จากกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/37357734 และอีกหลายๆ กระทู้ในลักษณะเดียวกันครับ ผมเลยคิดจะแชร์มุมมอง เผื่อเป็นประโยชน์กับหลายๆ ท่านที่จะเริ่มธุรกิจครับ
ในมุมมองส่วนตัวผมนะครับ ธุรกิจระดับกลางและระดับบนยังค่อนข้างดี มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี (ดูจากผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และการพูดคุยกับคู่ค้าทางธุรกิจ) แต่มีปัญหาขาดแคลนพนักงานเป็นอย่างมาก เพราะหลายๆ ท่านต้องการเป็นนายตัวเอง มีอิสระทางการเงินหรือเวลา จึงลาออกมาเผชิญโลก ซึ่งอาชีพหรือธุรกิจยอดนิยม คือ การขับขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง การขับรถ Taxi ทำธุรกิจร้านกาแฟ ทำธุรกิจร้านอาหาร ทำธุรกิจขายครีม หรือ ส่งสินค้าออนไลน์ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีคนออกมาทำธุรกิจมากขึ้น ส่วนแบ่งทางการขายย่อมลดลงเป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น หากมีคน 100 คน เป็นผู้ซื้อรองเท้า และใน 100 คนมีผู้ขาย 1 คนแสดงว่า คนขายคนที่ 1 คนจะมีลูกค้า 99 คน (ซื้อใช้เอง 1 คู่) หากใน 99 คนนี้เห็นว่ารองเท้าขายดีเลยไปสืบมาจนได้ความว่าคนขายคนที่ 1 ซื้อมาจากจีน เลยไปซื้อมาขายบ้าง จึงเกิดเป็นคนขายคนที่ 2 ซึ่งมาแย่งส่วนแบ่งการขายจากคนขายคนที่ 1 ดังนั้นหากคิดแบบง่ายๆ คนขายแต่ละคนจะเหลือลูกค้าเฉลี่ยประมาณ 49 คน ซึ่งจะดูเหมือนว่ายอดขายหายไป 50% ทันที ซึ่งในปัจจุบันมี course ฟรี สอนหาซื้อของจากเมืองจีนกันเยอะแยะไปหมด (ส่วนนึงคงเป็นการตลาดของผู้ผลิตและผู้ค้าส่ง) ดังนั้นใน 100 คน จึงอาจจะมีคนขายรองเท้าได้มากกว่า 10 คน ทำให้คนขายคนที่ 1 ต้องบ่นว่ายอดขายหายไปมากกว่า 90% แน่นอนครับ
ผมยกตัวอย่างมาไม่ได้หมายความว่าให้เลิกทำธุรกิจนะครับ แต่หากคิดจะทำแล้วควรต้องตั้งคำถาม และเราต้องตอบคำถามนั้นให้ได้ด้วยครับ หากตอบไม่ได้แนะนำว่าไม่ควรทำ
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
ก่อนเริ่มธุรกิจควรต้องตั้งคำถามและต้องตอบคำถามให้ได้ คำถามที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างขั้นต่ำและไม่ตายตัว อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะธุรกิจที่เราต้องการจะทำครับ
1. การเริ่มธุรกิจ
1.1 เริ่มต้นจากความต้องการส่วนตัว (ไม่แนะนำ เจ๊งมากันเยอะแล้ว เช่น ร้านกาแฟซึ่งเป็นธุรกิจยอดฮิต แต่ถ้าตอบคำถามข้อข้างล่างได้ก็ ok ครับ)
1.2 เริ่มต้นจากปัญหาหรือความต้องการของผู้บริโภค
2. กลุ่มเป้าหมาย: ใครคือลูกค้าของเราและมีมากพอที่จะก่อให้เกิดเป็นธุรกิจได้หรือไม่
3. สินค้าหรือบริการในตลาด: ในตลาดมีสินค้าหรือบริการอะไรอยู่แล้วบ้าง แล้วที่เราจะนำเสนอแตกต่างหรือดีกว่าของคนอื่นอย่างไร
4. เป็นสินค้าแฟชั่นหรือไม่: โดยส่วนตัวผมไม่ชอบสินค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากไม่ถนัดและเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่หากท่านอื่นมีความเชี่ยวชาญก็ไปต่อได้ครับ
5. ภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อการใช้สินค้าและบริการหรือไม่: ถ้าเศรษฐกิจไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจเราจะดีมาก
6. คู่แข่งธุรกิจ: ธุรกิจที่คุณจะทำมีคู่แข่งมากหรือน้อยขนาดไหน และการเข้าสู่ธุรกิจนี้มีความยากหรือง่ายอย่างไร (ยิ่งยาก ยิ่งดี คนส่วนมากชอบทำอะไรง่ายๆ ดังนั้นคู่แข่งจึงเยอะ ผมชอบเป็นคนส่วนน้อย)
7. กำไรเหมาะสมหรือไม่: ธุรกิจอยู่ได้ด้วยกำไร ดังนั้นกำไรของธุรกิจควรจะเหมาะสม บางธุรกิจมีคู่แข่งเยอะ เพราะใครๆ ก็ทำได้ ดังนั้นกำไรขั้นต้นส่วนใหญ่จะต่ำมาก และแข่งกันด้วยราคาเป็นหลัก ใครสายป่านสั้นมักจะเสียเปรียบ ดังนั้นหากคุณตอบคำถามมาได้ 6 ข้อแล้ว แสดงว่ากำไรของธุรกิจคุณต้องเหมาะสมและไม่ควรต่ำเกินไป
8. การต่อยอดธุรกิจ: สินค้าหรือบริการที่คุณทำสามารถต่อยอดไปได้หรือไม่ ถ้าต่อยอดหรือขยายงานออกไปได้ยิ่งเป็นผลดี แต่การขยายงานควรเป็นไปด้วยความรอบคอบ
9. แผนธุรกิจ: ธุรกิจที่ดีต้องมีแผน ถ้าไม่มีแผนโอกาสแพ้และเพลี่ยงพล้ำสูงมาก เหมือนกับคนตัวเล็กไปต่อยกับคนตัวใหญ่มีโอกาสแพ้สูงมาก แต่ถ้าคนตัวเล็กวางแผนดีก็อาจจะเอาชนะคนตัวใหญ่ได้ เช่น นักมวยตัวเล็กว่องไว ก็วางแผนเต้นฟุตเวิร์คและคอยดักต่อยเก็บคะแนนไปเรื่อยๆ (รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง)
คร่าวๆ เท่านี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
จะทำธุรกิจ ต้องตั้งคำถาม และต้องมีคำตอบ (เห็นคนบ่นเรื่องเศรษฐกิจไม่ดีกันเยอะ)
ในมุมมองส่วนตัวผมนะครับ ธุรกิจระดับกลางและระดับบนยังค่อนข้างดี มีกำไรเพิ่มขึ้นทุกปี (ดูจากผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และการพูดคุยกับคู่ค้าทางธุรกิจ) แต่มีปัญหาขาดแคลนพนักงานเป็นอย่างมาก เพราะหลายๆ ท่านต้องการเป็นนายตัวเอง มีอิสระทางการเงินหรือเวลา จึงลาออกมาเผชิญโลก ซึ่งอาชีพหรือธุรกิจยอดนิยม คือ การขับขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง การขับรถ Taxi ทำธุรกิจร้านกาแฟ ทำธุรกิจร้านอาหาร ทำธุรกิจขายครีม หรือ ส่งสินค้าออนไลน์ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อมีคนออกมาทำธุรกิจมากขึ้น ส่วนแบ่งทางการขายย่อมลดลงเป็นธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น หากมีคน 100 คน เป็นผู้ซื้อรองเท้า และใน 100 คนมีผู้ขาย 1 คนแสดงว่า คนขายคนที่ 1 คนจะมีลูกค้า 99 คน (ซื้อใช้เอง 1 คู่) หากใน 99 คนนี้เห็นว่ารองเท้าขายดีเลยไปสืบมาจนได้ความว่าคนขายคนที่ 1 ซื้อมาจากจีน เลยไปซื้อมาขายบ้าง จึงเกิดเป็นคนขายคนที่ 2 ซึ่งมาแย่งส่วนแบ่งการขายจากคนขายคนที่ 1 ดังนั้นหากคิดแบบง่ายๆ คนขายแต่ละคนจะเหลือลูกค้าเฉลี่ยประมาณ 49 คน ซึ่งจะดูเหมือนว่ายอดขายหายไป 50% ทันที ซึ่งในปัจจุบันมี course ฟรี สอนหาซื้อของจากเมืองจีนกันเยอะแยะไปหมด (ส่วนนึงคงเป็นการตลาดของผู้ผลิตและผู้ค้าส่ง) ดังนั้นใน 100 คน จึงอาจจะมีคนขายรองเท้าได้มากกว่า 10 คน ทำให้คนขายคนที่ 1 ต้องบ่นว่ายอดขายหายไปมากกว่า 90% แน่นอนครับ
