สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ก็มีแต่นโยบายผลาญเงินนี่นา เงินมันก็จมไปกับนโยบาต่างๆนั่นแหละครับ
เอาจริงๆเลยถ้าไม่เพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ทั่วประเทศปี 2556
ผมว่าทุกวันนี้ก็ยังจะได้กินข้าวจานละไม่เกิน 20 บาทเหมือนเดิม
หน้าโรงงานก่อนหน้านี้กับข้าวถูกมาก ข้าว 1จาน กับ 1 อย่าง 15 บาท
กับข้าวถุงละ 10 บาท พูดได้ว่าเงินเดือน 12000 อยู่ได้สบายเพราะจ่ายแค่ค่าห้อง กับค่ากินอยู่ไม่เท่าไหร่
พอมีการประท้วงให้ขึ้นค่าแรง
คนเรานี่ก็แปลก คิดว่ารัฐ จะให้อะไรฟรีๆ(คิดง่ายไปแล้ว) ค่าข้าวขึ้นก่อนเลยจาก 15 เป็น 20 จาก 20 เป็น 25 จาก 30 เป็น 35-40(ยาวๆไป)
กับข้าวก็ขึ้นตาม ค่าแก๊ส ค่ารถ ค่าทุกอย่างก็ดันขึ้นมาหมด
พอขึ้นเยอะๆ ก็เข้าสู่โหมดเดิม คือ ไม่มีตังกิน แถมหนักกว่าก่อนที่จะประท้วงขึ้นค่าแรงซะอีก
ไหนจะนโยบายหลอก บ้านหลังแรก รถคันแรก เมียคนแรก(อะไรต่อมิอะไร แรกๆ)คนส่วนใหญ่ก็เห่อกันซื้อ เห่อกันมี พอมีแล้วก็ดันไม่มีปัญญาส่งต่อ
ต้องโดนยึดรถ ยึดบ้าน ยึดเมีย แถมเงินที่เก็บสะสมไว้ก็ไปกองกับนโยบายที่ว่ามาหมดแล้ว แล้วจะเอาที่ไหนมาจับจ่าย
ไหนจะบัตรต่างๆที่ทำง่ายแสนง่าย ทุกวันนี้เงินเดือนไม่ถึงหมื่นก็ยังมีบัตร โน่นนี่นั่น ได้ ไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้รึปล่าวนะครับ ว่ามันมาพร้อมกับดอกเบี้ย
พอมีง่ายใช้ง่ายก็จ่ายมือเติบโดยที่ไม่รู้ตัว(รึปล่าว) ว่าตัวเองกำลังใช้เงินในอนาคตของตัวเองอยู่
ปกติเงินเดือน 8000 ก็พอจะมีเงินเก็บ พอมีบัตร มันใช้คล่องก็จ่ายกันมือเติบ สิ้นเดือนมาก็คืนเงินต้น พร้อมดอกนิดๆหน่อย(เอง)
ไหนจะพฤติกรรม ถอนบัตรนี้มาจ่ายบัตรโน่น ถอนบัตรโน่นมาจ่ายบัตรนี้ ทำให้เป็นหนี้ 2 ทาง 3 ทาง เพิ่มขึ้นเรื่อย สุดท้ายทางแก้ก็คือขอเพิ่มวงเงินในบัตร หรือไม่ก็เพิ่มบัตรมันซะเลย ได้ฉลองความรวยอีกซักพักก็กลับมาสู่โหมดเดิมคราวนี้ มี 3 บัตรโยกกันมันส์กันเลยทีเดียว
ไหนจะไม่กี่ปีมานี้มีการเพิ่มถาษีสินค้า ไร้สาระ ด้วยความคิดกากๆ ว่าถ้าเพิ่มภาษี แล้ว คนจะไม่บริโภค(ไม่รู้ผีตัวไหนไปเข้าฝันท่านให้คิดเช่นนั้นน่)
เอาจริงๆสินค้าต่างๆด้านการเกษตรไม่ได้มีปัญหามากเท่าไหร่นะครับ ใน 10-20 ปี มานี้ค่าข้าว ค่าอ้อย ค่ามันสำปะหลัง ก็วิ่งไปวิ่งมา อยู่ไม่ต่างกันมาก เรานี่แหละที่เป็นทำให้เศรษฐกิจ มันป่วนเอง
