Lady Bird : เลดี้ เบิร์ด
" เป็นหนังที่เล่นน้อย แต่ลึกซึ้งมาก และสนุก (ปนตลกร้าย) อีกด้วย "
Lady Bird (2017) ภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆ จาก
A24 : ผู้สร้าง Moonlight (2016) ที่ได้รับออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีที่แล้ว ในครั้งนี้ A24 ก็เข็นหนังฟอร์มเล็กมาอีกเช่นเคย และที่น่าตกใจคือ Lady Bird ได้รับเสียงชื่นชมจากเทศกาลหนังนานาชาติต่างๆ มากมาย ที่สำคัญ สามารถคว้าลูกโลกทองคำมาได้ 2 รางวัลในสาขา
Best Motion Picture (Musical or Comedy) และ
Best Actress (Musical or Comedy)
ในส่วนออสการ์ก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กันด้วยการเข้าชิงรางวัลถึง 5 รางวัลใหญ่ ได้แก่
Best Picture , Best Actress in a Leading Role , Best Actress in a Supporting Role , Best Director และ Best Original Screenplay ซึ่งเราก็ต้องจับตาดูกันต่อไป
Lady Bird (2017) ได้รับการกำกับและเขียนบทโดย
Greta Gerwig เล่าถึงการก้าวข้ามผ่านวัยของ
Christine "Lady Bird" McPherson นักเรียนสาวไฮสคูลหัวรั้นที่มีนิสัยประหลาดไม่เหมือนใคร เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2002 ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากช่วง 9/11 ช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ คริสตินอาศัยอยู่ในเมือง
Sacramento เมืองเฉิ่มๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เรียนในโรงเรียนคาทอลิกสุดเคร่ง ชีวิตของเธอกำลังย่ำแย่ ความสัมพันธ์กับแม่กำลังระส่ำระส่าย พร้อมด้วยปัญหาอีกมากมายที่อีรุงตุงนังในชีวิตเธอ
คริสตินอยากจะไปให้พ้นๆ จากความอีรุงตุงนังทั้งหลายเหล่านี้ และความฝันสูงสุดที่เธอตั้งใจคือ การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก (แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะมองว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กหัวแบบเธอจะเข้าได้ ?)
Lady Bird : หนังแนว Coming of age ที่ตลกร้าย และใส่เรื่องราวได้ลึกซึ้ง
Lady Bird (2017) ผมว่ามาแปลกทีเดียวสำหรับแนวภาพยนตร์ชีวิตเครียดๆ เพราะ ผมไม่ค่อยจะได้เห็นแนวนี้บ่อยนัก คือแนวหนังดราม่าชีวิต ที่นำเสนอในรูปแบบนุ่มนวล ไม่แข็งกร้าว แถมโคตรตลก เรื่องร้ายๆ ที่ปรากฏอยู่ในหนัง ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบตลกร้าย และค่อนข้างเรียลในชีวิตจริง
ประเด็นต่างๆ ที่หนังเล่า ผมว่าคนดูหนังส่วนใหญ่ก็พอจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วแหละ แต่ว่าพอหลังจากดูจบกลับรู้สึกแปลกใจ และไม่เคยคาดคิดเลยว่า หนังจะสามารถทำให้เรื่องอันน่าปวดหัว ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคริสติน ดูซอฟต์ลง ราวกับว่ามันไม่หนักหนาอะไรเลย
มันเป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ ด้วยปัญหาทั้งหลายจึงทำให้เธออยากจะหลุดไปให้พ้นจากกรอบอันน่าปวดหัวเหล่านี้ให้ได้
และนี่แหละก็เป็นที่มาว่าทำไมเธอถึงได้เรียกตัวเองว่า "Lady Bird"
