ปัจจุบันไม่มี พระพุทธเจ้าที่จะตรัสบอกฐานะ แค่ใครๆ ได้ แต่พระองค์ทรงว่างธรรมบัญยํต ไว้อย่างดีแล้ว
ดังนั้นเมื่อก่อนพระองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน จึงไม่แต่งตั้งผู้ใดมาแทนพระองค์ แต่ทรงตรัสไว้ให้พระสาวก(ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกกา) ให้เอาธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้ว (นั้นคือพระไตรปิฏก) เป็นที่พึ่งเป็นตัวแทน แม้พระองค์ก็ทรงรักษาดำรงอยู่ ตามธรรมที่ทรงตรัสไว้แล้วนั้น.
มาเข้าเรื่อง พระอริยะ มีกี่ประเภท... ตามพระไตรปิฏก.
พระอริยบุคคลชื่อว่า 1.อุภโตภาควิมุต
2.ปัญญาวิมุต
3.กายสักขี
4.ทิฏฐิปัตตะ
5.สัทธาวิมุต
6.ธรรมานุสารี
7.สัทธานุสารี
ดังพระไตรปิฏกเล่ม 13
--------------------------------------
ดูกรภัททาลิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในสมัยนั้น เธอเป็นพระอริยบุคคล
ชื่อว่าอุภโตภาควิมุต ปัญญาวิมุต กายสักขี ทิฏฐิปัตตะ สัทธาวิมุต ธรรมานุสารี หรือ
สัทธานุสารี บ้างหรือหนอ?
มิได้เป็นเลย พระเจ้าข้า.
ดูกรภัททาลิ ในสมัยนั้น เธอยังเป็นคนว่าง คนเปล่า คนผิดมิใช่หรือ?
เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษได้ครอบงำข้าพระองค์ผู้เป็นคนพาล
เป็นคนหลง ไม่ฉลาด ซึ่งได้ประกาศความไม่อุตสาหะขึ้นแล้ว ในเมื่อพระผู้มีพระภาคกำลังทรง
บัญญัติสิกขาบท ในเมื่อภิกษุสงฆ์กำลังสมาทานอยู่ซึ่งสิกขา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี
พระภาคจงทรงรับโทษของข้าพระองค์นั้นโดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด.
[๑๖๕] ดูกรภัททาลิ เราขอเตือน โทษได้ครอบงำเธอผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง
ไม่ฉลาด ซึ่งได้ประกาศความไม่อุตสาหะขึ้นแล้ว ในเมื่อเรากำลังบัญญัติสิกขาบท ในเมื่อ
ภิกษุสงฆ์กำลังสมาทานอยู่ซึ่งสิกขา แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม
เราจึงรับโทษของเธอนั้น ข้อที่บุคคลเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรม ถึงความ
สำรวมต่อไปนี้เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยะ.
-----------------------------------
พระอริยะซึ่งแยกไปตาม พละและอินทรีย์ 5 ที่ต่างๆ กัน หรืออาจจะกล่าวเป็นภาพใหญ่ๆ คือ ย่อมมีพื้นฐานการปฏิบัติ หรือสภาวะธรรม ก่อนการบรรลุเป็นพระอริยะ นั้นย่อมแตกต่างกันได้ นั้นเอง
แล้วอะไรละ เป็นตัวชี้ชัดได้?
ตอบ มีตัวชี้ชัดเด็ดขาดได้ ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงวางพระธรรมไว้อย่างดีแล้ว ทั้งแบบทั่วไปพิจารณาที่ศีลและกิเลส แบบแว่นส่องธรรม แบบมหาประเทศ 4(พิมพ์ไม่ถูกจำไม่ได้ เพราะไม่ไปสนใจเพียงได้ยิน) ซึ่งไม่ขอกล่าวถึงใน ณ. ที่นี้ แต่จะกล่าวในแบบที่เจาะลึก ตรงลงไป คือ.
มรรคสมังคี ของโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ สมบูรณ์สมดุลย์รวมเป็นหนึ่ง เป็นมรรควิถี ตั้งแต่
อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ.
ก็อาจจะมีผู้กังขาว่า ศัพย์แสงอะไรมามาย อย่างนั้นผมก็จะตัดไป วกเข้าสู้พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสให้ง่ายขึ้นมาเทียบเคียงให้พอทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น กับ พระโสดาบัน ที่เป็นประเภท ธรรมานุสารี และสัทธานุสารี
ดังในพระไตรปิฏก เล่มที่ 17 (จัดใหม่เพื่อให้เห็นชัด ในประเด็นที่เสนอ
----------------------------------
๑. จักขุสูตร
ว่าด้วยสัทธานุสารีและธัมมานุสารีบุคคล
[๔๖๙] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
หูไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา จมูกไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
ลิ้นไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา กายไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า
สัทธานุสารี
ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ ย่อมควรเพ่งด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้ แก่ผู้ใด. เราเรียกผู้นี้ว่า
ธัมมานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดรู้เห็นธรรมเหล่านี้อย่างนี้. เรากล่าวผู้นี้ว่า
เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ สูตรที่ ๑.