ลองมองดีๆนะครับ พฤติกรรมของเกษตกรไทย มีลักษณะแบบนี้
พอมีคนบอกว่า มันสำปะหลังปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอมีคนบอกว่า ไม้ยูคาปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอมีคนบอกว่า อ้อยปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอมีคนบอกว่า ยางพาราปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอสินค้าราคาตกก็มานั่งกลุ้มเพราะค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปมันเยอะเกิน แล้วทำไมไม่คิดละครับ ว่าถ้าปลุกเยอะราคาต้องตกอยู่แล้ว
เพราะมันไม่ได้ขึ้นกับเราเลย มันขึ้นกับ พ่อค้าคนกลาง ล้วนๆ แล้วก็ประท้วงโทษรัฐ ว่าไม่หนุน(รัฐบอกว่า ผมก็จะเอาไม่รอดแล้วคร้าบบบบ)
เราไปประท้วงได้อะไรครับ นอกจากเปลืองตัง(ไม่รวมท่านๆที่รับจ้างประท้วงเพื่อก่อความวุ่นวายนะครับ) ที่บ้านก็มีหลายท่านกู้เงินทีละ 4-5 แสนมาลงกับอ้อย กับ ข้าว ปีไหนผลผลิตดีรอดปลอยภัย ก็ยังได้ลืมตาอ้าปาก แต่ปีไหนน้ำท่วมก็ต้องจ่ายกันบาน มันเหมือนว่าเราเอาเงินมาลงทุนกับพวกนี้โดยคิดแค่ว่ามันต้องได้กำไร ไม่เคยเผื่อว่าจะขาดทุนกันซะเลย
ไหนจะเรื่องที่เราต้องหมดเงินไปกับการเพาะปลูก ซึ่งการทำนาทุกวันนี้ต่างจากเมื่อก่อนเยอะมากกก จนมีคำล้อกันว่า ทำแบบนี้ซื้อข้าวกินดีกว่าไม๊ เพราะมันแพงจริงๆ หักลบ กลบหนี้แล้ว ได้น้อยกว่าเมื่อก่อนเยอะถึงแม้ค่าข้าวจะแพงขึ้นก็ตาม จนบางบ้าน พอขายข้าวเรียบร้อยใชหนี้หมด เหลือตังไม่ถึงพันก็ยังมี เหมือนเราทำนาเหนื่อยหลายเดือนเพียงเพื่อให้นายทุนที่นอนอยู่บ้านได้รวยแค่นั้นเอง
ไหนจะท่านๆที่ยืมมาแล้วก็ใช่ว่าจะเอาไปลงทุนการเกษตรอย่างเดียว ยังมีแบบที่ยืมมาปลดหนี้หวยมั่ง หนี้รถมั่ง หนี้ยืมนอกระบบมั่งแล้วก็มาเหมารวมว่า ลงทุนไป 4-5 แสนไม่ได้อะไรกลับมาก็มี
ทุกวันนี้จะเห็นว่าหน่วยงานต่างๆก็รณรงค์ให้จัดงานนำเสนอสินค้าทางการเกษตร(ถึงแม้ค่าเช่าจะแพงหูดับก็ตาม) แต่ใครจะไปซื้อละ เพราะเขาก็ติดเรื่องค่าแรงอยู่ กลายเป็นว่า ยิ่งขึ้นค่าแรง ยิ่งไม่มีปัญญา ละมั้ง
ผมว่าทางออกของปัญหาด้านการเกษตรไม่ใช่เรื่องของ ราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสินค้า
ไม่มีความคิดที่จะเพิ่มมูลค่าของสินค้า เหมือนแค่ให้พ่อค้าคนกลางมายื่น ราคาให้เรา เรายังขาดรูปแบบสหกรณ์ที่เป็นรูปธรรม อย่างที่ในหลวง ร.9 ท่านทรงวางรากฐานไว้ ให้สิทธิ์ขาดกับ พ่อค้าคนกลาง แทนที่เราจะเป็นคนนำพ่อค้าคนกลาง
