ชายหาดเมืองไทย หลุดวิกฤต เหลือกัดเซาะแค่ 145กม. สงขลา-นครศรีฯ น่าห่วง

ทช.ประกาศชายหาดไทยหลุดพ้นวิกฤตปัญหา กัดเซาะ เผยจาก 800 กม. เหลือ 145 กม. อาศัยธรรมชาติเข้าช่วย
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แถลงข่าวเรื่องสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งของไทย ปี 2560 โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดี ทช. พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกัดเซาะชายฝั่งและนักวิชาการด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้แก่ นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และนายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งร่วมด้วย
นายจตุพรกล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ประเทศไทยต้องประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาอย่างยาวนาน จากการรวบรวมข้อมูลการกัดเซาะชายฝั่งตั้งแต่ปี 2495-2551 พบว่ามีพื้นที่ชายฝั่งที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งประมาณ 800 กิโลเมตร จากความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 3,151 กิโลเมตร คิดเป็น 25% ของความยาวชายฝั่งประเทศไทย ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไขปัญหาการกัดเซาะมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยการแก้ไขปัญหาในสมัยก่อนเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด หรือเฉพาะพื้นที่ที่มีการกัดเซาะ โดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม ซึ่งการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีดังกล่าวจะส่งผลให้ชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงกับโครงสร้าง หรืออยู่ท้ายโครงสร้างเกิดการกัดเซาะลุกลามกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น
"จากการสำรวจแนวชายฝั่งประเทศไทยปี 2560 โดย ทช.พบพื้นที่กัดเซาะชายฝั่งได้ดำเนินการแก้ไขแล้วเป็นระยะทางประมาณ 559 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 18% ของแนวชายฝั่ง คงเหลือพื้นที่กัดเซาะที่ยังไม่รับการแก้ไขเป็นระยะทางประมาณ 145.73 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 5% ของความยาวชายฝั่ง และพื้นที่ที่ไม่มีปัญหา การกัดเซาะระยะทาง 2,447 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 77% ของแนวชายฝั่ง" นายจตุพรกล่าว
นายศักดิ์อนันต์กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้ร่วมกับนายศศินลงพื้นที่สำรวจการ กัดเซาะชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ พบว่าปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมาเกิดจากการแก้ปัญหาที่หนึ่งแล้วจะไปสร้างปัญหาให้อีกที่หนึ่ง การใช้ของแข็งประเภทกำแพง ก้อนหิน ไปสู้กับแรงคลื่น ทำให้เกิดการกัดเซาะมากยิ่งขึ้น เช่น พื้นที่ชายหาดปากพนัง แหลมตะลุมพุก และ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
"พบว่าเมื่อคลื่นปะทะกับของแข็งก็จะสูงขึ้นจากเดิม 7 เท่า และยังเบี่ยงเบนไปด้านข้างเข้าไปกัดเซาะอีกด้วย อีกทั้งน้ำหนักของน้ำที่ทิ้งตัวลงมาทำให้ทรายหายไปด้วย ความล้มเหลวของการแก้ปัญหาการกัดเซาะแบบสะเปะสะปะเช่นนี้ ทำให้ที่ผ่านมาเราไม่สามารถแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้เลย" นายศักดิ์อนันต์กล่าว
นายศักดิ์อนันต์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีหลายพื้นที่นำธรรมชาติเข้าไปช่วยแก้ปัญหา ทำให้การกัดเซาะในพื้นที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น พื้นที่ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ตราด จันทบุรี ใช้ไม้ไผ่ปลูกป่าชายเลน ทำให้ปัญหาการกัดเซาะนิ่งมานานแล้ว อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่ยังถือว่ามีความวิกฤตเรื่องการกัดเซาะอยู่ เช่น จ.สงขลา สมุทรปราการ ปัตตานี และนครศรีธรรมราช
นายจตุพรกล่าวว่า ทช.ทำแผนงานและโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะทำงานบูรณาการแนวทาง แผนงานโครงการและงบประมาณการจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชน หน่วยงานในท้องถิ่นพื้นที่ชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด แนวทางดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ และผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 แนวทางดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง มุ่งเน้นความสอดคล้องกับธรรมชาติไม่ส่งผลต่อเนื่องไปยังพื้นที่ข้างเคียงเป็นหลักซึ่งแบ่งได้เป็น 4 แนวทาง 3 มาตรการ 8 รูปแบบ คือแนวทางการปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ แนวทางการป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แนวทางการฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ด้านมาตรการ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีก 3 มาตรการ 8 รูปแบบ คือ มาตรการสีขาว หมายถึงการดำเนินการเพื่อลดผล กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ที่อาจเกิดขึ้นจากการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งดำเนินการในรูปแบบการกำหนดพื้นที่ถอยร่น ห้ามก่อสร้างหรือกระทำกิจกรรมที่เปลี่ยนแปลงสภาพสัณฐานชายหาดและเนินทราย เพื่อให้ธรรมชาติปรับสมดุล มาตรการสีเขียว คือการดำเนินการที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ข้างเคียง เหมาะกับบริเวณชายฝั่งทะเลแบบปิดขนาดเล็ก ชายฝั่งที่มีความลาดชันต่ำ มี 3 รูปแบบ การดำเนินการคือ การปลูกป่า การฟื้นฟูชายหาด และการปักเสาดักตะกอน เพื่อปลูกป่าชายเลน มาตรการสีเทา คือการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม เพื่อให้เหมาะสมกับชายฝั่งที่มีคลื่นขนาดใหญ่ ชายฝั่งมีความลาดชันสูง มี 4 รูปแบบคือ สร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง รอดักทราย เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล และกำแพงกันคลื่นริมหาด
"การดำเนินงานโดยใช้โครงการทางวิศวกรรม เพื่อให้เหมาะสมกับชายฝั่งที่มีคลื่นขนาดใหญ่ชายฝั่งมีความลาดชันสูง มีมาตรการดำเนินการทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ การสร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง รอดักทราย เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล และกำแพงป้องกันคลื่นริมชายหาด นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทช.มีการศึกษาวิจัย พัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ และได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งในพื้นที่หาดโคลนและหาดทราย เช่น การปักไม้ไผ่ชะลอความรุนแรงของคลื่น การฟื้นฟูป่าชายเลน การถ่ายเททราย พร้อมทั้งเผยแพร่องค์ความรู้ ด้านการกัดเซาะชายฝั่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงสาเหตุของปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมถึงการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และยั่งยืน" นายจตุพรกล่าว
มติชน (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ชายหาดเมืองไทย หลุดวิกฤต เหลือกัดเซาะแค่ 145กม. สงขลา-นครศรีธรรมราช น่าห่วง
ทช.ประกาศชายหาดไทยหลุดพ้นวิกฤตปัญหา กัดเซาะ เผยจาก 800 กม. เหลือ 145 กม. อาศัยธรรมชาติเข้าช่วย
เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แถลงข่าวเรื่องสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งของไทย ปี 2560 โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดี ทช. พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกัดเซาะชายฝั่งและนักวิชาการด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้แก่ นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และนายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งร่วมด้วย
นายจตุพรกล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ประเทศไทยต้องประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาอย่างยาวนาน จากการรวบรวมข้อมูลการกัดเซาะชายฝั่งตั้งแต่ปี 2495-2551 พบว่ามีพื้นที่ชายฝั่งที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งประมาณ 800 กิโลเมตร จากความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 3,151 กิโลเมตร คิดเป็น 25% ของความยาวชายฝั่งประเทศไทย ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ไขปัญหาการกัดเซาะมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยการแก้ไขปัญหาในสมัยก่อนเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด หรือเฉพาะพื้นที่ที่มีการกัดเซาะ โดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม ซึ่งการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีดังกล่าวจะส่งผลให้ชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงกับโครงสร้าง หรืออยู่ท้ายโครงสร้างเกิดการกัดเซาะลุกลามกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงมากขึ้น
"จากการสำรวจแนวชายฝั่งประเทศไทยปี 2560 โดย ทช.พบพื้นที่กัดเซาะชายฝั่งได้ดำเนินการแก้ไขแล้วเป็นระยะทางประมาณ 559 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 18% ของแนวชายฝั่ง คงเหลือพื้นที่กัดเซาะที่ยังไม่รับการแก้ไขเป็นระยะทางประมาณ 145.73 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 5% ของความยาวชายฝั่ง และพื้นที่ที่ไม่มีปัญหา การกัดเซาะระยะทาง 2,447 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 77% ของแนวชายฝั่ง" นายจตุพรกล่าว
