สาระจากละครบุพเพสันนิวาส "กรุงศรีอยุธยา" เมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
งามตระการตา.. มุมหนึ่งของอุทยานประวัติศาสตร์กรุงเก่ายามราตรี สะท้อนอดีตอันรุ่งโรจน์ยาวนานกว่า 400 ปี ของราชธานีแห่งอาณาจักรสยาม การศึกษาค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในช่วง 15-20 ที่ผ่านมาได้พบข้อมูลว่าเมื่อ 3 ศตวรรษก่อน กรุงศรีอยุธยามีประชากรถึง 1 ล้านคน เป็นทั้งอู่ข้าวอู่น้ำ ศูนย์กลางศิลปะวิทยาการและการค้าขายกับแว่นแคว้นต่างๆ การเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติตะวันตกเริ่มขึ้นในยุคนี้ แต่.. "อูเดีย" ที่ชาวฝรั่งเศสเรียกขานย่อยยับลงในปี พ.ศ.2310 ด้วยมือของอาณาจักรใหม่ที่เข้มแข็งกว่า .. และอยู่ใกล้ๆ กัน
ช่วง 400 ปีของกรุงศรีอยุธยานั้น นักการทูตชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยได้เคยบันทึกเอาไว้ว่า เป็นเมืองที่สวยงาม .. แต่น่าเสียดายที่ถูกพม่าโจมตี และเผาทำลายราบในปี ค.ศ.1767 (พ.ศ.2310) และศูนย์กลางของราชอาณาจักรใหม่ได้ย้ายลงไปยังกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน.
ยุคทองแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา

ถึงแม้จะไม่มีปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่นักการทูตตะวันตกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาได้วาดแผนที่แบบเดียวกันนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์ในสหรัฐฯ ที่ศึกษาคนคว้าในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา พบว่าเมื่อประมาณ 3 ศตวรรษที่แล้วที่นี่มีประชากรถึง 1 ล้านคน และจัดให้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุคสมัย อยู่ในลำดับที่ 13 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.

ภาพวาดของชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีเมื่อ 300 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นวัดวาอาราม ปราสาทราชวังและกิจกรรมในแม่น้ำเจ้าพระยา นักการทูตฝรั่งเศสบันทึกเอาไว้ว่า "อูเดีย" เป็นเมืองที่สวยงาม.. นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่พบว่า เมืองหลวงของราชอาณาจักรสยามแห่งนี้เคยมีประชากรถึง 1,000,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุคสมัย.

รถม้าสะท้อนความเป็นตะวันตก ขบวนช้างบ่งบอกความเป็นตะวันออก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นแหล่ง "ปะทะ" ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออก หลายอาณาจักรมุ่งไปยังที่นั่นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและประกอบการค้าขาย ในยุคที่อยุธยาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจำนวนประชากรถึง 1,000,000 คน.

แผนที่ฝรั่งเศสปีพ.ศ.2229 แสดงอาณาเขตของอาณาจักรสยาม พุกาม เขมร ลาว โคชินจีนกับแคว้นตังเกี๋ย ทั้งหมดเป็นแว่นแคว้นในสายตาของชาวตะวันตกที่เดินทางเข้าสู่ภูมิภาคในยุคนี้ นั่นคือช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นยุคทองของ "อูเดีย" มีแผนที่แบบเดียวกันนี้อีกจำนวนมาก ที่สะท้อนความรุ่งโรจน์ของกรุงศรีอยุธยาในยุคหนึ่งซึ่งกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุค.

ชาวตะวันตกซึ่งเป็นนักวาดเขียนสะท้อนชีวิตความเป็นไปกับความประทับใจเอาไว้มากมาย เมื่อได้ไปเยือนกรุงศรีอยุธยาใน 3-4 ศตวรรษก่อน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มได้ศึกษาและยกให้อยุธยาเป็นหนึ่งใน 16 เมืองใหญ่ของโลก เป็นแหล่งอารยธรรมตะวันออกที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.

ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งเจ้าพระยาโกษาปาน อัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงศรีอยุธยาไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ในกรุงปารีส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักร ในยุคทองของ "อูเดีย" ที่มีประชากรถึง 1,000,000 คน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มศึกษาและได้ข้อมูลตรงกัน ในยุคสมัยหนึ่งอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก.

ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศส บอกเล่าเหตุการณ์ครั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสนำพระราชสาสน์จากกรุงปารีสไปทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีภาพดีๆ เช่นนี้อีกจำนวนมาก ในขณะที่หลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยถูกทำลายหรือสูญหายไปในเหตุการณ์ "เสียกรุง" แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มทำการศึกษาและได้ข้อมูลตรงกันว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุคหนึ่ง.

ภาพจากเว็บไซต์องค์การยูเนสโกที่ขึ้นทะเบียนกรุงเก่าเป็นมรดกโลกหลายปีก่อน เศียรพระพุทธรูปที่จมอยู่ในโคนต้นไทร สะท้อนการล่มสลายอันขมขื่นของกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 ที่นี่เคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในยุคหนึ่ง เป็นอีกแห่งหนึ่งที่แตกดับลงจากการศึก หลายแห่งล่มสลายไปกับภัยธรรมชาติ บางแห่งพังทลายลงเพราะไม่อาจผลิตอาหารให้พอเลี้ยงดูประชากรได้.
16 เมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์ (กรุงศรีอยุธยา อยู่อันดับที่ 13
ในช่วงหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์โลก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นนครใหญ่อันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่มีแห่งอื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้ ที่นี่เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด เป็นแหล่งค้าขายระหว่างประเทศ เป็นแหล่งวิวัฒนาการทางสังคม และวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นอู่อารยธรรมอีกแห่งหนึ่งในซีกโลกตะวันออก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1. เจริโค (Jericho) ใหญ่ที่สุดของโลกในยุค 7,000 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 2,000 คน ตั้งอยู่ระหว่างทะเลแดงกับภูเขานีโบ (Mt Nebo) เป็นโอเอซิสใหญ่ที่สุด ใช้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดน ในคัมภีร์ไบเบิลเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เจริโคเป็น “เมืองแห่งต้นปาล์ม” อยู่กันต่อมาอีกหลายยุค และเสื่อมไปกับกาลเวลา
2. อูรุค (Uruk) ใหญ่ที่สุดในยุค 3,500 ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง 4,000 คนเป็นเมืองหลวงของแคว้นกิลกาเมช (Gilgamesh) ในมหากาพย์ และเชื่อกันว่าคือเมืองเอเร็ค (Erech) ทีสร้างโดยกษัตริย์นิมรอด (King Nimrod) ในคัมภีร์ไบเบิล อยู่ใกล้แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) ศูนย์กลางการเกษตรและการค้า สงครามในภูมิภาคที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 2000 BC ยืดเยื้อข้ามศตวรรษ ต่อมา เมืองอูรุคถูกทิ้งให้ร้างไปในยุคก่อนที่ฝ่ายอิสลามเข้าครอบครอง