นอกจากนี้เรายังขาดจิตสำนึกสาธารณะในด้านการเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตร เกษตกรยังใช้วิธีการปลูกพืชแบบผิดๆ ในดินผิดๆ ในน้ำผิดๆ ทำให้ได้ผลผลิตแบบผิดๆออกมาจำหน่าย
และเราควรเลิกพฤติกรรมเห่อปลูกได้แล้ว แต่ให้หันมุ่งพัฒนาผลผลิตจากความคิดของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องปลูกอ้อย เมื่อเห็นข้างบ้านเขาปลุกอ้อย เราก็ปลูกมัน ปลูกข้าวขายได้
และควรรู้จะใช้ทรัพยากรให้คุ้ม และ ทำกสิกรรมต่างๆเสริม แทนที่จะทำงานหน้าเดียว บางคนปลูกข้าวก็เลี้ยงกบ เลี้ยงปลาขายได้ ข้าวไม่ได้ราคาก็ช่างดิ เพราะไม่ค่อยได้ใส่ปุ๋ย วางยา ไม่เสียตังไปกับ สิ่งสิ้นเปลือง ถ้าขายได้ซัก 20000 ก็ยังคุ้มเพราะไม่ต้องมานั่งใช้หนี้ค่าปุ๋ยค่ายา แถมได้กำไรจากการขายปลา ขายกบได้อีก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายถ้าเราจะจัดการ แต่น้อยท่านนักที่จะตระหนัก จะสนใจอีกทีก็แค่ตอนขายข้าวโน่นแหละ
พอราคาตก ก็มานั่งกลุ้ม ปวดหัวกับค่าปุ๋ย ค่ายา ที่ต้องจ่ายเขาไปอีก
เอาจริงๆเลยถ้าไม่เพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ทั่วประเทศปี 2556
ผมว่าทุกวันนี้ก็ยังจะได้กินข้าวจานละไม่เกิน 20 บาทเหมือนเดิม
หน้าโรงงานก่อนหน้านี้กับข้าวถูกมาก ข้าว 1จาน กับ 1 อย่าง 15 บาท
กับข้าวถุงละ 10 บาท พูดได้ว่าเงินเดือน 12000 อยู่ได้สบายเพราะจ่ายแค่ค่าห้อง กับค่ากินอยู่ไม่เท่าไหร่
พอมีการประท้วงให้ขึ้นค่าแรง
คนเรานี่ก็แปลก คิดว่ารัฐ จะให้อะไรฟรีๆ(คิดง่ายไปแล้ว) ค่าข้าวขึ้นก่อนเลยจาก 15 เป็น 20 จาก 20 เป็น 25 จาก 30 เป็น 35-40(ยาวๆไป)
กับข้าวก็ขึ้นตาม ค่าแก๊ส ค่ารถ ค่าทุกอย่างก็ดันขึ้นมาหมด
พอขึ้นเยอะๆ ก็เข้าสู่โหมดเดิม คือ ไม่มีตังกิน แถมหนักกว่าก่อนที่จะประท้วงขึ้นค่าแรงซะอีก
ไหนจะนโยบายหลอก บ้านหลังแรก รถคันแรก เมียคนแรก(อะไรต่อมิอะไร แรกๆ)คนส่วนใหญ่ก็เห่อกันซื้อ เห่อกันมี พอมีแล้วก็ดันไม่มีปัญญาส่งต่อ
ต้องโดนยึดรถ ยึดบ้าน ยึดเมีย แถมเงินที่เก็บสะสมไว้ก็ไปกองกับนโยบายที่ว่ามาหมดแล้ว แล้วจะเอาที่ไหนมาจับจ่าย
ไหนจะบัตรต่างๆที่ทำง่ายแสนง่าย ทุกวันนี้เงินเดือนไม่ถึงหมื่นก็ยังมีบัตร โน่นนี่นั่น ได้ ไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้รึปล่าวนะครับ ว่ามันมาพร้อมกับดอกเบี้ย
