เหมือนฝันร้าย เมื่อลุงป่วยเป็นอัมพาต

เราเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตทั่วไป มีพ่อแม่ อาศัยอยู่ในครอบครัวฐานะปานกลาง ใช้ชีวิตแบบปกติ สมัยเราเรียนหนังสือ เราอาศัยอยู่กับลุงที่กรุงเทพ เพื่อเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัย เราจึงมีความผูกพันกับลุงและครอบครัวแกมาก เราเรียนจบก็ใช้ชีวิตปกติ ทำงาน หาเงิน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หลังจากนั้นจึงได้ย้ายออกมาอยู่เอง แต่ก็ยังได้แวะเวียนไปเยี่ยมลุงและครอบครัวอยู่บ้าง

อยู่มาวันหนึ่ง เราได้รับโทรศัพท์จากป้าว่าอยู่ๆลุงก็เป็นลมล้มไป ป้าและลูกสาวจึงได้นำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุด หมอได้ตรวจเบื้องต้นและวินิจฉัยอาการว่า เส้นเลือดในสมองแตก ได้ปรึกษากันแล้วจึงส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์การรักษา เนื่องจากต้องผ่าตัด จะผ่าที่เอกชนครั้งแรกก็คงจะไม่ไหว
โรงพยาบาลที่รับรักษาต่อแจ้งว่าต้องผ่าตัดด่วน อาการหนัก อาจจะรอดหรือไม่ก็ได้ ต้องทำใจไว้ก่อน และให้ครอบครัวตัดสินใจว่าจะผ่าตัดหรือไม่ แม้ตอนนั้นความหวังจะริบหรี่ก็ตาม ก็ต้องตัดสินใจรักษาไปตามนั้น

การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี เราก็หวังว่าแกจะรอดชีวิตและกลับมาเป็นปกติ นอนอยู่ รพ.หลายคืน แล้วเราก็ต้องคอยไปดูแลเยี่ยมแกด้วย แต่สิ่งที่ได้จากโรคนี้และเราไม่เคยมีความรู้มาก่อนเลยก็คือ แกจะอ่อนแรงครึ่งซีก ด้านซ้ายขยับไม่ได้ ไม่มีแรง นั่นก็คือที่เราได้ยินมาอยู่ตลอด และเป็นคำคุ้นหูคือ "อัมพาต" ซึ่งเราไม่เคยปรารถนาที่จะค้นหาข้อมูลและใกล้ชิดกับมันเลย กินอาหารปกติไม่ได้ ต้องกินทางสายยาง พูดไม่ได้ ช่างโหดร้ายมากที่ครอบครัวแกต้องมาพบเจอแบบนี้ แกเป็นคนเดียวที่หาเงิน เพราะป้าเป็นแม่บ้าน น้องก็กำลังเรียนมหาลัย แล้วอีกนานไหมที่แกจะหาย ในใจเราคิดแบบนั้น

ผ่านไป 2 อาทิตย์ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม อาการทรงตัว หมอบอกว่าต้องกลับไปฟื้นฟูที่บ้าน พักรักษาอาการต่อ และทำกายภาพบำบัดเพื่อรักษาอาการอ่อนแรงนั้น ป้าได้มาปรึกษาเราว่าป้าไม่ไหวที่จะดูแลลุง แกช่วยเหลืออะไรเองไม่ได้เลย และที่บ้านอยู่กันแค่ 2 คนกับน้อง และยังต้องไปเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด จะต้องทำอย่างไรดี เงินเก็บก็มีไม่มาก ต้องใช้จ่ายประจำวันอีก เพราะไม่รู้อีกนานแค่ไหนที่ลุงจะหายและกลับไปทำงานได้ ยังดีที่บริษัทลุงแกไม่ให้ออกก็ดีแล้ว และเจ้านายยังใจดีให้เงินมาอีกเล็กน้อยเป็นรายเดือนเพื่อใช้จ่ายระหว่างรักษาตัว ภาระหนักอึ้งจึงตกอยู่ที่เราว่าจะทำอย่างไร แว็บแรก เราจะจ้างคนมาช่วยป้าเพื่อดูแลลุง แต่พิจารณาแล้ว เราต้องซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นอีกจำนวนมาก อาทิ เครื่องดูดเสหะ เตียง ไหนจะต้องให้อาหารทางสายยางอีก เราได้สอบถามแล้วค่าคนดูแล เดือนนึงๆ เกือบ 2 หมื่น ลำพังป้าคงไม่ไหวแน่ ๆ แต่ครั้นจะปล่อยไว้แบบนี้ก็คงไม่ได้ เราได้ปรึกษาเพื่อน ๆ ที่เป็นหมอ เค้าแนะนำให้หาศูนย์ดูแลดีกว่า ไม่ต้องซื้อลงทุนอุปกรณ์ ไหนจะต้องทำกายภาพอีก อยู่ศูนย์คุ้มกว่า เราได้ปรึกษากันกับป้าแล้วลงความเห็นกันว่าคงต้องเป็นแบบนี้
เรากับป้าจึงตะเวนหาศูนย์ดูแล search หาตาม google เราเพิ่งรู้ว่ามีอยู่เยอะมาก เราก็ลองโทรไปสอบถามหลาย ๆ ที่ มีหลายราคาให้เลือก เราไม่คิดมาก่อนว่าเราจะต้องเอาคนในครอบครัวไปอยู่ศูนย์ดูแล แต่เวลานี้ คงไม่มีอะไรที่เหมาะกว่านี้แล้ว เรากับป้าเลือกค้นหาแถวย่าน ๆ ลาดพร้าว บางกะปิ ศรีนครินทร์ เพราะไม่ไกลจากบ้านลุง ป้าแกจะได้มาเยี่ยมได้บ่อยๆ แล้วก็ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย

