[หนังโรงเรื่องที่ 216] Black Panther - เผด็จการผู้เป็นที่รัก by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 216] Black Panther - เผด็จการผู้เป็นที่รัก ; (Ryan Coogler, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A+ (จากสเกล D-A)

*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ

เรื่องย่อ: กล่าวถึงประเทศ "วาคานด้า" ประเทศลึกลับกลางทวีปแอฟริกาที่ปิดบังตัวเองจากโลกกว้างมานานกว่านับพันปี ซึ่งแท้จริงแล้วประเทศนี้มีความก้าวหน้าทางวิทยาการอย่างสูงเนื่องจากสินแร่ "ไวเบรเนี่ยม" จำนวนมหาศาลที่ถูกเอาไปแปรรูปสร้างเป็นสิ่งของล้ำสมัยต่างๆ ได้

และผู้ปกครองคนปัจจุบันของวาคานด้าก็คือ "ทีชัลล่า/Black Panther" (Chadwick Boseman) โอรสของ "ทีชาก้า" (John Kani) ผู้ล่วงลับในเหตุการณ์ถล่มยูเอ็นใน Civil War ... และวาคานด้าเองก็กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนรัชสมัยอันนำมาซึ่งความวุ่นวายสับสนภายในประเทศเล็กๆ ของตัวเอง รวมไปถึงการแย่งชิงราชบัลลังก์ด้วย
.
.

ถือว่าเป็นหนัง Marvel อีกเรื่องที่สามารถตีโจทย์ของตัวเองได้ฉลุยและสามารถขายเรื่องของตัวเองล้วนๆ (standalone) ได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งใบบุญจากฮีโร่รุ่นพี่ตัวอื่นๆ เลย เอาเป็นว่าลำพังแค่ขายความเป็นแอฟริกาที่ผสานเข้ากับเทคโนโลยีนำสมัยจนดูแฟนตาซีได้สุดๆ ได้ขนาดนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว และตัวเส้นเรื่องของหนังเองก็ยังมีความแปลกใหม่ (บนความเรียบง่าย) มากพอที่จะดึงดูดความสนใจของคนดูได้โดยไม่ชิงเบื่อไปซะก่อน
.

ประเด็นแรกที่ชื่นชม ก็คือหนังสามารถสร้างตัวร้ายชนิดที่คนดู "เกลียดไม่ลง" ขึ้นมาได้อีกครั้ง (จากครั้งหนึ่งใน Civil War) ตัวร้ายอย่าง "คิลมองเกอร์" (Michael B. Jordan) มาพร้อมกับอุดมการณ์และเหตุผลของตัวเองที่ชัดเจน และในขั้นตอนการล้มล้างราชบัลลังก์ของเขาก็ไม่ได้เป็นไปด้วยขั้นตอนที่ชั่วร้ายอีกด้วย ในหลายๆ แง่มุมเราอาจจะรู้สึกสงสารตัวละครนี้ไปเลยด้วยซ้ำ และด้วยจุดยืนอันหนักแน่นของเขานี่เองที่จะเป็นตัวจุดประกายให้เราเริ่มตั้งคำถามกับจุดยืนของตัวเอกอย่าง "ทีชัลล่า" ต่อไป
.

ภาพลักษณ์ของทีชัลล่าในหนังเรื่องนี้ ถูกนำเสนอออกมาในลักษณะผู้ถืออำนาจเบ็ดเสร็จซึ่งเป็นที่รักของประชาชน แต่กระนั้นก็ยังไม่ประสาวิถีของโลกและไม่คิดจะตั้งคำถามของประเทศตนที่ยังดำรงการปกปิดมานานกว่าพันปีแม้โลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเท่าไร มีฉากหนึ่งที่หนังนำเสนออย่างชัดเจนว่าตัวทีชัลล่าเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะนำประเทศไปทางไหน เพราะทั้งยศฐาบรรดาศักดิ์รวมไปถึงบัลลังก์ที่ตนนั่งอยู่ก็เป็นเพียงของที่ได้รับส่งมอบมาเท่านั้น
.


การนำเสนอระบบการปกครองของวาคานด้าก็น่าสนใจ คือจากภาพที่เห็นในหนังทั้งหมดแล้วก็พอจะ assume ได้ว่าประเทศนี้ปกครองโดยระบอบ "เผด็จการ กึ่งๆ สมบูรณาญาสิทธิราช" ที่ทุกคนต่างรักใคร่นั่นแหละ หรือว่าง่ายๆ ก็คือ "กษัตริย์" มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจทุกอย่าง รวมไปถึงการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ด้วย โดยวิเคราะห์ได้จากพิธีราชาภิเษกในตอนต้นเรื่อง จะสังเกตได้ว่าประชาชนตัวแทนจากทุกหมู่เหล่า แทบจะไม่มีใครกล้าหรือคิดขัดขวางการขึ้นครองบัลลังก์เลยแม้แต่น้อย เว้นเสียแต่เผ่าหนุมานที่อาจหาญกล้าทวงคืนสิทธิพลเมืองของตัวเอง

หรือแม้แต่ตอนที่มีคนมาชิงบัลลังก์และยึดอำนาจการปกครองไป ผู้นั้นก็ต้องมี "สายเลือดของราชวงศ์" เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ในการท้าชิงบัลลังก์ได้ แสดงว่าถ้าไม่ใช่ไอ้หมอนี่ คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ชิงบัลลังก์เลยนี่หว่า ก็ได้แต่รอรัชสมัยของคนปัจจุบันสิ้นไปจนแก่หง่อมพอดี--แถมจากการที่กษัตริย์สั่งหันซ้ายหันขวาได้ตามใจชอบโดยที่สภาสูงไม่มีสิทธิ์ในการคัดค้านใดๆ ก็ยิ่งบ่งบอกชัดถึงความเผด็จการขึ้นไปอีก
.