พอมีง่ายใช้ง่ายก็จ่ายมือเติบโดยที่ไม่รู้ตัว(รึปล่าว) ว่าตัวเองกำลังใช้เงินในอนาคตของตัวเองอยู่
ปกติเงินเดือน 8000 ก็พอจะมีเงินเก็บ พอมีบัตร มันใช้คล่องก็จ่ายกันมือเติบ สิ้นเดือนมาก็คืนเงินต้น พร้อมดอกนิดๆหน่อย(เอง)
ไหนจะพฤติกรรม ถอนบัตรนี้มาจ่ายบัตรโน่น ถอนบัตรโน่นมาจ่ายบัตรนี้ ทำให้เป็นหนี้ 2 ทาง 3 ทาง เพิ่มขึ้นเรื่อย สุดท้ายทางแก้ก็คือขอเพิ่มวงเงินในบัตร หรือไม่ก็เพิ่มบัตรมันซะเลย ได้ฉลองความรวยอีกซักพักก็กลับมาสู่โหมดเดิมคราวนี้ มี 3 บัตรโยกกันมันส์กันเลยทีเดียว
ไหนจะไม่กี่ปีมานี้มีการเพิ่มถาษีสินค้า ไร้สาระ ด้วยความคิดกากๆ ว่าถ้าเพิ่มภาษี แล้ว คนจะไม่บริโภค(ไม่รู้ผีตัวไหนไปเข้าฝันท่านให้คิดเช่นนั้นน่)
เอาจริงๆสินค้าต่างๆด้านการเกษตรไม่ได้มีปัญหามากเท่าไหร่นะครับ ใน 10-20 ปี มานี้ค่าข้าว ค่าอ้อย ค่ามันสำปะหลัง ก็วิ่งไปวิ่งมา อยู่ไม่ต่างกันมาก เรานี่แหละที่เป็นทำให้เศรษฐกิจ มันป่วนเอง
ลองมองดีๆนะครับ พฤติกรรมของเกษตกรไทย มีลักษณะแบบนี้
พอมีคนบอกว่า มันสำปะหลังปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอมีคนบอกว่า ไม้ยูคาปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอมีคนบอกว่า อ้อยปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอมีคนบอกว่า ยางพาราปลูกแล้วได้ราคา ก็เห่อกันปลูกทั้งหมูบ้าน ทั้ง ตำบลทั้ง จังหวัด สุดท้ายราคาตก ก็โวยวาย
พอสินค้าราคาตกก็มานั่งกลุ้มเพราะค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปมันเยอะเกิน แล้วทำไมไม่คิดละครับ ว่าถ้าปลุกเยอะราคาต้องตกอยู่แล้ว
เพราะมันไม่ได้ขึ้นกับเราเลย มันขึ้นกับ พ่อค้าคนกลาง ล้วนๆ แล้วก็ประท้วงโทษรัฐ ว่าไม่หนุน(รัฐบอกว่า ผมก็จะเอาไม่รอดแล้วคร้าบบบบ)
เราไปประท้วงได้อะไรครับ นอกจากเปลืองตัง(ไม่รวมท่านๆที่รับจ้างประท้วงเพื่อก่อความวุ่นวายนะครับ) ที่บ้านก็มีหลายท่านกู้เงินทีละ 4-5 แสนมาลงกับอ้อย กับ ข้าว ปีไหนผลผลิตดีรอดปลอยภัย ก็ยังได้ลืมตาอ้าปาก แต่ปีไหนน้ำท่วมก็ต้องจ่ายกันบาน มันเหมือนว่าเราเอาเงินมาลงทุนกับพวกนี้โดยคิดแค่ว่ามันต้องได้กำไร ไม่เคยเผื่อว่าจะขาดทุนกันซะเลย