----------------------------
อธิบาย ตามที่เขียดเส้นไต้
ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน จะเห็นว่าทั้งพระอริยะ ที่เป็น ธรรมานุสารี หรือ
สัทธานุสารี ก็เกิดสภาวะธรรมเดียวกัน คือย่อมเกิด
อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ. เช่นเดียวกันนั้นเอง
ก็อาจจะสงสัยว่า จิต ในขณะบรรลุธรรม เป็นอย่างไร?
ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงตรัสวางพระธรรมไว้แล้ว ในพระอภิธรรมปิฏก เรื่อง วิถีจิต ในมรรควิถี ที่มีการขยายรวบรวมไว้อย่างชัดเจนของพระอริยะสาวกในยุคหลังดังนี้.
มัคควิถี ของ มันทบุคคล ผู้รู้ช้า
กามชวนะ อัปปนาชวนะ หากุสล ญาณสัมปยุตต ๔ โลกุตตรจิต ๘
น ท มโน บริ อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ภ
มีไตรลักษณ์แห่งรูปนาม มีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นอารมณ์
อนุโลมญาณ มัคคญาณ
V V
น ท มโน บริ อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ภ
/\ /\
โคตรภูญาณ ผลญาณ
มัคควิถีของติกขบุคคล ผู้มีปัญญาไว
กามชวนะ อัปปนาชวนะ มหากุสล ญาณสัมปยุตต ๔ โลกุตตรจิต ๘
น ท มโน อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ผล ภ
มีไตรลักษณ์แห่งรูปนาม มีนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นอารมณ์
อนุโลมญาณ มัคคญาณ
V V
น ท มโน อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ผล ภ
/\ /\
โคตรภูญาณ ผลญาณ
อักษรย่อ น=ภวังคจลนะ, ท=ภวังคุปัจเฉทะ, มโน=มโนทวาราวัชชนะ, บริ=บริกรรม, อุป=อุปจาระ, อนุ=อนุโลม, โค=โคตรภู, ภ=ภวังค
ส่วน ที่ว่า ทำไม่พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี จึงยังขังขาในฐานะตนเอง กล่าวในความคิดเห็นต่อไป..
พระอริยะ มีกีประเภท เอ่... ทำไม่พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี จึงยังขังขาในตนเอง
ดังนั้นเมื่อก่อนพระองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน จึงไม่แต่งตั้งผู้ใดมาแทนพระองค์ แต่ทรงตรัสไว้ให้พระสาวก(ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกกา) ให้เอาธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้ว (นั้นคือพระไตรปิฏก) เป็นที่พึ่งเป็นตัวแทน แม้พระองค์ก็ทรงรักษาดำรงอยู่ ตามธรรมที่ทรงตรัสไว้แล้วนั้น.
มาเข้าเรื่อง พระอริยะ มีกี่ประเภท... ตามพระไตรปิฏก.
พระอริยบุคคลชื่อว่า 1.อุภโตภาควิมุต
2.ปัญญาวิมุต
3.กายสักขี
4.ทิฏฐิปัตตะ
5.สัทธาวิมุต
6.ธรรมานุสารี
7.สัทธานุสารี
ดังพระไตรปิฏกเล่ม 13
--------------------------------------
ดูกรภัททาลิ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในสมัยนั้น เธอเป็นพระอริยบุคคล
ชื่อว่าอุภโตภาควิมุต ปัญญาวิมุต กายสักขี ทิฏฐิปัตตะ สัทธาวิมุต ธรรมานุสารี หรือ
สัทธานุสารี บ้างหรือหนอ?
มิได้เป็นเลย พระเจ้าข้า.
ดูกรภัททาลิ ในสมัยนั้น เธอยังเป็นคนว่าง คนเปล่า คนผิดมิใช่หรือ?
เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษได้ครอบงำข้าพระองค์ผู้เป็นคนพาล
เป็นคนหลง ไม่ฉลาด ซึ่งได้ประกาศความไม่อุตสาหะขึ้นแล้ว ในเมื่อพระผู้มีพระภาคกำลังทรง
บัญญัติสิกขาบท ในเมื่อภิกษุสงฆ์กำลังสมาทานอยู่ซึ่งสิกขา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มี
พระภาคจงทรงรับโทษของข้าพระองค์นั้นโดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด.
[๑๖๕] ดูกรภัททาลิ เราขอเตือน โทษได้ครอบงำเธอผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง
ไม่ฉลาด ซึ่งได้ประกาศความไม่อุตสาหะขึ้นแล้ว ในเมื่อเรากำลังบัญญัติสิกขาบท ในเมื่อ
ภิกษุสงฆ์กำลังสมาทานอยู่ซึ่งสิกขา แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วทำคืนตามธรรม
เราจึงรับโทษของเธอนั้น ข้อที่บุคคลเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว ทำคืนตามธรรม ถึงความ
สำรวมต่อไปนี้เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยะ.