สำหรับฉากแอคชั่นและอารมณ์ขันในเรื่องก็ถือว่าออกมาดูดีตามสไตล์มาร์เวล อาจจะมีติดขัดนิดหน่อยเป็นการส่วนตัวก็ตรงที่ฉากปะทะกัน (ที่ไม่ใช่ฉากของ Black Panther) มันดูไม่ค่อยแข็งแรงสมจริงยังไงก็ไม่รู้ การตะลุมบอนของเหล่าองครักษ์วาคานด้ามันออกมาดูก๋องแก๋งๆ ไปหน่อย แต่การผนวกเอาเทคโนโลยีล้ำๆ มาผสานกับการสู้รบแบบชนเผ่าล้าหลังมันก็ตื่นตาดีเลยพอหยวนๆ ไปได้

แอบสังเกตนิดหน่อยว่าเหมือนหนังพยายามอัพความรุนแรงของตัวเองเพิ่มขึ้นมาทีละนิดๆ อย่างแนบเนียนแล้วนะ เห็นได้ชัดจากฉากปล้นของตอนต้นเรื่อง ถือว่าเป็นฉากที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในหนังเด็ก PG-13 ของ Marvel ซะแล้ว
.

จุดที่อยากตำหนิก็คือแกนหลักของเรื่องในบางช่วงที่ทำออกมามึนๆ พอสมควร อย่างเช่นเหตุผลของตัวร้ายในการคิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างเรื่องการค้าทาส, การล่าอาณานิคม และการถูกกดขี่ของคนดำในอเมริกายุคเหยียดผิวนั้น ก็ฟังดูเหมือนว่าเขาจะพูดออกมาไม่ครบสักเท่าไร ไอ้ครั้นจะบอกว่าคนขาวในยุคนั้นเป็นพวกชั่วร้ายที่มาขโมยคนพื้นเมืองไปเป็นทาสอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เพราะเอาจริงๆ แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นฝีมือของพวกคนแอฟริกันด้วยกันนี่แหละ ที่จับคนต่างเผ่า/ต่างถิ่นไปขายเป็นทาสให้คนต่างถิ่นเอง เผลอๆ วาคานด้าในยุคนั้นจะมีเอี่ยวด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ (หัวเราะ)

ดังนั้นการที่วาคานด้านิ่งเฉยปกปิดตัวเป็นความลับมานานโดยที่ไม่ไปแทรกแซงกิจการของประเทศอื่น (ในทวีปของตัวเอง) ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกแล้วก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นเรื่องของ Moral Dilemma ที่แม้แต่ผู้เขียนก็ยังไม่อาจชี้ขาดได้เหมือนกัน
.

จุดตำหนิสุดท้าย--ไม่เกี่ยวกับตัวหนัง แต่โดยส่วนตัวอยากจะบ่น "ซับไตเติ้ล" (Subtitles) ของหนังเรื่องนี้มากกกก คือในทัศนะของผู้เขียนแล้วรู้สึกว่าเป็นการแปลที่ไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลย เหมือนคนแปลจะสับสนในตัวเองว่า "สรุปว่ากรูจะใช้ราชาศัพท์แบบจักรๆ วงศ์ๆ หรือคำพูดแบบสามัญชนดีวะ" ผลที่ออกมาก็คือทิศทางของคำแปลมันเลยสะเปะสะปะไปหมด บางประโยคมีทั้งคำโมเดิร์นและคำโบราณปนกันไปเรื่อย

อีกทั้งการถอดเสียงชนพื้นเมืองบางตัวละครก็ตื่นเขินเกินจนเหมือนไม่ให้เกียรติเขา เช่นตัวละคร "เอ็มบาคู" (Winston Duke) ซึ่งเชื่อว่าคนที่ดูแบบซาวแทร็กก็คงจะได้ยินกันชัดแหละ ว่ามันไม่ใช่เสียง "เอ็ม" แน่ๆ และความไม่สม่ำเสมอของสรรพนามตัวละครก็ชวนหงุดหงิดพอสมควร บางจังหวะผู้เขียนก็ไม่เข้าใจว่า สรุปว่าทีชัลล่าจะเรียกคิลมังเกอร์ ว่า "ฉัน-นาย" หรือว่า "ข้า-เจ้า" กันแน่ เห็นปนกันมั่วไปหมด ก็แอบงงอยู่เหมือนกัน
.

สรุปแล้ว Black Panther ก็เป็นหนังที่ดีสมดังที่เขาร่ำลือกันทั่วบ้านทั่วเมืองนั่นแหละ มีฉากแอคชั่นในปริมาณที่พอเหมาะ อารมณ์ขันประปราย และมีการแตะจับการเมืองและแซะ Donald Trump เล็กน้อยตามกระแสสมัยนิยม เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่ "ไม่แป้ก" และคู่ควรต่อการปูทางไปหาสุดยอดมหากาพย์อย่าง "Infinity War" ได้อย่างสมเกียรติอย่างแน่นอน

ถูกใจกับรีวิวหรืออยากมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังกัน ขอเชิญได้ที่เพจเฟซบุ๊ก "ตั๋วหนังมันแพง" นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่