ไหนจะเรื่องที่เราต้องหมดเงินไปกับการเพาะปลูก ซึ่งการทำนาทุกวันนี้ต่างจากเมื่อก่อนเยอะมากกก จนมีคำล้อกันว่า ทำแบบนี้ซื้อข้าวกินดีกว่าไม๊ เพราะมันแพงจริงๆ หักลบ กลบหนี้แล้ว ได้น้อยกว่าเมื่อก่อนเยอะถึงแม้ค่าข้าวจะแพงขึ้นก็ตาม จนบางบ้าน พอขายข้าวเรียบร้อยใชหนี้หมด เหลือตังไม่ถึงพันก็ยังมี เหมือนเราทำนาเหนื่อยหลายเดือนเพียงเพื่อให้นายทุนที่นอนอยู่บ้านได้รวยแค่นั้นเอง
ไหนจะท่านๆที่ยืมมาแล้วก็ใช่ว่าจะเอาไปลงทุนการเกษตรอย่างเดียว ยังมีแบบที่ยืมมาปลดหนี้หวยมั่ง หนี้รถมั่ง หนี้ยืมนอกระบบมั่งแล้วก็มาเหมารวมว่า ลงทุนไป 4-5 แสนไม่ได้อะไรกลับมาก็มี
ทุกวันนี้จะเห็นว่าหน่วยงานต่างๆก็รณรงค์ให้จัดงานนำเสนอสินค้าทางการเกษตร(ถึงแม้ค่าเช่าจะแพงหูดับก็ตาม) แต่ใครจะไปซื้อละ เพราะเขาก็ติดเรื่องค่าแรงอยู่ กลายเป็นว่า ยิ่งขึ้นค่าแรง ยิ่งไม่มีปัญญา ละมั้ง
ผมว่าทางออกของปัญหาด้านการเกษตรไม่ใช่เรื่องของ ราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสินค้า
ไม่มีความคิดที่จะเพิ่มมูลค่าของสินค้า เหมือนแค่ให้พ่อค้าคนกลางมายื่น ราคาให้เรา เรายังขาดรูปแบบสหกรณ์ที่เป็นรูปธรรม อย่างที่ในหลวง ร.9 ท่านทรงวางรากฐานไว้ ให้สิทธิ์ขาดกับ พ่อค้าคนกลาง แทนที่เราจะเป็นคนนำพ่อค้าคนกลาง
นอกจากนี้เรายังขาดจิตสำนึกสาธารณะในด้านการเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตร เกษตกรยังใช้วิธีการปลูกพืชแบบผิดๆ ในดินผิดๆ ในน้ำผิดๆ ทำให้ได้ผลผลิตแบบผิดๆออกมาจำหน่าย
และเราควรเลิกพฤติกรรมเห่อปลูกได้แล้ว แต่ให้หันมุ่งพัฒนาผลผลิตจากความคิดของตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องปลูกอ้อย เมื่อเห็นข้างบ้านเขาปลุกอ้อย เราก็ปลูกมัน ปลูกข้าวขายได้
และควรรู้จะใช้ทรัพยากรให้คุ้ม และ ทำกสิกรรมต่างๆเสริม แทนที่จะทำงานหน้าเดียว บางคนปลูกข้าวก็เลี้ยงกบ เลี้ยงปลาขายได้ ข้าวไม่ได้ราคาก็ช่างดิ เพราะไม่ค่อยได้ใส่ปุ๋ย วางยา ไม่เสียตังไปกับ สิ่งสิ้นเปลือง ถ้าขายได้ซัก 20000 ก็ยังคุ้มเพราะไม่ต้องมานั่งใช้หนี้ค่าปุ๋ยค่ายา แถมได้กำไรจากการขายปลา ขายกบได้อีก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายถ้าเราจะจัดการ แต่น้อยท่านนักที่จะตระหนัก จะสนใจอีกทีก็แค่ตอนขายข้าวโน่นแหละ
พอราคาตก ก็มานั่งกลุ้ม ปวดหัวกับค่าปุ๋ย ค่ายา ที่ต้องจ่ายเขาไปอีก
ความคิดเห็นที่ 20
จะเล่าเรื่องของผมให้ฟัง
เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ตอนเรียนไปทำงานไปด้วย