ภารกิจตามหาศูนย์ให้ลุงจึงเริ่มขึ้น ก่อนที่หมอจะให้ลุงกลับบ้าน มีเวลาก็ไม่มาก เรากะงบประมาณไม่อยากให้เกิน 2 หมื่นบาทต่อเดือน เราไปเยี่ยมดูสถานที่จริง บางที่ถูก แต่บรรยากาศ โอ้ว!!!จอร์จ เรารับไม่ได้ กลิ่นเอย อะไรเอย หรืออะไรหลายอย่างที่ไม่ลงตัว เพื่อนๆเราบอกว่าก็ต้องประมาณนี้แหละ เรามีงบจำกัดนิ ;ถ้าอยากได้ที่ดีกว่านี้ เราต้องขยับงบขึ้นมาอีก เราเลยตั้งงบไว้ที่ 3 หมื่นบาท ไม่เกินนี้ เราก็ได้ไปดูมาหลาย ๆ ที่ มันก็ดีกว่าจริง ๆ แหะ แต่เราก็ต้องรับภาระเพิ่มขึ้น แต่ทำไงได้ ลุงแกก็มีบุญคุณกับเรา ก็คงต้องยอมล่ะ ไม่ได้ตลอดชีวิตนี่เนอะ**** แล้วที่สำคัญ เพื่อนเราที่เป็นหมอบอกว่า ต้องมีกายภาพบำบัดด้วยนะ ไม่งั้นก็แค่ดูแลไปเรื่อย ๆ ไม่โอเคหรอก แต่พอเราสอบถาม ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มเดือนละเป็นหมื่นบาทต่อเดือน โอ้ยย ทีนี้ budget เราก็มีเท่านี้เนอะ จะทำไงดี ไอศูนย์ที่ดี ๆ มีหลายที่ ราคาก็ 4-5 หมื่น เราก็แย่สิเนอะ บางทีดีแต่ก็ไกล เราเริ่มเครียดมาก

จนเราได้มาเจอศูนย์นึง อยู่แถวลาดพร้าว เป็นศูนย์เปิดใหม่ เจ้าของเป็นคุณหมอ มีนักกายภาพบำบัด นี่แหละคือสิ่งที่เหมาะกับอาการของลุงมาก ไม่บวกค่าทำกายภาพบำบัดเพิ่ม มีนักกายภาพบำบัดประจำ ราคาก็สูงพอสมควร แต่คุณหมอแกใจดีมาก ประกอบกับคงเป็นช่วงเปิดใหม่ แกคงอยากได้ลูกค้า เลยต่อรองได้ในราคาที่เรารับได้และตั้งงบประมาณไว้ เปิดใหม่ คือข้อดีใหม่ ทุกอย่างใหม่ บรรยากาศสะอาด แต่เราก็ยังกังวล คือ แล้วจะมีฝีมือทำให้ลุงเราเดินได้ไหม นี่แหละที่เราคาดหวังไว้มากกว่า จะให้เราจ่ายค่าศูนย์ไปนาน ๆ เราก็คงแย่เหมือนกัน แต่คุณหมอและนักกายภาพเค้าการันตีว่าเค้าจะทำเต็มที่ที่สุด เราก็เลยต้องเสี่ยงดู เราตกลง เค้าก็ส่งนักกายภาพบำบัดมาดูอาการของลุงที่ รพ.เลย เมื่อลุงออกจาก รพ.จึงได้มาอยู่ศูนย์นี้เลย

