ร้านค้าเล็ก เดือดร้อนหนัก ‘บัตรสวัสดิการ’ ทำพิษ จ่อปิดกิจการ – แห่ไปร้านเดียว ที่ร่วมโครงการ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_761147
วันนี้ 19 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้พบกับ นาง
สมจิตร สุวรรณมา อายุ 70 ปี อาชีพขายของชำใน ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่ออกมาระบุถึงผลกระทบจากบัตรสวัสดิการตามโครงการของรัฐบาล ว่า
โครงการดังกล่าวถือว่าเป็นโครงการที่ดี โดยเฉพาะคนจนตามชนบท จะได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันได้ในส่วนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเงินเพียง 300 บาทต่อเดือนก็ตาม
แต่หลังจากโครงการเริ่มขึ้นปรากฏว่า ร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่มีรายชื่อได้เข้าร่วมโครงการ ต่างได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด ยอดขายสินค้าลดไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะชาวบ้านจะต้องไปรูดบัตรกับร้านที่มีรายชื่อ ในจ.บุรีรัมย์ที่เป็นห้างขนาดใหญ่ในจังหวัด และขยายสาขาไปทุกตำบล และเป็นห้างเดียวที่มีรายชื่อได้เข้าร่วมโครงการกับรัฐบาล จนร้านค้าต่างเกิดความสงสัยถึงขั้นตอนการพิจารณาร้านค้าที่เข้าร่วม และคนจนที่ไปรูดซื้อสินค้า ส่วนใหญ่ก็จะเลือกสินค้าเกินกว่าวงเงินที่ได้รับคือเดือนละ 300 บาทอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะจ่ายเงินส่วนต่างเพิ่มให้กับห้าง หากรับรัฐบาลจะมีการเพิ่มวงเงินให้อีกก็ตาม กลุ่มนี้ก็จะมีพฤติกรรมเช่นเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร้านค้าขนาดเล็กขายไม่ได้
นาง
สมจิตร ยังกล่าวด้วยว่า อยากจะให้รัฐบาลยกเลิกการช่วยเหลือจากบัตรรูดสินค้ามาเป็นเงินสดแทน เพราะจะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กตามหมู่บ้านมีรายได้ไปด้วย หากรัฐบาลเกรงว่าคนจนจะเอาเงินไปใช้อย่างผิดวิธีนั้นไม่เป็นความจริง เพราะมีคนจนจำนวนไม่น้อยที่รูดสินค้าอุปโภค-บริโภค ออกมาแล้วนำไปตีแลกซื้อสุราขาวกับร้านขนาดเล็กมาดื่ม
ใช้จ่ายผ่านเครื่องอีดีซีพ่นพิษ ร้านค้าแห่ขอคืนคลังกลัวโดยกรมสรรพากรเก็บภาษีย้อนหลัง
https://www.khaosod.co.th/economics/news_761039
น.ส.
กุลยา ตันติเตมิท โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นโยบาย
e-Payment ของกระทรวงการคลังประสบความสำเร็จอย่างมาก สะท้อนจากยอดขายสินค้าโดยการชำระผ่านเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ขณะนี้พบว่ามีร้านค้าเริ่มมีการอยากคืนเครื่องอีดีซีให้กับภาครัฐจำนวนมาก เนื่องจากกังวลว่าหากมียอดขายสินค้าเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะทำให้กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบภาษีย้อนหลังและเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้ร้านค้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวในส่วนนี้
“กรณีนี้เป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยกระทรวงการคลังเตรียมเดินสายชี้แจงกับร้านค้าว่าการติดเครื่องอีดีซีไม่เกี่ยวกับการถูกตรวจจสอบภาษีย้อนหลังและเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติม เนื่องจากร้านค้าต่างๆ ที่มีการไปซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มาขายต่ออีกทอด จะมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนนั้นไปแล้ว ก็ไม่ต้องมีการมาเสียภาษีซ้ำซ้อนอีก”น.ส.