ได้ค่าแรงเดือนละ 6,500 บาท
ค่าเช่าห้อง เดือนละ 1,800 บาท
หักค่ากิน ค่ารถต่างๆแล้ว เหลือเงินนิดหน่อย
คิดในใจว่า ถ้าได้เงินเดือนสัก 8-9000 คงจะมีเงินเหลือเก็บเก็บสบายๆแน่
พอย้ายที่ทำงาน เงินเดือน 8,500 บาท
ย้านห้องใหม่เพื่ออยู่ใกล้ๆที่ทำงานใหม่
ตกเดือนละ 2,900 บาท
หักค่ากิน ค่ามอเตอร์ไซด์ออกจากซอย
ค่าโทรศัพท์ (ตอนนั่นเริ่มมีโทรศัพท์ใช้แล้ว)
สรุปก็ยังแทบไม่มีเงินเหลือ
กก็เริ่มคิด ถ้าได้เงินเดือนสักหมื่นกว่าๆ น่าจะมีเงินเหลือสบายๆ
จนทำงานไปได้ปรับตำแหน่ง เงินเดือนขึ้นมาเป็น 12,000 บาท
ก็เลยไปผ่อนมอเตอร์ไซด์มาใช้ เพราะจะได้ไม่ลำบากเข้า ออกซอยมาทำงาน
และจะได้มีรถขับกลับบ้านที่ต่างจังหวัดด้วย
สรุปมีค่าผ่อนมอเตอร์ไซด์เพิ่มมาอีก 2,900 บาท
เงินเดือน 12,000 บาทหักค่าที่พัก หักค่าผ่อนรถ ค่ากิน ค่าน้ำมัน ก็ยังแทบไม่เหลืออยู่ดี
เริ่มคิดใหม่ ถ้ามีเงินเดือนสัก 15,000 น่าจะมีเงินเหลือเก็บสบายๆ
จนได้มีโอกาสย้ายงานใหม่ ได้เงินเดือน 16,000 บาท
ก็ไปซื้อรถเก๋งมือ 2 มาใช้คันนึง เพราะกลับบ้านต่างตังหวัดได้สบายๆหน่อย
สรุปเพิ่มค่าผ่อนรถเก๋งมาอีกเดือนละ 4,500 บาท
แทบไม่เหลือเงินเก็บอีกแล้ว
เริ่มคิดอีกละ ถ้าได้เงินเดือนสัก 20,000 น่าจะมีเงินเก็บสบายๆ
และได้มีโอกาสย้ายงานอีกครั้ง คราวนี้เงินเดือนกระโดดไปถึง 35,000 บาท
ก็เลยเปลี่ยนรถใหม่ เป็นรถอเนกประสงค์มือ 2
และย้ายมาเช่าบ้านอยู่ สรุปรายจ่ายเพิ่มมาอีกหลักหมื่น
เงินเดือนก็ยังแทบไม่เหลืออยู่ดี
จนปัจตุบันนี้ เงินเดือนก็ต่างจากเดิมไปพอดู
แต่ก็มีผ่อนบ้านเพิ่มมาอีก
สรุป เมื่อเงินเดือนเรามากขึ้น กิเลสเราก็จะมากตามครับ
เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ตอนเรียนไปทำงานไปด้วย
ได้ค่าแรงเดือนละ 6,500 บาท
ค่าเช่าห้อง เดือนละ 1,800 บาท
หักค่ากิน ค่ารถต่างๆแล้ว เหลือเงินนิดหน่อย
คิดในใจว่า ถ้าได้เงินเดือนสัก 8-9000 คงจะมีเงินเหลือเก็บเก็บสบายๆแน่
พอย้ายที่ทำงาน เงินเดือน 8,500 บาท
ย้านห้องใหม่เพื่ออยู่ใกล้ๆที่ทำงานใหม่
ตกเดือนละ 2,900 บาท
หักค่ากิน ค่ามอเตอร์ไซด์ออกจากซอย
ค่าโทรศัพท์ (ตอนนั่นเริ่มมีโทรศัพท์ใช้แล้ว)
สรุปก็ยังแทบไม่มีเงินเหลือ
กก็เริ่มคิด ถ้าได้เงินเดือนสักหมื่นกว่าๆ น่าจะมีเงินเหลือสบายๆ
จนทำงานไปได้ปรับตำแหน่ง เงินเดือนขึ้นมาเป็น 12,000 บาท
