เรื่องเล่าเมื่อเราไปพุทธคยา (ฉบับข้อมูลทั่วไป)

ก่อนอื่นเราขอออกตัวไว้ก่อนว่ากระทู้นี้จะไม่ได้มีข้อมูลที่เกี่ยวกับธรรมะ เนื่องจากเรื่องธรรมะเป็นเรื่องความเข้าใจของแต่ละบุคคล จะมีเพียงแต่ข้อมูลที่เราได้ไปมาแล้วได้นำมาเสนอให้สำหรับคนที่คิดว่าจะไปแสวงบุญและกำลังหาข้อมูลอยู่ และเราได้ไปที่พุทธคยากับสถานที่ในพุทธประวัติที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองพุทธคยาเท่านั้น

    ที่มาที่ไปของเราสืบเนื่องจากเราได้ฟังการบรรยายธรรมของภิกษุณีรูปหนึ่งท่านอยู่ที่นิโรธาราม จอมทอง เชียงใหม่โดยการ load mp3 มาฟัง จาก web http://www.nirotharam.com/ เราเปิดฟังในตอนที่ขับรถ ฟังมาได้ประมาณ 3-4 ปี แล้ว เลยทำให้เราอยากจะไปแสวงบุญสักครั้งที่อินเดีย แต่ก็ยังไม่กล้าไปกลัวเรื่อง ขอทานบ้าง เรื่องห้องน้ำบ้างและเรื่องความไม่สะอาดบ้าง เลยได้ลองหาข้อมูลทั้ง youtube และ website แต่ก็ยังกลัวอยู่ แต่ด้วยความที่ว่านั่งดู youtube ทุกวันและได้ซื้อหนังสือ 4 เล่มนี้มาอ่าน
รูปหนังสือ