3. มาริ (Mari) เมืองหลวงแคว้นเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ในยุค 2000 BC ประชากร 50,000 ในยุคของกษัตริย์สุเมเรียน (Sumarite) หลายพระองค์ ก่อนเข้าสูยุคอาโมเรียน (Amorite) มีการสร้างพระราชวังขนาด 300 ห้อง ล่มสลายลงใน 1759 BC ถูกยึดรองโดยกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) แห่งบาบีลอน ในทศวรรษที่ 1930 นักโบราณคดีฝรั่งเศสค้นพบจารึกภาษาสุเมเรียน 25,000 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเมือง และเศรษฐกิจ จารึกนี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันรู้จักสภาพการณ์ในยุคนั้น
4. อูร์ (Ur) เป็นเมืองท่าสำคัญในอ่าวเปอร์เซียในยุค 2100 ก่อนคริสตกาล ประชากร 100,000 คน ค้าขายกับทั่วโลก ราว 500 BC ถูกทิ้งเป็นเมืองร้างเพราะภัยแล้งที่เกิดจากแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศทางไหล แต่ยังเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อมา การขุดค้นในทศวรรษ 1850 พบซากมนุษย์จำนวนมาก เป็น “เมืองแห่งคนตาย” (City of the Dead) หรือนีโครโพลิส (Necropolis)
5. หยินซู (Yinxu) รุ่งเรืองในช่วง 1300 BC ประชากร 120,000 คน เติบโตจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรจีนโบราณ เป็นแหล่งที่ค้นพบจารึกบนกระดูกสัตว์ที่เรียกว่า ออราเคิลโบน (Oracle Bone) จำนวนมาก เขียนด้วยอักษรจีนโบราณ เมืองทรุดโทรมลง และถูกทอดทิ้งในสมัยราชวงศ์โจว (Zhou Dynasty)
6. บาบีลอน (Babylon) รุ่งเรืองสุดขีดในช่วง 700 BC พลเมือง 100,000 เป็นศูนย์กลางความร่ำรวยแห่งยุคสมัย กษัตริย์ทรงอำนาจ และอิทธิพล เป็นแหล่งของสวนลอยบาบีลอน กับหอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเอาไว้ว่า ชาวบาบีลอนเชื่อมั่นในพระเจ้า และพยายามปีนป่ายไปสู่สวรรค์ ราว 538 BC กษัตริย์ไซรัส (Cyrus) แห่เปอร์เซียยาตราทัพทวนแม่น้ำยูเฟรติสเข้าตี ปล้นสะดมบาบีลอนจนแหลกคามือ
7. คาร์เถจ (Carthage) รุ่งเรืองโดดเด่นในปี 300 BC พลเมือง 100,000 ได้ชื่อเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ก่อนที่จะถูกกองทัพโรมันที่เหนือกว่าเข้าโจมตี และเผาจนวายวอด และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อ 146 ปีก่อนคริสตกาล
8. โรม (Rome) ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.200 ประชากร 1,200,000 คน เลี้ยงดูชาวเมืองด้วยอาหารจากยุโรป และรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในรูปภาษี ชีวิตอันสุขสบายของชาวโรมันสะท้อนได้ดีมากในภาพยนตร์ เช่น แกลดิเอเตอร์ (Gladiator) ที่นำแสดงโดย รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) กับวาวควีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) แต่ปี ค.ศ.273 โรมเหลือประชากรอยู่ราว 500,000 เริ่มเข้าสู่ยุคมืด (Dark Age)
9. คอนสแตนนิโนเปิล (Constantinople) เจริญสุดขีดในปี ค.ศ.600 ประชากร 600,000 คน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลในยุคของจักรพรรดิฟลาวีอุส เฮราคลีอุส ออกัสตัส (Flavius Heraclius Augustus) สงครามเปอร์เซียปี 618 ทำให้การส่งอาหาร และพืชผลการเกษตรจากอียิปต์หยุดชะงัก พลเมืองเริ่มอดอยาก และเหลือเพียงประมาณ 1 ใน 10 ของจำนวนเมื่อ 18 ปีก่อนหน้านั้น
10. แบกแดด (Bagdad) ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ.900 ประชากร 900,000 คน ได้ชื่อเป็นศูนย์กลางของยุคทองแห่งศาสนาอิสลาม เป็นศูนย์กลางของศิลปะ และวิทยาการหลายแขนงที่โลกอิสลามใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน แบกแดดเฟื่องฟูอยู่ 300 ปีเศษ ก่อนจะถูกกองทัพมองโกลรุกราน และถูกตีย่อยยับลงในปี 1250