ก็เลยไปผ่อนมอเตอร์ไซด์มาใช้ เพราะจะได้ไม่ลำบากเข้า ออกซอยมาทำงาน
และจะได้มีรถขับกลับบ้านที่ต่างจังหวัดด้วย
สรุปมีค่าผ่อนมอเตอร์ไซด์เพิ่มมาอีก 2,900 บาท
เงินเดือน 12,000 บาทหักค่าที่พัก หักค่าผ่อนรถ ค่ากิน ค่าน้ำมัน ก็ยังแทบไม่เหลืออยู่ดี
เริ่มคิดใหม่ ถ้ามีเงินเดือนสัก 15,000 น่าจะมีเงินเหลือเก็บสบายๆ
จนได้มีโอกาสย้ายงานใหม่ ได้เงินเดือน 16,000 บาท
ก็ไปซื้อรถเก๋งมือ 2 มาใช้คันนึง เพราะกลับบ้านต่างตังหวัดได้สบายๆหน่อย
สรุปเพิ่มค่าผ่อนรถเก๋งมาอีกเดือนละ 4,500 บาท
แทบไม่เหลือเงินเก็บอีกแล้ว
เริ่มคิดอีกละ ถ้าได้เงินเดือนสัก 20,000 น่าจะมีเงินเก็บสบายๆ
และได้มีโอกาสย้ายงานอีกครั้ง คราวนี้เงินเดือนกระโดดไปถึง 35,000 บาท
ก็เลยเปลี่ยนรถใหม่ เป็นรถอเนกประสงค์มือ 2
และย้ายมาเช่าบ้านอยู่ สรุปรายจ่ายเพิ่มมาอีกหลักหมื่น
เงินเดือนก็ยังแทบไม่เหลืออยู่ดี
จนปัจตุบันนี้ เงินเดือนก็ต่างจากเดิมไปพอดู
แต่ก็มีผ่อนบ้านเพิ่มมาอีก
สรุป เมื่อเงินเดือนเรามากขึ้น กิเลสเราก็จะมากตามครับ
แสดงความคิดเห็น
เศรษฐกิจมันแย่ หรือ ว่าความต้องการของเราไม่พอ
ครอบครัวผมก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก.. เมื่อระยะช่วง6-10 ปี ทำไร่ทำนา..ผลผลิตราคาการเกษตร รายได้ดี.. แต่ปีนี้ผลลิตตกต่ำราคาถูก. แต่ทำไมสินค้าทั่วไปกับแพงขึ้น. และ ค่าที่ก็แพง.. ตามตลาดนัดช่วงนี้คนหดหาย... บางที่ขายที่ดินเช่าที่ดิน..
ช่วงนี้ผมทำรายได้เสริม.. ที่เห็นได้ชัดเจน.. ของคนต่างจังหวัดคือ มีอาชีพรถรับส่ง และรถรับจ้างทั่วไป ที่เพิ้มมากขึ้น , ของคนในเมือง จึงมีรายได้พอที่จะเป็นทุนหมุนเวียน. ..
เมื่อก่อน ขายปลา บ่อกระชั่ง..ได้ปลา สตลาด 2-4ตัน. ขายส่งที่ตลาดไท ตอนนี้ยอดสั่งลดลง.เพราะลูกค้าน้อยลง.. จึงหยุดส่งเพราะไม่คุ้ม.. จึงขายปลาแถวๆบ้าน.. หรือตามตลาดนัด
ครอบครัวผมทำเกือบทุกๆอย่าง.. พ่อบอกว่า เมื่อก่อนทำไร่นาลำบาก..ยิกว่านี้.. แต่ได้ผลผลิตดี ผิดจากปัจจุบันนี้ แม้ทำไร่นาแค่ได้ทุนคืนถือว่าดีมากแล้ว
ผมเป็นพนักงาน เงินเดือน 14,000. ยังไม่ค่อยพอใช้เลยครับ.. จึงหาอาชีพเสริม.. คือขับรถรับส่ง นักเรียน. พอที่จะจุนเจือครอบครัวได้เลย
ตอนนี้ เหลือหนี้ 500,000 อีก5 ปีก็หมดแล้ว. สู้ๆ ครับกับ. เศรษฐกิจยุค 4.0.
ความรู้สึกตอนนี้ อยากให้ลดภาษี ลงบ้าง. ลดค่าน้ำมันลง.. บ้าง... จังเลย...