และได้ดูหนังเรื่องพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก (แต่ยังดูไม่จบก็ถึงวันเดินทางแล้ว) เราก็คิดว่าเหมือนกับว่าเราดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วอยากไปตามรอยหนังที่เราดู ว่าถ้าเรารู้ว่าพระเอกของเรื่องไปที่ไหนทำอะไร ก็จะทำให้การเดินทางตามรอยหนังของเราสนุกขึ้น แต่การตามรอยครั้งนี้เป็นการตามรอยพระพุทธเจ้าทำให้เราได้ความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
เลยตัดสินใจไปก็ไป ก็คิดว่าไปนอนวัดไทยแล้วก็เข้าไปที่พุทธคยากราบต้นพระศรีมหาโพธิ์ และพระพุทธเมตตาทุกวันแค่นี้ก็พอสำหรับเราแล้ว เกริ่นนานไปละ เรามาเริ่มข้อมูลกันดีกว่า
    ก่อนไปเราได้รู้ว่ามีวัดไทยที่เป็นวัดหลักชื่อวัดไทยพุทธคยา เราจึงทำการกำหนดวันแล้ว เมล์ ไปที่วัดแจ้งว่าเราต้องการเข้าพักวันไหน (e-mail ของวัดคือ bodhinayok980@gmail.com ) แล้วรอทางวัดตอบเมล์ กลับมา หลังจากรอไปประมาณ 3 วันทางวัดก็ตอบเมล์กลับมาโดยแจ้งว่าทางวัดมีกฏสามารถให้เข้าพักติดต่อกันได้เพียง 3 วันเท่านั้นเพื่อจะได้เปิดโอกาสให้ผู้แสวงบุญท่านอื่นได้พักบ้างแล้วในเมล์จะมีเอกสารรายละเอียดให้เรากรอกเช่นชื่อผู้เข้าพักเที่ยวบิน อื่นๆแล้วส่งกลับไป (เราไป 5 คืน 6 วัน) ค่าที่พักแล้วแต่จะทำบุญซึ่งจะมีอาหารให้กิน 3 มื้อ เราจึงต้องหาที่พักอีก 2 วัน เราก็เลยลองหาข้อมูลวัดไทยแถวๆใกล้ๆพุทธคยาดู ก็เจอวัดป่าพุทธคยาเราลองโทรไปมีคนอินเดียรับแล้วบอกว่าให้เราโทรไปอีกเบอร์พอโทรไป 2 ครั้งไม่มีคนรับเราก็คิดว่าจะจองโรงแรมแล้วแต่มีเรื่องโชคดี พระที่วัดป่าพุทธคยาใช้ skye โทรกลับมาหาเรา ถามว่าโทรไปใช่ไหมจะติดต่อเรื่องอะไร เราเลยบอกเรื่องจะขอเข้าพัก พระท่านแจ้งรายละเอียดมาว่ามีห้องว่างตามวันที่เราขอ  แล้วพระท่านก็ถามชื่อคนที่จะเข้าพักแล้วท่านก็บอกว่าเรียบร้อยแล้วง่ายๆแค่นี้ เรื่องวีซ่า  เรายื่นขอวีซ่าแบบ e-visa โดยสามารถหาข้อมูลได้จาก google มีคนบอกหลายท่านอยู่ (อย่าลืม Print วีซ่าไปด้วยสำคัญมาก)
เรื่องตั๋วเครื่องบินเราไปการบินไทยโดยจะบินไปลงที่พุทคยาก่อนและบินต่อไปที่พาราณสี ถ้าใครจะบินไปลงพาราณสีก็แจ้งเจ้าหน้าที่ได้หรือจะลงพุทธคยาแล้วขึ้นเครื่องกลับที่พาราณสีก็ได้ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ไป โดยตอนกลับเครื่องจะออกที่พุทธคยาแล้วบินไปรับคนที่พาราณสี(ประมาณ 30 นาที) แล้วถึงบินกลับสุวรรณภูมิ
หลังจากไปถึงที่พุทธคยาเราอออกมาจากรับกระเป๋ามี taxi มาถามเราบอกไปวัดไทย taxi บอก 700 รูปี เราเลยออกไปเรียกด้านนอกอาคารได้ 500 รูปี (ตอนออกคนขับบอกว่าให้เราจ่ายค่ารถออกสนามบินเอง อีก 100 รูปี )
    แล้วเราก็มาถึงวัดไทยพุทธคยาโดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีจากสนามบิน พอมาถึงที่รับกุญแจห้องจะอยู่ด้านในของวัด taxi พาเราเข้าไปส่งถึงด้านในสุดที่เป็นที่รับกุญแจ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่มาคอยบอกรายละเอียดกับเรา ห้องพักที่เราได้จะเป็นชั้น 3 ไม่มีลิฟท์เจ้าหน้าที่น่ารักมากช่วยแบกกระเป๋าขึ้นไปส่งให้(อย่างหนัก) อาคารที่เราพักชื่ออาคารพุทธชยันตีเจ้าหน้าที่บอกว่าเพิ่งเปิดอาคารนี้ไม่นาน อาคารนี้มีห้องนอนแบบ 3 เตียงด้วย แต่เราไป 2 คนเลยเป็นห้องนอน 2 เตียง
รูปอาคารพุทธชยันตีที่เราพัก

รูปห้องนอนที่วัดไทยพุทธคยา


ในห้องน้ำมีอุปกรณ์อาบน้ำให้เหมือนโรงแรมเลยเช่นยาสระผม โลชั่น สบู่เหลว เป็นยี่ห้อของวัดเลย หลังจากเก็บของเสร็จก็จะไปที่อู่น้ำซึ่งเหมือนเป็นศูนย์กลางการพบปะทำงานของพระที่วัดและโยม
หน้าอู่น้ำจะมีคนอินเดียมาชงชาให้กินชื่อ กาลัมจาย (เขียนให้เหมือนเขา) อร่อยมากเรากินทุกวันตลอดที่พักที่วัด อร่อยมาก มีจาปาตีให้ด้วย
รูปชากาลัมจาย

หากใครหิวจะมีร้านอาหารชื่อร้านตักบาตร อยู่ตรงทางเข้าวัด(หลังที่ยามนั่งอยู่) สามารถเข้าไปนั่งสั่งอาหารกินได้ตามสะดวก
รูปรายการอาหารร้านตักบาตร

แต่ถ้ายังไม่หิวก็รออู่ข้าวเปิดก็สามารถไปกินที่อู่ข้าวได้ (โดยทางวัดจากถามมาในเมล์ตั้งแต่ตอนจองห้องแล้วว่าต้องการมากินอาหารที่อู่ข้าวไหม) ที่อู่ข้าวก็แล้วแต่จะทำบุญค่าอาหารให้กับทางวัด โดยเราจะทำบุญพร้อมกันกับค่าที่พักก็ได้ตอนที่คืนกุญแจห้องพัก เจ้าหน้าที่จะออกใบเสร็จให้หลังจากชำระเงิน
รูปอู่ข้าวและเวลาเปิดให้ทานอาหาร

