
อิสราเอล ประเทศที่ต้องสอบเข้า ยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม
อยากแชร์ประสบการณ์การเดินทางไปอิสราเอลครั้งแรกในชีวิต ก่อนอื่นขอเล่าประวัติส่วนตัวนิดนึงว่าเราเป็นมุสลิมก่อนจะเริ่มเรื่อง เพราะจุดนี้แหละต้องไฮไลท์ ขีดเส้นใต้ ป้ายหมึกสีส้มไว้ตัวหนาๆ เลย เมื่อช่วงกลางปีก่อนมีภาระกิจต้องเดินทางไปทำงานในฐานะคนข่าวที่อิสราเอล แต่ไม่ใช่ข่าวที่จะไปขุดคุ้ยอะไรให้เค้าเสียหายนะ
ก่อนเดินทางมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิทีมงานแจ้งเตือนให้เผื่อเวลาเดินทาง3 ชั่วโมง เพราะทุกคนจะผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวจากเจ้าหน้าที่ของสายการบินของอิสราเอลตามกฎความปลอดภัยด้านการบินของประเทศเค้า ถ้าสัมภาษณ์ผ่านเค้าก็จะออกบอร์ดดิ้งพาสให้เดินไปขึ้นเครื่องได้
พอถึงเวลานัดเราและทีมงานก็มายืนต่อแถวรอสัมภาษณ์ที่เค้าน์เตอร์เช็คอินของสายการบินโดยเราเข้าแถวเป็นคนท้ายๆ เจ้าหน้าที่สายการบินซึ่งเป็นคนไทยหน้าเด็กๆ เริ่มทยอยตรวจสอบเอกสาร พาสปอร์ต พร้อมพูดคุยกับทีมงานเราที่ละคน ส่วนใหญ่ก็ถามนิดๆหน่อยๆก็ปล่อยตัวไปออกบอดดิ้งพาส ส่วนเพื่อนสื่อที่ไปด้วยกันซึ่งแบกกล้องทีวีตัวใหญ่เบ้อเริ่มไปจากเมืองไทยนันเจ้าหน้าที่ก็พูดคุยซักถามแป๊บเดียว
แต่พอถึงคิวเรา เจ้าหน้าที่เดิม1 คน เพิ่มเป็น2 คนประกบ เริ่มต้นจากการขอดูพาสปอร์ต แล้วมองหน้า จากนั้นยิงคำถามแรกเลยว่า ทำไมไปอิสราเอล เราบอกว่าหน่วยงานราชการ เชิญไปร่วมทำข่าวที่โน่น ไม่ได้ไปเอง สักพักถามลึกลงไปอีก ใครเป็นคนเชิญ คนเชิญชื่ออะไร เชิญมาทางไหน พอบอกเชิญผ่านอีเมล์ ขอให้เราเปิดอีเมล์ให้ดู แล้วถามต่อว่าได้พูดคุยกะบคนที่เชิญมาก่อนไหม เราบอกพูดคุย แล้วเค้าก็ถามว่าคนที่เชิญเดินทางไปด้วยหรือไม่ พร้อมบอกให้เราพสมาแสดงตัว เราก็ชี้ไปที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ
เค้าก็ซักต่อว่า จะไปทำข่าวเกี่ยวกับอะไร ปัจจุบันเป็นนักข่าวที่ไหน เวลาส่งข่าว ส่งอย่างไร ผ่านอีเมล์อะไร ขอให้เราเปิดให้ดู ที่หนักกว่านั้นคือ ถามว่าก่อนมาสนามบินเราไปทำข่าวที่ไหนมา เรื่องอะไร พอเราอธิบาย นางบอกไหนเปิดข่าวที่ว่าให้ดูสิ เราก็ต้องเปิดทำไงได้เริ่มหงุดหงิดนิดหน่อยว่าจะถามเอาอะไร ละเอียดขนาดนี้ พอเปิดให้ดูคิดว่าจะจบ บอกเลยนี้แค่เริ่มต้นจ้า จากนั้นก็สลับกันยิงคำถามแบบไม่ยั้ง หลังจากเค้าเหลือบไปเห็นกล้องถ่ายรูปที่เราห้อยคออยู่ นางหนึ่งถามขึ้นว่าขอดูภาพในกล้องได้ไหมว่าเป็นภาพอะไร ไปถ่ายที่ไหนมา เราก็เปิดให้ดูแล้วบอกยังไม่ได้ถ่ายเลย เตรียมไปถ่ายที่โน่น
คำถามที่เด็ดสุด และยิ่งทำให้เราโดนถามลุกไล่ และถามลึกลงไปอีกคือ “พี่ไปทำบุญที่วัดบ่อยไหม” ไอ้เราก็งงๆ ถามทำไมเรื่องทำบุญไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยเลย ทำเราหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า ไม่เคยไปทำบุญที่วัดเลย ทำเอา 2 นางมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนจะส่งสัญญานบางอย่างให้กัน จากนั้นนางหนึ่งก็ถามด้วยเสียงที่แบ๊วใสว่าๆ