ลุงออกจาก รพ.ประมาณเดือน มิ.ย.60 (แกเข้า รพ.ประมาณเดือน พ.ค.60)แล้วมาฟื้นฟูต่อ มีทั้งสายยางที่ต้องให้อาหาร แรงก็ไม่มี พูดได้นิดหน่อย แต่ฟังยากมาก ที่นี่เค้าก็ได้ฟื้นฟูลุง ผ่านไป 2 เดือน ลุงแกก็ยังนอน ยังอ่อนแรง ไม่มีแรง แต่ที่เราดีใจคือ ลุงแกไม่ต้องให้อาหารทางสายยางแล้ว ที่ศูนย์เค้าฝึกกลืนให้กินอาหารได้ จึงได้ถอดสายออก พูดได้ชัดขึ้น ผมถาม ทางศูนย์บอกเค้าฝึกพูดให้ด้วย แกดูสดใสขึ้น นั่งรถเข็นได้แล้ว ไม่ได้นอนอย่างเดียวเหมือนช่วงแรก แต่ทางน้องๆที่ดูแล เค้าบอก ลุงแกดื้อมาก อยากจะเดินๆ ดื้อจะลงเตียงหลายครั้งหลายคราว ผมก็ได้ไปเยี่ยมแกบ่อย ๆ ก็พยายามให้กำลังใจแก เราเห็นพัฒนาการเราก็เริ่มมั่นใจขึ้น และคิดว่าคงตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกให้ลุงมาอยู่ศูนย์ดูแล อยู่ที่บ้านคงไม่มีใครทำอะไรเป็น กายภาพก็คงไม่ได้ทำ ตอนนี้อาจจะยังนอนอยู่อย่างเดียวก็ได้

ประมาณเดือน ส.ค.60 ลุงเริ่มยืนได้ดี ทางศูนย์เค้าฝึกยืนให้ ป้าและน้องดีใจมากก จากที่เริ่มหมดหวังก็เริ่มมีความหวังจะกลับมาเดินได้ ลุงแกก็สู้เต็มที่ เดือน ต.ค. 60 แกเริ่มขยับขาได้บ้าง คือเริ่มเดินได้ แต่ต้องมีนักกายภาพช่วย ประคองและมีฝึกมือด้วย คือไม่มีแรงเลย เค้าบอกว่าจะช้าหน่อย เราก็ว่า เอาวะ เดินได้ก็ยังดีแล้ว จนถึงเดือน พ.ย.60 แกเดินได้ดีขึ้น ไมต้องประคอง แต่ก็ยังเดินไม่สมบูรณ์ คือดูแล้วยังมีขาลาก ๆ อยู่บ้าง แต่พอถึง ปลายปี 60 แกเดินได้แทบเกือบจะปกติ 100 เปอร์ เดินรอบสวนได้ ที่ศูนย์พาไปเดินที่สวนหลวง แกเดินได้เป็นกิโลๆ เรา ป้าและน้องดีใจที่สุด ไม่คิดว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เนื่องจากผ่านไปหลายเดือน และเงินเราก็ไม่ได้มีมาก และค้นข้อมูลต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทุกคนรที่จะเดินได้ แต่นี่มันเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา เราก็ดีใจมากก

หลังปีใหม่ ลุงกลับมาอยู่บ้านได้ ช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น แม้ยังมีบางส่วนที่ยังต้องใช้เวลา แต่ก็ถือว่าโอเคมากกับระยะเวลา 6 - 7 เดือนที่เราลงทุนไปกับมัน เราเห็นรีวิวหลายที่ ประกอบกับที่เราไป รพ.ตอนที่ลุงรักษาตัวอยู่ เราเห็นว่ามีผู้ป่วยแบบลุงเยอะมาก เราจึงอยากรีวิวให้กำลังใจ เผื่อว่ามีลูก หลาน ญาติ ของคนที่กำลังป่วยเป็นโรคนี้อยู่ เข้ามาเห็นกระทู้ของเรา สู้ต่อไป มันมีความหวังและโอกาสหายได้อยู่ ขอแค่ใหม้มีกำลังใจและเลือกวิธีที่ดีที่สุด ผ่านเหตุการณ์นี้

เราได้เห็นความสำคัญของอีก 1 อาชีพ คือ นักกายภาพบำบัด ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ นอกจากคุณหมอที่รักษาร่วมด้วยแล้ว เมื่อก่นอ เราไม่รู้จัก นักกายภาพบำบัดคืออะไร นวดหรอ จะหายหรอ รักษาได้หรอ แต่นี่ก็พิสูจน์ได้และทำให้เราเห็นความสำคัญของนักกายภาพบำบัด เราขอคารวะและขอบคุณวิชาชีพและนักกายภาพบำบัดอีกครั้ง ด้วยความเคารพ

ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วยโรคนี้ทุกท่าน ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่