ผมยกตัวอย่างมาไม่ได้หมายความว่าให้เลิกทำธุรกิจนะครับ แต่หากคิดจะทำแล้วควรต้องตั้งคำถาม และเราต้องตอบคำถามนั้นให้ได้ด้วยครับ หากตอบไม่ได้แนะนำว่าไม่ควรทำ
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
ก่อนเริ่มธุรกิจควรต้องตั้งคำถามและต้องตอบคำถามให้ได้ คำถามที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างขั้นต่ำและไม่ตายตัว อาจจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะธุรกิจที่เราต้องการจะทำครับ
1. การเริ่มธุรกิจ
1.1 เริ่มต้นจากความต้องการส่วนตัว (ไม่แนะนำ เจ๊งมากันเยอะแล้ว เช่น ร้านกาแฟซึ่งเป็นธุรกิจยอดฮิต แต่ถ้าตอบคำถามข้อข้างล่างได้ก็ ok ครับ)
1.2 เริ่มต้นจากปัญหาหรือความต้องการของผู้บริโภค
2. กลุ่มเป้าหมาย: ใครคือลูกค้าของเราและมีมากพอที่จะก่อให้เกิดเป็นธุรกิจได้หรือไม่
3. สินค้าหรือบริการในตลาด: ในตลาดมีสินค้าหรือบริการอะไรอยู่แล้วบ้าง แล้วที่เราจะนำเสนอแตกต่างหรือดีกว่าของคนอื่นอย่างไร
4. เป็นสินค้าแฟชั่นหรือไม่: โดยส่วนตัวผมไม่ชอบสินค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากไม่ถนัดและเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่หากท่านอื่นมีความเชี่ยวชาญก็ไปต่อได้ครับ
5. ภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อการใช้สินค้าและบริการหรือไม่: ถ้าเศรษฐกิจไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจเราจะดีมาก
6. คู่แข่งธุรกิจ: ธุรกิจที่คุณจะทำมีคู่แข่งมากหรือน้อยขนาดไหน และการเข้าสู่ธุรกิจนี้มีความยากหรือง่ายอย่างไร (ยิ่งยาก ยิ่งดี คนส่วนมากชอบทำอะไรง่ายๆ ดังนั้นคู่แข่งจึงเยอะ ผมชอบเป็นคนส่วนน้อย)
7. กำไรเหมาะสมหรือไม่: ธุรกิจอยู่ได้ด้วยกำไร ดังนั้นกำไรของธุรกิจควรจะเหมาะสม บางธุรกิจมีคู่แข่งเยอะ เพราะใครๆ ก็ทำได้ ดังนั้นกำไรขั้นต้นส่วนใหญ่จะต่ำมาก และแข่งกันด้วยราคาเป็นหลัก ใครสายป่านสั้นมักจะเสียเปรียบ ดังนั้นหากคุณตอบคำถามมาได้ 6 ข้อแล้ว แสดงว่ากำไรของธุรกิจคุณต้องเหมาะสมและไม่ควรต่ำเกินไป
8. การต่อยอดธุรกิจ: สินค้าหรือบริการที่คุณทำสามารถต่อยอดไปได้หรือไม่ ถ้าต่อยอดหรือขยายงานออกไปได้ยิ่งเป็นผลดี แต่การขยายงานควรเป็นไปด้วยความรอบคอบ
9. แผนธุรกิจ: ธุรกิจที่ดีต้องมีแผน ถ้าไม่มีแผนโอกาสแพ้และเพลี่ยงพล้ำสูงมาก เหมือนกับคนตัวเล็กไปต่อยกับคนตัวใหญ่มีโอกาสแพ้สูงมาก แต่ถ้าคนตัวเล็กวางแผนดีก็อาจจะเอาชนะคนตัวใหญ่ได้ เช่น นักมวยตัวเล็กว่องไว ก็วางแผนเต้นฟุตเวิร์คและคอยดักต่อยเก็บคะแนนไปเรื่อยๆ (รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง)
คร่าวๆ เท่านี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