แม่ชีและจิตอาสาที่นั่นน่ารักมากเป็นกันเองมาก (เราลืมถ่ายรูปอาหารที่วัดไทยมาเนื่องจากรีบกินเพื่อที่จะออกไปต่อ)
เราชอบรูปที่ติดตรงผนังในอู่ข้าวเลยถ่ายมา
รูปนี้ติดอยู่ที่ในอู่ข้าว


เรื่องซิมการ์ด
ออกจากวัดมาเดินข้ามถนนจะมีร้านขายมือถือเป็นร้านตู้เหมือนบ้านเรา หน้าร้านจะมีต้นไม้บังๆหน่อย แต่มองไปก็เห็น ซิมที่เราซื้อราคา 500 รูปี เล่น net ได้ 28 วัน ร้านบอกนะ วันละ 1Gb แต่โทรไม่ได้ถ้าจะโทรต้องลงทะเบียนและเติมเงินเข้าซิม หลังจากซื้อก็เอาเครื่องให้ร้านตั้งค่าการใช้งานให้ก็สามารถใช้งานได้ทันที
เรื่องการไปชมสถานที่ต่างๆ ถ้าไม่ทราบเราสามารถสอบถามทางวัดให้ท่านเมตตาแนะนำได้  เราสามารถไปได้ครบทั้ง 4 สังเวชนียสถานได้เลย โดยเริ่มที่พุทธคยาแล้วไปจบที่พาราณสี แล้วขึ้นเครื่องกลับที่พาราณสีแต่ต้องใช้เวลาหลายวันและต้องทำวีซ่าเนปาลมาก่อนจากเมืองไทย
    ตอนเราไปเราได้ติดต่อเช่ารถที่นั่นเลย ไม่ได้ติดต่อตั้งแต่เมืองไทย โดยใช้เวลา วันแรกครึ่งวันบ่าย ไปเขาดงคสิริ สถานที่บำเพ็ญทกข์กิริยา และ สัตมหาสถาน 3 ทีซึ่งอยู่ด้านนอกของเจดีย์พุทธคยา สถานที่ถวายข้าวมธุปรายาส สถานที่ถวายหญ้ากุสะ โดยใช้เวลาครึ่งวันบ่าย (เนื่องจากตอนเช้าเราเดินไปบ้านนางสุชาดาแต่ไม่แนะนำให้เดินเพราะเดินไกลมากๆ) และของเรามีพระธรรมะวิทยากรไปด้วย 1 รูป
    วันรุ่งขึ้นเราเช่ารถแบบเต็มวันไปราชคฤห์ และมีพระไปด้วย 1 รูป มีไปนาลันทา ตโปธาร
วัดเวฬุวัน(ค่าเข้าสำหรับคนไทย 75 รูปี) ขึ้นเขาคิชกุฏ ถ้ำพระโมคลานะ ถ้ำพระสารีบุตร (อยู่ระหว่างทางขึ้นไปมูลธันคกฏิ)
วัดชีวกัมพวัน รอยเกวียนโบราณ ไหว้หลวงพ่อองค์ดำนาลันทา โดยพระท่านเมตตามาก สละเวลาบรรยายให้เราฟัง ท่านบอกว่างานของท่านก็คือการเผยแผ่ศาสนาและให้ความรู้กับพุทธศาสนิกชน และให้มีทัศนคติที่ดีต่อคนท้องถิ่น เค้าทำหน้าที่ของเขาเราก็ทำตามหน้าที่ของเรา ระหว่างทางถ้าผ่านหมู่บ้านชาวอินเดียหรือตลาด ท่านก็จะบรรยายชีวิตความเป็นอยู่ ผ่านตรงไหนที่เกี่ยวกับพุทธประวติท่านก็จะบรรยายว่าตรงนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับพระพุทธประวัติ  พอไปถึงสถานที่สำคัญๆท่านก็จะนำสวดมนต์บ้าง ทำสมาธิบ้าง ประทักษิณบ้าง เวียนเทียนสามรอบน่ะเราเรียกไม่ถูก แล้วก็อุทิศส่วนกุศล อธิษฐานขอพร
รูปตลาดระหว่างทาง