“ทำไมพี่ไม่ไปทำบุญล่ะคะ” เราเลยตอบไปว่า “เป็นมุสลิมค่ะ” ทำให้เรามาถึงบางอ้อตอนท้าย กับคำถามเรื่องทำบุญว่าเค้าใช้จิตวิทยาชั้นสูงถามแบบอ้อมๆ ไม่ถามตรงๆว่าเราเป็นมุสลิมหรือเปล่า แต่ถามว่าเข้าวัดบ่อยไหม เพื่อกดดันให้เราตอบเอง และหลังจากที่รู้ว่าเราเป็นมุสลิม เท่านั้นแหละ เข้าทาง 2 นางเลย ยิงสรุตคำถามมาเป็นชุด เริ่มจาก บ้านอยู่จังหวัดอะไร มีพี่น้องกี่คน กลับบ้านบ่อยไหม ไปประกอบพิธีทางศาสนาบ่อยแค่ไหน เคยไปประเทศแถบอาหรับ หรือตะวันออกกลางไหม เราตอบว่าเคยไปปากีสถาน เค้าถามต่อว่าไปเมื่อไหร่ ไปทำไม เราบอกไปทำข่าว ไปกี่วัน ไปกับใคร ไปนานแค่ไหน
ถามจนเราเวียนหัว เริ่มอึดอัด แต่ก็พยามยามอดทน ไม่ได้แสดงกิริยาอะไรให้เค้าเห็น แต่ที่เห็นอาการเครียด ชัดเจนคือบรรดาทีมงานที่ต้องมายืนรอและลุ้นเราสัมภาษณ์นานเกือบชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้เพราะเราตอบได้ทุกคำถามโยไม่แสดงอารหงุดหงิด เพิ่งมารู้ว่าที่เจ้าหน้าที่พยายามถามนานคุยกับเรานาน ถามคำถามงี่เง่า เพราะเค้าต้องการยั่วอารม เป็นบททดสอบแบบจิตวิทยา เพื่อทดสอบดูว่าเราเป็นคนอารมณ์แบบไหน หัวรุนแรง และมีควาเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือไม่ แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ เพราะตอบได้ทุกคำถามแบบใจเย็น
บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า สอบเข้าประเทศนี้ มันยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม ยิ่งถ้าเค้ารู้ว่าเป็นมุสลิมด้วย ขอเตือนให้เผื่อใจไว้ 50/50 เพราะอาจหมดโอกาสเหยีบแผ่นดินเค้า
////
[CR] "อิสราเอล" ประเทศที่ต้องสอบเข้า ยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม
อยากแชร์ประสบการณ์การเดินทางไปอิสราเอลครั้งแรกในชีวิต ก่อนอื่นขอเล่าประวัติส่วนตัวนิดนึงว่าเราเป็นมุสลิมก่อนจะเริ่มเรื่อง เพราะจุดนี้แหละต้องไฮไลท์ ขีดเส้นใต้ ป้ายหมึกสีส้มไว้ตัวหนาๆ เลย เมื่อช่วงกลางปีก่อนมีภาระกิจต้องเดินทางไปทำงานในฐานะคนข่าวที่อิสราเอล แต่ไม่ใช่ข่าวที่จะไปขุดคุ้ยอะไรให้เค้าเสียหายนะ
ก่อนเดินทางมาขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิทีมงานแจ้งเตือนให้เผื่อเวลาเดินทาง3 ชั่วโมง เพราะทุกคนจะผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวจากเจ้าหน้าที่ของสายการบินของอิสราเอลตามกฎความปลอดภัยด้านการบินของประเทศเค้า ถ้าสัมภาษณ์ผ่านเค้าก็จะออกบอร์ดดิ้งพาสให้เดินไปขึ้นเครื่องได้
พอถึงเวลานัดเราและทีมงานก็มายืนต่อแถวรอสัมภาษณ์ที่เค้าน์เตอร์เช็คอินของสายการบินโดยเราเข้าแถวเป็นคนท้ายๆ เจ้าหน้าที่สายการบินซึ่งเป็นคนไทยหน้าเด็กๆ เริ่มทยอยตรวจสอบเอกสาร พาสปอร์ต พร้อมพูดคุยกับทีมงานเราที่ละคน ส่วนใหญ่ก็ถามนิดๆหน่อยๆก็ปล่อยตัวไปออกบอดดิ้งพาส ส่วนเพื่อนสื่อที่ไปด้วยกันซึ่งแบกกล้องทีวีตัวใหญ่เบ้อเริ่มไปจากเมืองไทยนันเจ้าหน้าที่ก็พูดคุยซักถามแป๊บเดียว