-----------------------------------
พระอริยะซึ่งแยกไปตาม พละและอินทรีย์ 5 ที่ต่างๆ กัน หรืออาจจะกล่าวเป็นภาพใหญ่ๆ คือ ย่อมมีพื้นฐานการปฏิบัติ หรือสภาวะธรรม ก่อนการบรรลุเป็นพระอริยะ นั้นย่อมแตกต่างกันได้ นั้นเอง
แล้วอะไรละ เป็นตัวชี้ชัดได้?
ตอบ มีตัวชี้ชัดเด็ดขาดได้ ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงวางพระธรรมไว้อย่างดีแล้ว ทั้งแบบทั่วไปพิจารณาที่ศีลและกิเลส แบบแว่นส่องธรรม แบบมหาประเทศ 4(พิมพ์ไม่ถูกจำไม่ได้ เพราะไม่ไปสนใจเพียงได้ยิน) ซึ่งไม่ขอกล่าวถึงใน ณ. ที่นี้ แต่จะกล่าวในแบบที่เจาะลึก ตรงลงไป คือ.
มรรคสมังคี ของโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ สมบูรณ์สมดุลย์รวมเป็นหนึ่ง เป็นมรรควิถี ตั้งแต่ อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ.
ก็อาจจะมีผู้กังขาว่า ศัพย์แสงอะไรมามาย อย่างนั้นผมก็จะตัดไป วกเข้าสู้พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสให้ง่ายขึ้นมาเทียบเคียงให้พอทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น กับ พระโสดาบัน ที่เป็นประเภท ธรรมานุสารี และสัทธานุสารี
ดังในพระไตรปิฏก เล่มที่ 17 (จัดใหม่เพื่อให้เห็นชัด ในประเด็นที่เสนอ
----------------------------------
๑. จักขุสูตร
ว่าด้วยสัทธานุสารีและธัมมานุสารีบุคคล
[๔๖๙] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
หูไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา จมูกไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา
ลิ้นไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา กายไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า สัทธานุสารี
ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ ย่อมควรเพ่งด้วยปัญญา โดยประมาณอย่างนี้ แก่ผู้ใด. เราเรียกผู้นี้ว่า
ธัมมานุสารี ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน ไม่ควรเพื่อทำกรรมที่บุคคลทำแล้วพึงเข้าถึงนรก
กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หรือปิตติวิสัย ไม่ควรเพื่อทำกาละตราบเท่าที่ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดรู้เห็นธรรมเหล่านี้อย่างนี้. เรากล่าวผู้นี้ว่า
เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ สูตรที่ ๑.
----------------------------
อธิบาย ตามที่เขียดเส้นไต้ ก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ก้าวลงสู่สัปปุริสภูมิ ล่วงภูมิปุถุชน จะเห็นว่าทั้งพระอริยะ ที่เป็น ธรรมานุสารี หรือ
สัทธานุสารี ก็เกิดสภาวะธรรมเดียวกัน คือย่อมเกิด อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ. เช่นเดียวกันนั้นเอง
ก็อาจจะสงสัยว่า จิต ในขณะบรรลุธรรม เป็นอย่างไร?
ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงตรัสวางพระธรรมไว้แล้ว ในพระอภิธรรมปิฏก เรื่อง วิถีจิต ในมรรควิถี ที่มีการขยายรวบรวมไว้อย่างชัดเจนของพระอริยะสาวกในยุคหลังดังนี้.
มัคควิถี ของ มันทบุคคล ผู้รู้ช้า
กามชวนะ อัปปนาชวนะ หากุสล ญาณสัมปยุตต ๔ โลกุตตรจิต ๘
น ท มโน บริ อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ภ
มีไตรลักษณ์แห่งรูปนาม มีนิพพานเป็นอารมณ์เป็นอารมณ์
อนุโลมญาณ มัคคญาณ
V V
น ท มโน บริ อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ภ
/\ /\
โคตรภูญาณ ผลญาณ
มัคควิถีของติกขบุคคล ผู้มีปัญญาไว
กามชวนะ อัปปนาชวนะ มหากุสล ญาณสัมปยุตต ๔ โลกุตตรจิต ๘
น ท มโน อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ผล ภ
มีไตรลักษณ์แห่งรูปนาม มีนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นอารมณ์
อนุโลมญาณ มัคคญาณ
V V
น ท มโน อุป อนุ โค มัคค ผล ผล ผล ภ
/\ /\
โคตรภูญาณ ผลญาณ
อักษรย่อ น=ภวังคจลนะ, ท=ภวังคุปัจเฉทะ, มโน=มโนทวาราวัชชนะ, บริ=บริกรรม, อุป=อุปจาระ, อนุ=อนุโลม, โค=โคตรภู, ภ=ภวังค
ส่วน ที่ว่า ทำไม่พระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี จึงยังขังขาในฐานะตนเอง กล่าวในความคิดเห็นต่อไป..