11. ไคเฟิง (Kaifeng) เป็นเมืองใหญ่มากใน ค.ศ.1200 ประชากร 1,000,000 คน ตัวเมืองป้องกันแน่นหนาด้วยกำแพงถึง 3 ชั้น แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของมองโกลในการศึกที่ยืดเยื้อ 30 ปีเศษ และปี 1234 ไคเฟิงก็แตกพ่าย ราษฎรหลบหนีไปคนละทิศละทาง ที่นี่ยังมีชุมชนชาวยิวโบราณใหญ่โตที่สุดในจีนอีกด้วย
12. ปักกิ่ง โดดเด่นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1500 ประชากร 1,00,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุค แต่แพ้ภัยตัวเองเพราะไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรที่มากมายได้ ราษฎรบุกถางป่าตัดไม้ทำบ้านเรือนที่อาศัย และเผาถ่านเป็นเชื้อเพลิงจนโล่งเตียน ส่งผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมสะท้านสะเทือนไปทั่วภูมิภาค
13. กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหลวงอาณาจักรสยามโบราณอยู่กว่า 400 ปี แต่ขึ้นนำหน้าทุกเมืองในโลกในปี ค.ศ.1700 (พ.ศ.2243) ประชากร 1,000,0000 คน เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากสารพัดทิศ รวมทั้งชาวยุโรปด้วย แต่อยุธยาก็สิ้นสุดลงเป็นเถ้าถ่านด้วยน้ำมือของกองทัพพม่า
14. ลอนดอน ใหญ่โตที่สุดในต้นศตวรรษที่ 19 หรือปี ค.ศ.1825 ประชากร 1,335,000 คน ที่อยู่กันแออัดจนเกือบจะทุกย่านของเมืองหลวงมีสภาพเป็นสลัม อาชญากรรมลามเมือง ในปี 1829 รัฐบาลได้ตั้งกองกำลังตำรวจขึ้นอย่างเป็นทางการ ตั้งชื่อตามชื่อของนายกรัฐมนตรีโรเบิร์ต พีล (Robert Peel) ชาวอังกฤษเรียกตำรวจว่า “บ๊อบบี้ส์” (Bobbies) จนถึงทุกวันนี้
15. นิวยอร์ก ในปี 1925 หรือต้นศตวรรษที่แล้วมีประชากรถึง 7,774,000 คน เป็นมหานครที่มองสู่อนาคตอย่างแท้จริง เป็นแห่งแรกของโลกที่สร้างตึกระฟ้า ถึงแม้ว่าจะเจอสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1929 แต่การก่อสร้างอาคารสูง เช่น ไครสเลอร์ เอ็มไพร์สเตท ลินคอล์น และอาคารวันวอลสตรีท ฯลฯ ก็ยังดำเนินต่อไป
16. โตเกียว ใน 1968 (พ.ศ.2511) เมืองหลวงของญี่ปุ่นมีประชากรถึง 20,500,000 คน ไม่เคยมีที่ไหนประวัติศาสตร์โลก แต่เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองสุดขีด ระหว่างปี 1953-1990 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจยุคหลังสงครามโชติช่วงมากที่สุด ญี่ปุ่นสร้างสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ออกสู่ตลาดโลกมากมายหลายชนิด.
ต้นฉบับจาก :
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=956
สาระจากละคร บุพเพสันนิวาส "กรุงศรีอยุธยา" เมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุคทองแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ถึงแม้จะไม่มีปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่นักการทูตตะวันตกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาได้วาดแผนที่แบบเดียวกันนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์ในสหรัฐฯ ที่ศึกษาคนคว้าในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา พบว่าเมื่อประมาณ 3 ศตวรรษที่แล้วที่นี่มีประชากรถึง 1 ล้านคน และจัดให้เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุคสมัย อยู่ในลำดับที่ 13 เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.
ภาพวาดของชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีเมื่อ 300 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นวัดวาอาราม ปราสาทราชวังและกิจกรรมในแม่น้ำเจ้าพระยา นักการทูตฝรั่งเศสบันทึกเอาไว้ว่า "อูเดีย" เป็นเมืองที่สวยงาม.. นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่พบว่า เมืองหลวงของราชอาณาจักรสยามแห่งนี้เคยมีประชากรถึง 1,000,000 คน ใหญ่โตที่สุดในยุคสมัย.
รถม้าสะท้อนความเป็นตะวันตก ขบวนช้างบ่งบอกความเป็นตะวันออก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นแหล่ง "ปะทะ" ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออก หลายอาณาจักรมุ่งไปยังที่นั่นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและประกอบการค้าขาย ในยุคที่อยุธยาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจำนวนประชากรถึง 1,000,000 คน.
แผนที่ฝรั่งเศสปีพ.ศ.2229 แสดงอาณาเขตของอาณาจักรสยาม พุกาม เขมร ลาว โคชินจีนกับแคว้นตังเกี๋ย ทั้งหมดเป็นแว่นแคว้นในสายตาของชาวตะวันตกที่เดินทางเข้าสู่ภูมิภาคในยุคนี้ นั่นคือช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นยุคทองของ "อูเดีย" มีแผนที่แบบเดียวกันนี้อีกจำนวนมาก ที่สะท้อนความรุ่งโรจน์ของกรุงศรีอยุธยาในยุคหนึ่งซึ่งกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุค.
ชาวตะวันตกซึ่งเป็นนักวาดเขียนสะท้อนชีวิตความเป็นไปกับความประทับใจเอาไว้มากมาย เมื่อได้ไปเยือนกรุงศรีอยุธยาใน 3-4 ศตวรรษก่อน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มได้ศึกษาและยกให้อยุธยาเป็นหนึ่งใน 16 เมืองใหญ่ของโลก เป็นแหล่งอารยธรรมตะวันออกที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 5,000 ปีของมวลมนุษย์.
ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งเจ้าพระยาโกษาปาน อัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงศรีอยุธยาไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พระราชวังแวร์ซายส์ในกรุงปารีส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักร ในยุคทองของ "อูเดีย" ที่มีประชากรถึง 1,000,000 คน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มศึกษาและได้ข้อมูลตรงกัน ในยุคสมัยหนึ่งอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก.
ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศส บอกเล่าเหตุการณ์ครั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสนำพระราชสาสน์จากกรุงปารีสไปทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีภาพดีๆ เช่นนี้อีกจำนวนมาก ในขณะที่หลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยถูกทำลายหรือสูญหายไปในเหตุการณ์ "เสียกรุง" แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ 2 กลุ่มทำการศึกษาและได้ข้อมูลตรงกันว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุคหนึ่ง.
ภาพจากเว็บไซต์องค์การยูเนสโกที่ขึ้นทะเบียนกรุงเก่าเป็นมรดกโลกหลายปีก่อน เศียรพระพุทธรูปที่จมอยู่ในโคนต้นไทร สะท้อนการล่มสลายอันขมขื่นของกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 ที่นี่เคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในยุคหนึ่ง เป็นอีกแห่งหนึ่งที่แตกดับลงจากการศึก หลายแห่งล่มสลายไปกับภัยธรรมชาติ บางแห่งพังทลายลงเพราะไม่อาจผลิตอาหารให้พอเลี้ยงดูประชากรได้.
16 เมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์ (กรุงศรีอยุธยา อยู่อันดับที่ 13
ในช่วงหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์โลก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นนครใหญ่อันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไม่มีแห่งอื่นใดสามารถเปรียบเทียบได้ ที่นี่เป็นแหล่งแห่งความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด เป็นแหล่งค้าขายระหว่างประเทศ เป็นแหล่งวิวัฒนาการทางสังคม และวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นอู่อารยธรรมอีกแห่งหนึ่งในซีกโลกตะวันออก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต้นฉบับจาก :
http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=956