ประเด็นปัญหาชีวิตที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ประเด็นปัญหาทั้งหลายที่หนังเสนอมา อันที่จริงก็ถือว่า คริสตินเป็นเด็กที่แจ็คพ็อตสุดๆ เลยแหละ เพราะเธอได้เจอปัญหาชีวิตครบเซ็ตเลย ไม่ว่าจะปัญหาชีวิตวัยรุ่น ปัญหาปากท้อง พ่อตกงาน พี่ไม่เอาอ่าว ครอบครัวถังแตก แถมยังมาเจอแม่ที่มีนิสัยจู้จี้ ขี้งก ระเบียบจัดมากๆ ทำให้เธอไม่ค่อยจะถูกกับแม่สักเท่าไร กลายเป็นว่ามีปัญหาครอบครัวเพิ่มขึ้นมาอีก
เรียกได้ว่าครบสูตรปัญหาหนังชีวิตดราม่า เพียงแต่เล่าในมุมมองของเด็กสาวนิสัยประหลาดที่มองโลกไม่เหมือนใคร ปัญหาต่างๆ ที่เธอได้เผชิญ มันหนักหนาสาหัส แต่ปัญหาเหล่านี้ก็เป็นบททดสอบชีวิต ซึ่งสุดท้ายแล้วมันจะทำให้เธอเติบโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น และก้าวผ่านช่วงเวลาของความเป็นเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์
ภาพรวมหนัง
Lady Bird มีสไตล์หนังออกแนวหนังรางวัล - หนังนอกกระแสฟอร์มเล็กๆ ไม่เน้นโปรดักชันอลังการอะไรมาก เน้นความเรียลเป็นหลัก มีที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ คือจังหวะตลกร้ายของหนังที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้องค์ประกอบสามอย่างที่ช่วยค้ำยันหนังไว้อย่างแข็งแกร่งคือ
บทหนัง แก่นหนัง และนักแสดงที่ดี
บทหนังของ Lady Bird มีความน่าสนใจ ถึงประเด็นเรื่องจะซ้ำ และเป็นประเด็นที่เราคุ้นเคย แต่หนังก็ยังทำได้น่าสนใจ น่าติดตามมาก ตัวหนังแค่ 1 ชั่วโมง 34 นาที แต่ความสนุกและความน่าสนใจทำให้ผมต้องจดจ่อกับทุกซีน ทุกช่วงเวลาหนัง ตอนออกจากโรงยังงงเลยว่า ผ่านไปชั่วโมงครึ่ง แต่ทำไมรู้สึกว่าหนังมันยาวนานมาก มันเป็นเพราะว่า หนังค่อยๆ เล่าเรื่องไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ สอดแทรกทั้งเรื่องราวต่างๆ เข้ามาด้วยความแนบเนียน จนเราไม่รู้ตัว (และถึงจะเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ ก็ยังเล่าได้สนุก)
ยิ่งโดยเฉพาะมาถึงท้ายเรื่องซึ่งเป็นแก่นของหนัง ถึงทำให้ผมพอจะเริ่มเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ตอนต้นที่มันดูงงๆ ไม่มีอะไร จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลทุกอย่างซ่อนเอาไว้อยู่... ผมจึงว่าเป็นหนังที่ทำยาก เพราะในตัวหนังแฝงความลึกซึ้งไว้ทุกอนู บนบรรยากาศตลกร้าย เสียดสีทุกอย่าง (รวมถึงศาสนาด้วย)
นักแสดง - Saoirse Ronan สุดยอดมาก
สำหรับผมประทับใจทุกคนเลย ที่ต้องยกนิ้วให้จริงๆ ก็คงต้องเป็น
Saoirse Ronan : คริสติน 'เลดี้ เบิร์ด' และ
Laurie Metcalf : แม่ของคริสติน ทั้งคู่เล่นได้โคตรดีเลย ชนิดที่ถ้าไม่ถึงออสการ์ - ลูกโลกทองคำก็น่าเสียดาย การแสดงของทั้งคู่โดดเด่นในระดับนั้น
โดยเฉพาะ
Laurie Metcalf ที่ไม่ได้ออกมาเยอะมากมายในหนัง แต่การออกมาทุกครั้ง สร้างความตราตรึงใจ (ตอนท้ายเรื่อง ทำเอาผมจุกเลย)
เวลา 94 นาที เราจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้
Marion McPherson: I want you to be the very best version of yourself that you can be.
Christine McPherson: What if this is the best version?