กุลยา กล่าว
JJNY : ตอบโจทย์ดี๊ดี...ซี้จุกสูญ ร้านค้าเล็กเดือดร้อนหนัก‘บัตรสวัสดิการ’ทำพิษฯ/ใช้จ่ายผ่านอีดีซีพ่นพิษร้านค้าแห่คืนคลังฯ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_761147
วันนี้ 19 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้พบกับ นางสมจิตร สุวรรณมา อายุ 70 ปี อาชีพขายของชำใน ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ที่ออกมาระบุถึงผลกระทบจากบัตรสวัสดิการตามโครงการของรัฐบาล ว่า
โครงการดังกล่าวถือว่าเป็นโครงการที่ดี โดยเฉพาะคนจนตามชนบท จะได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันได้ในส่วนหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเงินเพียง 300 บาทต่อเดือนก็ตาม
แต่หลังจากโครงการเริ่มขึ้นปรากฏว่า ร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่มีรายชื่อได้เข้าร่วมโครงการ ต่างได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด ยอดขายสินค้าลดไปกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะชาวบ้านจะต้องไปรูดบัตรกับร้านที่มีรายชื่อ ในจ.บุรีรัมย์ที่เป็นห้างขนาดใหญ่ในจังหวัด และขยายสาขาไปทุกตำบล และเป็นห้างเดียวที่มีรายชื่อได้เข้าร่วมโครงการกับรัฐบาล จนร้านค้าต่างเกิดความสงสัยถึงขั้นตอนการพิจารณาร้านค้าที่เข้าร่วม และคนจนที่ไปรูดซื้อสินค้า ส่วนใหญ่ก็จะเลือกสินค้าเกินกว่าวงเงินที่ได้รับคือเดือนละ 300 บาทอยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มนี้ก็จะจ่ายเงินส่วนต่างเพิ่มให้กับห้าง หากรับรัฐบาลจะมีการเพิ่มวงเงินให้อีกก็ตาม กลุ่มนี้ก็จะมีพฤติกรรมเช่นเดิม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร้านค้าขนาดเล็กขายไม่ได้
นางสมจิตร ยังกล่าวด้วยว่า อยากจะให้รัฐบาลยกเลิกการช่วยเหลือจากบัตรรูดสินค้ามาเป็นเงินสดแทน เพราะจะทำให้ร้านค้าขนาดเล็กตามหมู่บ้านมีรายได้ไปด้วย หากรัฐบาลเกรงว่าคนจนจะเอาเงินไปใช้อย่างผิดวิธีนั้นไม่เป็นความจริง เพราะมีคนจนจำนวนไม่น้อยที่รูดสินค้าอุปโภค-บริโภค ออกมาแล้วนำไปตีแลกซื้อสุราขาวกับร้านขนาดเล็กมาดื่ม
ใช้จ่ายผ่านเครื่องอีดีซีพ่นพิษ ร้านค้าแห่ขอคืนคลังกลัวโดยกรมสรรพากรเก็บภาษีย้อนหลัง
https://www.khaosod.co.th/economics/news_761039
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นโยบาย e-Payment ของกระทรวงการคลังประสบความสำเร็จอย่างมาก สะท้อนจากยอดขายสินค้าโดยการชำระผ่านเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (อีดีซี) เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ขณะนี้พบว่ามีร้านค้าเริ่มมีการอยากคืนเครื่องอีดีซีให้กับภาครัฐจำนวนมาก เนื่องจากกังวลว่าหากมียอดขายสินค้าเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะทำให้กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบภาษีย้อนหลังและเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้ร้านค้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวในส่วนนี้
“กรณีนี้เป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยกระทรวงการคลังเตรียมเดินสายชี้แจงกับร้านค้าว่าการติดเครื่องอีดีซีไม่เกี่ยวกับการถูกตรวจจสอบภาษีย้อนหลังและเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติม เนื่องจากร้านค้าต่างๆ ที่มีการไปซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่มาขายต่ออีกทอด จะมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนนั้นไปแล้ว ก็ไม่ต้องมีการมาเสียภาษีซ้ำซ้อนอีก”น.ส.กุลยา กล่าว