นายศักดิ์อนันต์กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้ร่วมกับนายศศินลงพื้นที่สำรวจการ กัดเซาะชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ พบว่าปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมาเกิดจากการแก้ปัญหาที่หนึ่งแล้วจะไปสร้างปัญหาให้อีกที่หนึ่ง การใช้ของแข็งประเภทกำแพง ก้อนหิน ไปสู้กับแรงคลื่น ทำให้เกิดการกัดเซาะมากยิ่งขึ้น เช่น พื้นที่ชายหาดปากพนัง แหลมตะลุมพุก และ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
"พบว่าเมื่อคลื่นปะทะกับของแข็งก็จะสูงขึ้นจากเดิม 7 เท่า และยังเบี่ยงเบนไปด้านข้างเข้าไปกัดเซาะอีกด้วย อีกทั้งน้ำหนักของน้ำที่ทิ้งตัวลงมาทำให้ทรายหายไปด้วย ความล้มเหลวของการแก้ปัญหาการกัดเซาะแบบสะเปะสะปะเช่นนี้ ทำให้ที่ผ่านมาเราไม่สามารถแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้เลย" นายศักดิ์อนันต์กล่าว
นายศักดิ์อนันต์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีหลายพื้นที่นำธรรมชาติเข้าไปช่วยแก้ปัญหา ทำให้การกัดเซาะในพื้นที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น พื้นที่ จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ตราด จันทบุรี ใช้ไม้ไผ่ปลูกป่าชายเลน ทำให้ปัญหาการกัดเซาะนิ่งมานานแล้ว อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่ยังถือว่ามีความวิกฤตเรื่องการกัดเซาะอยู่ เช่น จ.สงขลา สมุทรปราการ ปัตตานี และนครศรีธรรมราช
นายจตุพรกล่าวว่า ทช.ทำแผนงานและโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะทำงานบูรณาการแนวทาง แผนงานโครงการและงบประมาณการจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของภาคประชาชน หน่วยงานในท้องถิ่นพื้นที่ชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด แนวทางดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ และผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 แนวทางดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง มุ่งเน้นความสอดคล้องกับธรรมชาติไม่ส่งผลต่อเนื่องไปยังพื้นที่ข้างเคียงเป็นหลักซึ่งแบ่งได้เป็น 4 แนวทาง 3 มาตรการ 8 รูปแบบ คือแนวทางการปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ แนวทางการป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แนวทางการฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง
นายจตุพรกล่าวต่อว่า ด้านมาตรการ การป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอีก 3 มาตรการ 8 รูปแบบ คือ มาตรการสีขาว หมายถึงการดำเนินการเพื่อลดผล กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ที่อาจเกิดขึ้นจากการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งดำเนินการในรูปแบบการกำหนดพื้นที่ถอยร่น ห้ามก่อสร้างหรือกระทำกิจกรรมที่เปลี่ยนแปลงสภาพสัณฐานชายหาดและเนินทราย เพื่อให้ธรรมชาติปรับสมดุล มาตรการสีเขียว คือการดำเนินการที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ข้างเคียง เหมาะกับบริเวณชายฝั่งทะเลแบบปิดขนาดเล็ก ชายฝั่งที่มีความลาดชันต่ำ มี 3 รูปแบบ การดำเนินการคือ การปลูกป่า การฟื้นฟูชายหาด และการปักเสาดักตะกอน เพื่อปลูกป่าชายเลน มาตรการสีเทา คือการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม เพื่อให้เหมาะสมกับชายฝั่งที่มีคลื่นขนาดใหญ่ ชายฝั่งมีความลาดชันสูง มี 4 รูปแบบคือ สร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง รอดักทราย เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล และกำแพงกันคลื่นริมหาด
"การดำเนินงานโดยใช้โครงการทางวิศวกรรม เพื่อให้เหมาะสมกับชายฝั่งที่มีคลื่นขนาดใหญ่ชายฝั่งมีความลาดชันสูง มีมาตรการดำเนินการทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ การสร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่ง รอดักทราย เขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล และกำแพงป้องกันคลื่นริมชายหาด นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทช.มีการศึกษาวิจัย พัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ และได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งในพื้นที่หาดโคลนและหาดทราย เช่น การปักไม้ไผ่ชะลอความรุนแรงของคลื่น การฟื้นฟูป่าชายเลน การถ่ายเททราย พร้อมทั้งเผยแพร่องค์ความรู้ ด้านการกัดเซาะชายฝั่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงสาเหตุของปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมถึงการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และยั่งยืน" นายจตุพรกล่าว
มติชน (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561