พฤติกรรมประหลาดแหกคอกทุกอย่างของคริสติน
'เป็นผลมาจากครอบครัว เมือง สภาพแวดล้อมที่เธอคิดว่าไม่น่าอยู่' แม้แต่ชื่อของตัวเอง เธอยังไม่ชอบเลย เธออยากจะหลีกหนีไปจากมัน แต่จริงๆแล้ว ทุกอย่างที่เรามองว่าไม่มีอะไร มันกลับมีคุณค่าแฝงเอาไว้ เพียงแต่เราจะมองเห็นความหมายของมันหรือเปล่า
ชีวิตก็มีทั้งดีและแย่ ถึงชีวิตของเราจะไม่ดูดีสักเท่าไร แต่ชีวิตของเรามันก็คือชีวิตของเรา เราหนีไปจากชีวิตตัวเองไม่ได้ แต่เราเลือกอนาคตตัวเองได้
อีกอย่างหนึ่งที่หนังได้สอนและย้ำผมอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ จริงๆ ที่พ่อแม่ขี้บ่น จุกจิก เจ้าระเบียบ ดุด่าเรา ก็เป็นเพราะเขารักเราและเป็นห่วงเรามากๆ บางครั้งอาจจะดูเหมือนพวกเขาเย็นชา ไม่ใส่ใจเรา หรือให้เราในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ ใครจะไปรู้ จริงๆ ที่พวกท่านทำท่าไม่สนใจ ทำท่าเข้มแข็ง พวกท่านอาจจะกำลังทำเพื่อปิดบังความรู้สึกข้างในอยู่ก็ได้ เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากจะเปิดเผยความอ่อนแอ ความหวั่นไหวลึกๆ ในใจตัวเองออกมา พ่อแม่ยังไงก็แอบเป็นห่วงเราอยู่เสมอแหละ
Father Leviatch: Lady Bird, is that your given name?
Christine McPherson: Yeah
Father Leviatch: Why is it in quotes?
Christine McPherson: I gave it to myself. It’s given to me by me.
สรุป
สำหรับ
Lady Bird (2017) ผมให้คะแนน
8.7/10 (หนังที่เล่นน้อย แต่ลึกซึ้งมาก และสนุกอีกด้วย)
Lady Bird เป็นหนังดราม่า - คอมเมดี้ชีวิตระดับยอดเยี่ยมที่ผมจัดว่าควรดู หนังอาจจะดูฟอร์มเล็ก แต่ถ้าได้ดูแล้ว จะรู้ว่าเป็นหนังที่ไม่เล็กเลย สำหรับคนที่ชอบสายหนังรางวัล แนะนำว่าควรดู มันดีจริงๆ เชื่อว่าประทับใจแน่นอน ส่วนถ้าเป็นคอหนังธรรมดา Lady Bird ก็ยังจัดว่าเป็นหนังที่ดูได้ หนังมีให้เราต้องตีความบ้าง เพราะอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ก็ไม่ได้ออกมาตรงๆ โถ่งๆ ซะทีเดียว (แต่ก็ถือว่าดูง่ายนะ) อย่างไรก็ตาม ในแต่ละจุดของหนังก็ใส่มุกตลกเอาไว้อยู่ทั้งเรื่อง ผมเลยคิดว่าไม่น่าจะเบื่อ ยังไงคงต้องขำบ้าง (ตัวผมขำทั้งเรื่อง 555) แล้วก็ Lady Bird ไม่ใช่หนังแนวบล็อคบัสเตอร์ ถ้าคาดหวังความบันเทิงแนวนี้ Lady Bird ก็ไม่ตอบโจทย์สักเท่าไร
ตัวหนังจริงๆ ผมว่ามีความคล้ายคลึงกับ
Boyhood (2014) คือเป็นแนว Coming of age ผสมเรื่องครอบครัว แต่ทำได้สนุกกว่า น่าติดตามกว่า กับอีกเรื่องหนึ่งที่นึกถึง ก็
La famille Bélier (2014) ซึ่งเป็นหนังคอมเมดี้ครอบครัวตลกร้ายเหมือนกัน
ผมแอบเชียร์ให้ Lady Bird ไปไกลถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเลยนะ ซึ่งดูจากแนวหนังแบบนี้แล้ว คิดว่าโอกาสได้ก็มีอยู่พอสมควร ด้วยความที่หนังฟอร์มเล็กแต่ต่อยหนักขนาดนี้ ยังไงก็เอาใจช่วยเชียร์เต็มที่
"คริสติน... ชื่อนี้ก็ดีนะ"
------------------------------------------