ทับทิมอินเดียลูกใหญ่มาก


ระหว่างทางเราไปเราได้แวะเข้าห้องน้ำที่วัดไทยลัฏฐิวันมหาวิหาร วัดนี้กำลังก่อสร้างอยู่ยังไม่ได้มีสิ่งก่อสร้าง เรามีขนมจากเมืองไทยติดไปนิดหน่อยจึงได้นำไปถวายพระ ก่อนให้พรท่านบอกว่าขอบคุณที่เรานำอาหารมาถวาย ท่านจะนำอาหารนี้ไปฉันเพื่อให้ร่างกายมีกำลังและจะได้นำกำลังนั้นไปทำงานเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป แล้วท่านก็สวดให้พร เราฟังแล้วขอกดไลท์จริงๆ

รูปวัดไทยลัฏฐิวันมหาวิหาร




แล้วเราก็เดินทางต่อไปชม ตโปทาราม  ตามความเชื่อของขาวอินเดียเรื่องการอาบน้ำล้างบาป แบ่งตามวรรณะ
รูปตโปทาราม



หลังจากนั้นเราได้ไปที่มหาวิทยาลัยนาลันทาและกราบสถูปพระสารีบุตร

รูปทางเข้ามหาวิทยาลัยนาลันทา


รูปสถูปพระสารีบุตร


รูปในมหาวิทยาลัยนาลันทา


เราแวะกินข้าวเที่ยงที่วัดไทยนาลันทาโดยหยอดตู้บริจาคร่วมบุญตามศรัทธา ที่วัดมีร้านกาแฟชื่อพันเตคอฟฟี่ สามารถนั่งกินกาแฟได้ ชั้นล่างเป็นร้านสหกรณ์ของวัดมีของขายทั่วไป (กาแฟหย่อนตู้ตามศรัทธาจ้า)

รูปป้ายวัดไทยนาลันทา


รูปร้านพันเตคอฟฟี่


รายละเอียดเพิ่มเติม เนื่องจากเรามีพระธรรมะวิทยากรไปด้วยต้องอย่าลืมนะว่าพระต้องฉันเพลซึ่งถ้าเลยเวลาแล้วหมายความว่าพระจะไม่สามารถฉันได้นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นต้องเผื่อเวลาเยอะๆให้พระท่านได้มีเวลาฉัน แล้วพระจะต้องมีการทำวัตรเย็นเวลาเย็นด้วย
    เรานึกเรื่องฉันเพลได้ตอนที่จะเข้าไปวัดเวฬุวัน เราก็เลยบอกพระท่านว่าไม่ต้องเข้าก็ได้เดี๋ยวไม่ทัน ท่านก็เดินเหมือนจะกลับไปที่รถ เดินไป 3-4 ก้าว ท่านก็หันกลับมาแล้วบอกว่าเข้าไปก็ได้ไม่เป็นไร เราเลยรีบเข้าไปชมทำเวลาและยังพอมีเวลาสวดมนต์ที่วัดเวฬุวันวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ต้องขอบคุณพระท่านจริงๆ

รูปวัดเวฬุวัน




หลังจากนั้นพระธรรมมะวิทยากรพาเราไปกราบหลวงพ่อองค์ดำ ที่นาลันทาเราโชคดีตอนที่ไปไม่มีนักท่องเที่ยวหรือผู้มาแสวงบุญเลยทำให้การบรรยากาศสงบเงียบดีจัง ไม่ได้ลงรูปนะที่หลวงพ่อองค์ดำ
ต่อมาไปเขาคิชกุฏเราโชคดีที่ตอนขึ้นเขาคิชกุฏเราไปตอนบ่ายสามไม่มีคนเท่าไหร่ เราไปถึงมูลคันธกุฏิ ก็ไม่มีคนเลยไม่ต้องรอคิวไม่มีใครมารบกวนมีแต่เจ้าหน้าที่ซึ่งเขาก็นั่งเฉยๆ พอเราสวดมนต์และวนประทักษิณ3รอบไม่ทราบเรียกถูกหรือเปล่า นั่งสมาธิสักครู่ อธิษฐานขอพร อุทิศส่วนกุศลจบก็จะบอกว่าทำบุญๆ ก็แล้วแต่เรา จะทำเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้มายืนมอง ที่ถ้ำพระโมคลานะ ถ้ำพระสารีบุตรก็ไม่มีคน เราสวดมนต์ถ่ายรูปได้เต็มที่แต่ก็ต้องทำเวลานะ

เดี๋ยวมาต่อนะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่