกันถึง 80 จาก 95 ครั้งเลยทีเดียว เกรมิโอเป็นทีมที่เก่าแก่กว่า ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1903 จากกลุ่มคนรวยที่ช่วยให้เกมลูกหนังเป็นที่นิยม อย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นแค่สโมสรที่มีสมาชิกในกลุ่มเล็กๆเฉพาะคนที่มีเชื้อสายเยอรมัน จน 6 ปีให้หลัง 3 พี่น้องผู้มีเชื้อสายอิตาเลียนอย่างเอ็นริเก้, โชเซ่ และ หลุยส์ ป็อปเป้ ก็ได้ก่อตั้งอินเตอร์นาซิอองนาลขึ้นมา ซึ่งดูจากชื่อก็ดูเหมือนว่าต้องการจะประชดประชันคู่ปรับร่วมเมืองอย่างชัดเจน เพราะแปลตรงตัวได้ว่าสโมสรเป็นของคนทุกๆชาติ
โดยดาร์บี้ “เกรนาล” หนแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 1909 อินเตอร์นาซิอองนาล ถูกคู่อริถล่มไปยับเยินถึง 10-0 ซึ่งมีบางรายงานระบุว่า ผู้รักษาประตูเกรมิโอว่างจัดถึงขนาดเดินออกนอกสนามไปคุยกับแฟนบอลเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่าจะเป็นดาร์บี้ที่ไหนก็ตามก็มักจะมีฮีโร่เกิดขึ้นเสมอ ซึ่งทางฝั่งเกรมิโอก็มีเด็กหนุ่มวัย 18 ปีที่ชื่อว่า “โรนัลดินโญ่” ผู้ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งในนัดชิงชนะเลิศของรัฐเมื่อปี 1999 ที่เจ้าตัวเป็นคนทำประตูชัย หลังจากแตะลอดขาฝั่งตรงข้ามไปหนึ่งทีก่อนจะทำชิ่งหนึ่ง-สอง รวมถึงเดาะบอลข้ามหัวคนที่ประกบอยู่ นั่นก็คือ ดุงก้า กัปตันทีมชุดแชมป์โลกปี 1994
นักเตะที่ได้รับการยกย่องอย่างมากของเกรมิโอ นั่นคือ อูริโก้ ลาร่า นายทวารผู้เป็นโรคหัวใจ โดยชื่อของเขาถูกนำไปอยู่ในเพลงประจำสโมสรด้วย สำหรับวีรกรรมของนายด่านรายนี้คือการฝืนลงเล่นในเกมดาร์บี้ปี 1935 ซึ่งตอนที่เสียจุดโทษนั้น เขาได้รับการเตือนจากคนยิง ซึ่งบังเอิญเป็นน้องชายของเจ้าตัวว่าแพทย์ของเขาบอกให้ผ่อนคลายเข้าไว้ แต่เขาก็เพิกเฉยและเซฟจุดโทษได้สำเร็จ ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกและเสียชีวิตในอีก 2 เดือนให้หลัง
ขณะที่ทางฝั่งนาซิอองนาลต้องรำลึกถึงเกม ‘เกรนาลแห่งศตวรรษ’ เมื่อปี 1989 หลังจากที่เสมอกันแบบไร้สกอร์ในเลกแรก ในนัดที่สองของบราซิเลียน แชมเปี้ยนชิพ รอบรองชนะเลิศที่มีโควต้าโคปา ลิเบอร์ตาดอเรส เป็นเดิมพัน ทำให้มันเป็นเกมที่มีความหมายมากต่อหน้าแฟนบอลเฉียด 80,000 คน ซึ่งหลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังในครึ่งแรกและเหลือ 10 คนภายใต้อุณหภูมิ 40 องศา นาซิอองนาลก็พลิกนรกกลับมาชนะ 2-1 และทั้ง 2 ประตูก็มาจากนิลสันที่บาดเจ็บอยู่ด้วย
ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่ประกอบกันนี้เองที่ทำให้เกิดเป็นตำนานขึ้นมา ก่อนเกมดาร์บี้ 1 สัปดาห์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรัฐทางตอนใต้ของริโอ แกรนด์ ดู ซุล จะไม่มีความหมายอะไรเลย และการเป็นกลางก็ไม่สามารถเป็นไปได้ ตอนที่นาซิอองนาลครองความยิ่งใหญ่ของฟุตบอลบราซิลยุค 70 เกรมิโอก็ตกที่นั่งลำบาก ขณะที่ในยุค 80 ก็จะกลับกัน มันก็จะสลับกันไปมาอยู่อย่างนี้ แต่เมื่อพอมาถึงแมตช์แข่งที่ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลบราซิเลียนโคจรมาพบกันแล้ว ทุกอย่างก็จะกลับมาเท่ากันหมด
อันดับ 7 ลิเวอร์พูล - แมนฯยูไนเต็ด
การปะทะกันของยักษ์ใหญ่จากทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองผู้ดีคู่นี้ถือว่าอยู่คู่ประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษมาไม่น้อยกว่า 50 ปี พวกเขาได้แชมป์ลีกสูงสุดรวมกัน 38 สมัย ขณะที่ถ้วยอื่นๆของประเทศรวมกันได้ 78 ซึ่ง 24 แชมป์นั้นเกิดขึ้นระหว่างปี 1973 ถึง 2013 ซึ่งทั้งสองทีมต่างผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ทีมละสองทศวรรษชนิดที่ไม่มีทีมจากอังกฤษทีมไหนมาเทียมเทียบ
ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมาพวกเขาก็เริ่มสร้างสถานะของตัวเองขึ้นมา นำโดยสองสหายชาวสก็อตอย่าง บิลล์ แชงค์ลี่ย์ และ แม็ตต์ บัสบี้ ทั้งคู่เริ่มคว้าแชมป์และแฟนบอลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีความเคารพต่อกันและกัน โดยนักเตะยูไนเต็ดสามารถชมเกมบนอัฒจันทร์เดอะ ค็อป ขณะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลก็โหวตให้บัสบี้เป็นกัปตันทีมยอดเยี่ยมตลอดกาลเมื่อปี 1966
แม้แมนฯยูไนเต็ดจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1968 แต่ลิเวอร์พูลก็ยกระดับตัวเองแซงหน้า “ปีศาจแดง” ที่ร้างแชมป์ไปกว่า 25 ปี แต่น่าบังเอิญที่ทางฝั่ง “หงส์แดง” มักจะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ “เร้ด เดวิลส์” อยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะถ้วยแชมป์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆก็ตาม และศึกแดงเดือดก็ยังคงเป็นเกมที่เฝ้ารอของแฟนบอลในแต่ละฤดูกาลจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เข้มข้นเท่าตอนมีอัฒจันทร์แบบยืนในช่วงทศวรรษที่ 70 และ 80 ก็ตาม
เมื่อเทียบกับความขี้เหร่ของผลงานในยุค 1980 ของยูไนเต็ดแล้ว ทำให้บางคนถึงกับชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงจากดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีกถือเป็นการสร้างความแตกต่างไปอีกระดับหนึ่ง เมื่อยูไนเต็ดได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องขยายสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด และมีมูลค่าลิขสิทธิ์ทีวีเพิ่มมากขึ้น พวกเขาได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ พร้อมกับนำเงินที่ได้ไปซื้อนักเตะเพื่อความสำเร็จที่มากกว่าเดิม
ขณะที่ลิเวอร์พูลอาจมีข้อจำกัดมากกว่าทีมเพื่อนบ้านและเติบโตในเชิงพาณิชย์น้อยกว่า แต่ก็ยังคงเป็นทีมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเกมแดงเดือดที่เตะกันในช่วงเที่ยงวันของเวลาท้องถิ่นไม่เพียงแต่จะลดปริมาณแอลกอฮอล์ของแฟนบอลเท่านั้น หากแต่ยังช่วยให้แฟนบอล 75 ล้านคนของยูไนเต็ด และ “เดอะ ค็อป” ซึ่งมีกลุ่มแฟนคลับกว่า 200 กลุ่มใน 50 ประเทศทั่วโลกได้ชมเกมกันอย่างทั่วถึง
ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เกมแดงเดือดนั้นเป็นที่ฮิตกันไปทั่วโลกมากกว่าเอล กลาซิโก้เสียอีกเพราะมักเป็นเกมตัดสินแชมป์หรือไม่ก็มีเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น อย่างชัยชนะของยูไนเต็ดในเกมนัดชิงเอฟเอ คัพ ปี 1977 ก็เป็นตัวขวางไม่ให้ลิเวอร์พูลคว้าเทรเบิลแชมป์ แต่ รอนนี่ วีแลน ของลิเวอร์พูลก็มาล้างแค้นได้ในเกมลีก คัพ ปี 1983 ในปี 1994 ลิเวอร์พูลถล่มแชมป์เก่ายูไนเต็ด 3-0 แต่ 5 ปีหลังจากนั้นยูไนเต็ดก็ยิงแซง 2 ลูกใน 2 นาทีก่อนจะเดินหน้าคว้าเทรเบิลแชมป์ในบั้นปลาย
สองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษยอมรับความเป็นคู่ปรับกันโดยดุษฎีและไม่มีการย้ายทีมข้ามฟากกันมา 50 ปีแล้ว ความเป็นอริของทั้งสอง มีความเหมือนกันทั้งไม่ว่าจะเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญ, ผู้จัดการทีมชาวสก็อตผู้ยิ่งใหญ่ และได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นแรงงาน ซึ่งนี่เป็นความเหมือนที่พวกเขาไม่อยากจะยอมรับ
credit : www.fourfourtwo.com/th