พูดถึงเรื่องออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
กระทู้ทรงคุณค่าจาก คุณเจ๊นักข่าว
ช่วงนี้ก็เป็นช่วงเข้าใกล้ประกาศผลแล้ว ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องอื่นตอนนี้ที่ผมเคยดู
Get Out - สนุกดี แต่ไม่ได้คิดว่าจะมาไกลถึง Best Picture
Dunkirk - อันนี้แอบเชียร์เหมือนกัน ชอบในความเจ๋งของหนัง แต่สไตล์หนังออกแนวหนังทดลอง เลยไม่รู้จะไปถึงฝันหรือเปล่า 555
The Shape of Water - ผมชอบแต่ดันอินไม่สุด และยังชอบผลงานเก่าของ
Guillermo del Toro อย่าง
Pan's Labyrinth (2006) มากกว่า (แต่ The Shape of Water ก็เป็นหนังที่ดีนะ) ยังไงปีนี้เข้าชิงถึง 13 สาขา กลายเป็นเต็งหนึ่งประจำเวทีเลย
Lady Bird - ตอนนี้ก็กลายเป็นเชียร์มากสุดเลย เพราะ ชอบความลงตัวที่สุดเทียบกับในบรรดาหนัง Best Picture ปีนี้ที่ผมได้ดูแล้ว
มีที่เห็นในโผลุ้นกันตัวโก่งอีกเรื่องก็
Three Billboards Outside Ebbing แต่อันนี้ก็คงต้องรอเข้าโรงก่อนถึงจะบอกได้ เผลอไม่แน่หลังจากได้ดู อาจจะเทใจเชียร์ Three Billboards Outside Ebbing แทน 555 แต่ตอนนี้ขอเชียร์ Lady Bird ก่อนละกัน
------------------------------------------
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ชอบเรื่องไหน ประทับใจฉากใด ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ
[SR] (Review) Lady Bird (2017) : ช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิตของ คริสติน "Lady Bird" ท่ามกลางปัญหาอันแสนตลกร้าย
ในส่วนออสการ์ก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กันด้วยการเข้าชิงรางวัลถึง 5 รางวัลใหญ่ ได้แก่ Best Picture , Best Actress in a Leading Role , Best Actress in a Supporting Role , Best Director และ Best Original Screenplay ซึ่งเราก็ต้องจับตาดูกันต่อไป
Lady Bird (2017) ได้รับการกำกับและเขียนบทโดย Greta Gerwig เล่าถึงการก้าวข้ามผ่านวัยของ Christine "Lady Bird" McPherson นักเรียนสาวไฮสคูลหัวรั้นที่มีนิสัยประหลาดไม่เหมือนใคร เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2002 ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากช่วง 9/11 ช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่ คริสตินอาศัยอยู่ในเมือง Sacramento เมืองเฉิ่มๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เรียนในโรงเรียนคาทอลิกสุดเคร่ง ชีวิตของเธอกำลังย่ำแย่ ความสัมพันธ์กับแม่กำลังระส่ำระส่าย พร้อมด้วยปัญหาอีกมากมายที่อีรุงตุงนังในชีวิตเธอ
คริสตินอยากจะไปให้พ้นๆ จากความอีรุงตุงนังทั้งหลายเหล่านี้ และความฝันสูงสุดที่เธอตั้งใจคือ การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก (แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะมองว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กหัวแบบเธอจะเข้าได้ ?)