แต่พอถึงคิวเรา เจ้าหน้าที่เดิม1 คน เพิ่มเป็น2 คนประกบ เริ่มต้นจากการขอดูพาสปอร์ต แล้วมองหน้า จากนั้นยิงคำถามแรกเลยว่า ทำไมไปอิสราเอล เราบอกว่าหน่วยงานราชการ เชิญไปร่วมทำข่าวที่โน่น ไม่ได้ไปเอง สักพักถามลึกลงไปอีก ใครเป็นคนเชิญ คนเชิญชื่ออะไร เชิญมาทางไหน พอบอกเชิญผ่านอีเมล์ ขอให้เราเปิดอีเมล์ให้ดู แล้วถามต่อว่าได้พูดคุยกะบคนที่เชิญมาก่อนไหม เราบอกพูดคุย แล้วเค้าก็ถามว่าคนที่เชิญเดินทางไปด้วยหรือไม่ พร้อมบอกให้เราพสมาแสดงตัว เราก็ชี้ไปที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ
เค้าก็ซักต่อว่า จะไปทำข่าวเกี่ยวกับอะไร ปัจจุบันเป็นนักข่าวที่ไหน เวลาส่งข่าว ส่งอย่างไร ผ่านอีเมล์อะไร ขอให้เราเปิดให้ดู ที่หนักกว่านั้นคือ ถามว่าก่อนมาสนามบินเราไปทำข่าวที่ไหนมา เรื่องอะไร พอเราอธิบาย นางบอกไหนเปิดข่าวที่ว่าให้ดูสิ เราก็ต้องเปิดทำไงได้เริ่มหงุดหงิดนิดหน่อยว่าจะถามเอาอะไร ละเอียดขนาดนี้ พอเปิดให้ดูคิดว่าจะจบ บอกเลยนี้แค่เริ่มต้นจ้า จากนั้นก็สลับกันยิงคำถามแบบไม่ยั้ง หลังจากเค้าเหลือบไปเห็นกล้องถ่ายรูปที่เราห้อยคออยู่ นางหนึ่งถามขึ้นว่าขอดูภาพในกล้องได้ไหมว่าเป็นภาพอะไร ไปถ่ายที่ไหนมา เราก็เปิดให้ดูแล้วบอกยังไม่ได้ถ่ายเลย เตรียมไปถ่ายที่โน่น
คำถามที่เด็ดสุด และยิ่งทำให้เราโดนถามลุกไล่ และถามลึกลงไปอีกคือ “พี่ไปทำบุญที่วัดบ่อยไหม” ไอ้เราก็งงๆ ถามทำไมเรื่องทำบุญไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยเลย ทำเราหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า ไม่เคยไปทำบุญที่วัดเลย ทำเอา 2 นางมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนจะส่งสัญญานบางอย่างให้กัน จากนั้นนางหนึ่งก็ถามด้วยเสียงที่แบ๊วใสว่าๆ
“ทำไมพี่ไม่ไปทำบุญล่ะคะ” เราเลยตอบไปว่า “เป็นมุสลิมค่ะ” ทำให้เรามาถึงบางอ้อตอนท้าย กับคำถามเรื่องทำบุญว่าเค้าใช้จิตวิทยาชั้นสูงถามแบบอ้อมๆ ไม่ถามตรงๆว่าเราเป็นมุสลิมหรือเปล่า แต่ถามว่าเข้าวัดบ่อยไหม เพื่อกดดันให้เราตอบเอง และหลังจากที่รู้ว่าเราเป็นมุสลิม เท่านั้นแหละ เข้าทาง 2 นางเลย ยิงสรุตคำถามมาเป็นชุด เริ่มจาก บ้านอยู่จังหวัดอะไร มีพี่น้องกี่คน กลับบ้านบ่อยไหม ไปประกอบพิธีทางศาสนาบ่อยแค่ไหน เคยไปประเทศแถบอาหรับ หรือตะวันออกกลางไหม เราตอบว่าเคยไปปากีสถาน เค้าถามต่อว่าไปเมื่อไหร่ ไปทำไม เราบอกไปทำข่าว ไปกี่วัน ไปกับใคร ไปนานแค่ไหน
ถามจนเราเวียนหัว เริ่มอึดอัด แต่ก็พยามยามอดทน ไม่ได้แสดงกิริยาอะไรให้เค้าเห็น แต่ที่เห็นอาการเครียด ชัดเจนคือบรรดาทีมงานที่ต้องมายืนรอและลุ้นเราสัมภาษณ์นานเกือบชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้เพราะเราตอบได้ทุกคำถามโยไม่แสดงอารหงุดหงิด เพิ่งมารู้ว่าที่เจ้าหน้าที่พยายามถามนานคุยกับเรานาน ถามคำถามงี่เง่า เพราะเค้าต้องการยั่วอารม เป็นบททดสอบแบบจิตวิทยา เพื่อทดสอบดูว่าเราเป็นคนอารมณ์แบบไหน หัวรุนแรง และมีควาเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือไม่ แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้ เพราะตอบได้ทุกคำถามแบบใจเย็น
บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า สอบเข้าประเทศนี้ มันยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม ยิ่งถ้าเค้ารู้ว่าเป็นมุสลิมด้วย ขอเตือนให้เผื่อใจไว้ 50/50 เพราะอาจหมดโอกาสเหยีบแผ่นดินเค้า
////