Lady Bird : หนังแนว Coming of age ที่ตลกร้าย และใส่เรื่องราวได้ลึกซึ้ง
ประเด็นต่างๆ ที่หนังเล่า ผมว่าคนดูหนังส่วนใหญ่ก็พอจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วแหละ แต่ว่าพอหลังจากดูจบกลับรู้สึกแปลกใจ และไม่เคยคาดคิดเลยว่า หนังจะสามารถทำให้เรื่องอันน่าปวดหัว ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคริสติน ดูซอฟต์ลง ราวกับว่ามันไม่หนักหนาอะไรเลย
มันเป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ ด้วยปัญหาทั้งหลายจึงทำให้เธออยากจะหลุดไปให้พ้นจากกรอบอันน่าปวดหัวเหล่านี้ให้ได้
และนี่แหละก็เป็นที่มาว่าทำไมเธอถึงได้เรียกตัวเองว่า "Lady Bird"
เรียกได้ว่าครบสูตรปัญหาหนังชีวิตดราม่า เพียงแต่เล่าในมุมมองของเด็กสาวนิสัยประหลาดที่มองโลกไม่เหมือนใคร ปัญหาต่างๆ ที่เธอได้เผชิญ มันหนักหนาสาหัส แต่ปัญหาเหล่านี้ก็เป็นบททดสอบชีวิต ซึ่งสุดท้ายแล้วมันจะทำให้เธอเติบโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น และก้าวผ่านช่วงเวลาของความเป็นเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์
ภาพรวมหนัง
บทหนังของ Lady Bird มีความน่าสนใจ ถึงประเด็นเรื่องจะซ้ำ และเป็นประเด็นที่เราคุ้นเคย แต่หนังก็ยังทำได้น่าสนใจ น่าติดตามมาก ตัวหนังแค่ 1 ชั่วโมง 34 นาที แต่ความสนุกและความน่าสนใจทำให้ผมต้องจดจ่อกับทุกซีน ทุกช่วงเวลาหนัง ตอนออกจากโรงยังงงเลยว่า ผ่านไปชั่วโมงครึ่ง แต่ทำไมรู้สึกว่าหนังมันยาวนานมาก มันเป็นเพราะว่า หนังค่อยๆ เล่าเรื่องไปอย่างช้าๆ ค่อยๆ สอดแทรกทั้งเรื่องราวต่างๆ เข้ามาด้วยความแนบเนียน จนเราไม่รู้ตัว (และถึงจะเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ ก็ยังเล่าได้สนุก)
ยิ่งโดยเฉพาะมาถึงท้ายเรื่องซึ่งเป็นแก่นของหนัง ถึงทำให้ผมพอจะเริ่มเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ตอนต้นที่มันดูงงๆ ไม่มีอะไร จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลทุกอย่างซ่อนเอาไว้อยู่... ผมจึงว่าเป็นหนังที่ทำยาก เพราะในตัวหนังแฝงความลึกซึ้งไว้ทุกอนู บนบรรยากาศตลกร้าย เสียดสีทุกอย่าง (รวมถึงศาสนาด้วย)
นักแสดง - Saoirse Ronan สุดยอดมาก
โดยเฉพาะ Laurie Metcalf ที่ไม่ได้ออกมาเยอะมากมายในหนัง แต่การออกมาทุกครั้ง สร้างความตราตรึงใจ (ตอนท้ายเรื่อง ทำเอาผมจุกเลย)
Marion McPherson: I want you to be the very best version of yourself that you can be.
Christine McPherson: What if this is the best version?
ชีวิตก็มีทั้งดีและแย่ ถึงชีวิตของเราจะไม่ดูดีสักเท่าไร แต่ชีวิตของเรามันก็คือชีวิตของเรา เราหนีไปจากชีวิตตัวเองไม่ได้ แต่เราเลือกอนาคตตัวเองได้
อีกอย่างหนึ่งที่หนังได้สอนและย้ำผมอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ จริงๆ ที่พ่อแม่ขี้บ่น จุกจิก เจ้าระเบียบ ดุด่าเรา ก็เป็นเพราะเขารักเราและเป็นห่วงเรามากๆ บางครั้งอาจจะดูเหมือนพวกเขาเย็นชา ไม่ใส่ใจเรา หรือให้เราในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ ใครจะไปรู้ จริงๆ ที่พวกท่านทำท่าไม่สนใจ ทำท่าเข้มแข็ง พวกท่านอาจจะกำลังทำเพื่อปิดบังความรู้สึกข้างในอยู่ก็ได้ เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากจะเปิดเผยความอ่อนแอ ความหวั่นไหวลึกๆ ในใจตัวเองออกมา พ่อแม่ยังไงก็แอบเป็นห่วงเราอยู่เสมอแหละ
Father Leviatch: Lady Bird, is that your given name?
Christine McPherson: Yeah
Father Leviatch: Why is it in quotes?
Christine McPherson: I gave it to myself. It’s given to me by me.
Lady Bird เป็นหนังดราม่า - คอมเมดี้ชีวิตระดับยอดเยี่ยมที่ผมจัดว่าควรดู หนังอาจจะดูฟอร์มเล็ก แต่ถ้าได้ดูแล้ว จะรู้ว่าเป็นหนังที่ไม่เล็กเลย สำหรับคนที่ชอบสายหนังรางวัล แนะนำว่าควรดู มันดีจริงๆ เชื่อว่าประทับใจแน่นอน ส่วนถ้าเป็นคอหนังธรรมดา Lady Bird ก็ยังจัดว่าเป็นหนังที่ดูได้ หนังมีให้เราต้องตีความบ้าง เพราะอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ก็ไม่ได้ออกมาตรงๆ โถ่งๆ ซะทีเดียว (แต่ก็ถือว่าดูง่ายนะ) อย่างไรก็ตาม ในแต่ละจุดของหนังก็ใส่มุกตลกเอาไว้อยู่ทั้งเรื่อง ผมเลยคิดว่าไม่น่าจะเบื่อ ยังไงคงต้องขำบ้าง (ตัวผมขำทั้งเรื่อง 555) แล้วก็ Lady Bird ไม่ใช่หนังแนวบล็อคบัสเตอร์ ถ้าคาดหวังความบันเทิงแนวนี้ Lady Bird ก็ไม่ตอบโจทย์สักเท่าไร
ตัวหนังจริงๆ ผมว่ามีความคล้ายคลึงกับ Boyhood (2014) คือเป็นแนว Coming of age ผสมเรื่องครอบครัว แต่ทำได้สนุกกว่า น่าติดตามกว่า กับอีกเรื่องหนึ่งที่นึกถึง ก็ La famille Bélier (2014) ซึ่งเป็นหนังคอมเมดี้ครอบครัวตลกร้ายเหมือนกัน
ผมแอบเชียร์ให้ Lady Bird ไปไกลถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเลยนะ ซึ่งดูจากแนวหนังแบบนี้แล้ว คิดว่าโอกาสได้ก็มีอยู่พอสมควร ด้วยความที่หนังฟอร์มเล็กแต่ต่อยหนักขนาดนี้ ยังไงก็เอาใจช่วยเชียร์เต็มที่
Get Out - สนุกดี แต่ไม่ได้คิดว่าจะมาไกลถึง Best Picture
Dunkirk - อันนี้แอบเชียร์เหมือนกัน ชอบในความเจ๋งของหนัง แต่สไตล์หนังออกแนวหนังทดลอง เลยไม่รู้จะไปถึงฝันหรือเปล่า 555
The Shape of Water - ผมชอบแต่ดันอินไม่สุด และยังชอบผลงานเก่าของ Guillermo del Toro อย่าง Pan's Labyrinth (2006) มากกว่า (แต่ The Shape of Water ก็เป็นหนังที่ดีนะ) ยังไงปีนี้เข้าชิงถึง 13 สาขา กลายเป็นเต็งหนึ่งประจำเวทีเลย
Lady Bird - ตอนนี้ก็กลายเป็นเชียร์มากสุดเลย เพราะ ชอบความลงตัวที่สุดเทียบกับในบรรดาหนัง Best Picture ปีนี้ที่ผมได้ดูแล้ว
มีที่เห็นในโผลุ้นกันตัวโก่งอีกเรื่องก็ Three Billboards Outside Ebbing แต่อันนี้ก็คงต้องรอเข้าโรงก่อนถึงจะบอกได้ เผลอไม่แน่หลังจากได้ดู อาจจะเทใจเชียร์ Three Billboards Outside Ebbing แทน 555 แต่ตอนนี้ขอเชียร์ Lady Bird ก่อนละกัน
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น