Chapter 5 ปัจฉิมนิเทศ 1.4 แม่!!
โกหก จริงๆแล้วฉันโกหกนับดาวเรื่องที่บอกว่ามีเเฟนเเล้ว ไม่รู้ว่าการบอกออกไปแบบนั้นมันเป็นวิธีที่ดีไหม เเต่ฉันอยากให้นับดาวตัดใจ สำหรับฉันเเล้วจริงๆ มันไม่ใช่เเค่การที่เราสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่มันยังมีเหตุผลอื่นๆ ที่บ้านของนับดาวเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม เรียกได้ว่าคนในจังหวัดเเทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก ต่างจากฉันที่มีเเม่เป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ไม่ได้คิดว่าการขายข้าวแกงมันไม่ดีนะ ฉันออกจะภูมิใจด้วยซ้ำ ที่มีเเม่ขายข้าวแกง เเล้วยังอุตส่าห์เลี้ยงดูฉันด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด เพราะเเม่บอกว่าพ่อฉันเสียไปแล้วตั้งเเต่ฉันยังจำความไม่ได้
“โกหก รินทร์โกหกเราใช่ไหม”
“....”
“เงียบ แปลว่าโกหกจริงๆสินะ เราอยู่กับรินทร์มาโดยตลอด ถ้ามีจริงๆ มีหรือที่เราจะไม่รู้”
“งั้นรินทร์จะเล่าให้นับฟัง”
“รินทร์จะเล่าอะไรให้เราฟัง ในเมื่อสิ่งที่รินทร์กำลังจะพูด รินทร์กำลังจะโกหก”
“อืมม..แกจำได้ไหม คนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่ารู้จักกันในเน็ตที่เค้าหายไป เเล้วฉันขอไลน์ไว้..”
“เดี๋ยวนะ จะบอกว่าคบกับคนในเน็ตอ่ะหรอ คนอย่างรินทร์เนี่ยนะ จะไปจริงจังกับคนในเน็ต เเฟนคนเเรกของดารินทร์คนที่เราแอบชอบมาตลอดคือคนที่มีเเฟนรู้จักกันในเน็ต”
นับดาวพูดเหมือนกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกออกไป นับเอามือทั้งสองข้างของตัวเองมากุมมือฉันไว้เเน่น เเละพยายามมองหน้าฉันอย่างผ่อนอารมณ์
“รินทร์ ดูไม่ออกหรอว่าที่ผ่านมาเราคิดยังไงกับรินทร์”
นับยิ่งกุมมือฉันเเน่น
“มันคงเป็นเพราะเราสองคนใกล้ชิดกันมากเกินไปล่ะมั้ง เลยทำให้แกรู้สึกแบบนั้น ต่อไปนี้เราก็คงจะไม่ได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวแกก็เลิกรู้สึกแบบนั้นเอง เชื่อฉันสินับดาว”
ฉันพูดพร้อมกับเเกะมือของคนที่อยู่ตรงหน้าออก เเค่คิดว่าฉันกับนับดาวเราสองคนจะไม่ได้เจอกันในทุกๆ วันแบบนี้อีกแล้ว อยู่ๆ เหมือนน้ำตามันกำลังจะไหลออกมา คงจะเป็นเพราะความผูกพันล่ะมั้ง ในตอนนี้ฉันไม่อยากเดินหนีนับดาวไปไหนเลย เเต่ก็ไม่อยากให้นับดาวเห็นน้ำตาของฉันในตอนนี้เช่นกัน
“อย่ามาคิดเเทนเราหน่อยเลยรินทร์”
“เราเป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว เเละขอบคุณกับความรู้สึกดีๆที่มีให้เรานะแก”
ฉันพูดจบกำลังจะหันหลังเเละเดินออกไปจากตรงนี้แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นส่งเดชกำลังยืนอยู่ข้างหลัง แต่ในตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าใครจะได้ยินในสิ่งที่เราคุยกันหรือเปล่า ฉันเดินผ่านส่งเดชไปได้ไม่กี่ก้าว นับดาวก็พูดขึ้นมาว่า
“รินทร์ รินทร์เลิกยัดเยียดความเป็นเพื่อนที่เราไม่ต้องการให้ซักทีได้มั้ย เเล้วก็อย่าเดินหนีเราไปเเบบนั้นนะรินทร์”
นับดาวพูดพร้อมกับจะเดินตามมาเเต่ส่งเดชกลับรั้งนับดาวไว้ไม่ให้เดินตามฉัน
ในตอนนี้ฉันไม่กล้าที่จะหันไปมองนับดาวอีกแล้ว อยากจะเฉยชาเหมือนกับที่เคยปฏิเสธคนที่เคยมาบอกชอบฉัน เเต่กับนับดาวคนนี้มันไม่เหมือนคนอื่นๆ
“ขอโทษนะนับ ฉันเสียใจ”
ฉันพูดพร้อมกับอยากจะเดินออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่น้ำตามันกำลังจะไหลออกมา
“อย่าบอกว่าเสียใจหน่อยเลย คนที่เสียใจวันนี้คือเราไม่ใช่รินทร์!!”
“ส่งเดช ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!! ปล่อย!!!”
“รินทร์ จะไปไหน กลับมานะ!! อย่าเดินหนีเราไปแบบนี้ รินทร์ กลับมา ฮรืออ”
นับดาวสู้เเรงของผู้ชายอย่างส่งเดชไม่ไหวนั่งฟุบลงกับพื้นอย่างกับคนหมดเรี่ยวเเรงที่จะต่อสู้
“ฮรือออ รินทร์ เรากลับมาเป็นเพื่อนกันก็ได้ แต่อย่าหนีเราไปแบบนี้รินทร์ ฮรืออ”
ฉันไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไป เพราะกลัว กลัวว่าฉันจะใจอ่อน ถึงฉันไม่อยากจะเสียนับดาวไปมากขนาดไหน แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจเเล้ว
“ถ้ารินทร์ไป เราจะไม่คุยกับรินทร์ และเราจะไม่ได้เจอกันอีก ฮรืออ”
ฉันรู้ว่านับดาวพูดจริง ถึงฉันจะได้ยินแบบนั้น เเต่มันก็คงจะดีกับนับดาวที่จะไม่ต้องเจอฉันอีก และฉันก็ยินดีให้มันเป็นไปแบบนั้น
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ห้อง พร้อมกับเอามือปาดน้ำตา ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันหยิบมือถือที่อยู่ในใต้โต๊ะ เเละส่งข้อความไปบอกแก้วตาว่าฉันไม่สบายขอกลับบ้านก่อน หลังจากนั้นฉันก็เก็บของเเละรีบออกไปจากห้องเพราะกลัวว่านับดาวอาจจะตามมาเห็นฉันในตอนนี้ แต่ฉันดันลืมของไว้ที่ใต้โต๊ะของนับดาว ฉันเดินกลับไปหยิบของเเละเหลือบไปเห็นผ้าเช็ดหน้าที่ปักชื่อว่า “ดารินทร์ ดาริน” ที่วางทับจดหมายน้อยฉบับหนึ่ง
“ริน ริน ดารินทร์ รินทร์ ในที่สุดเราก็กล้าที่จะให้จดหมายฉบับนี้กับรินสักทีนะ ผ้าเช็ดหน้าปักชื่อ”ดารินทร์ ดาริน” เป็นไงชอบปะ เราทำเองกับมือเลยนะเนี่ย เก็บไว้ดีๆนะ เราตั้งใจทำมันให้ เเต่ต่อไปนี้เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย เพราะเราต้องเเยกย้ายกันไปทำตามความฝันของตัวเอง รินจำวันเเรกที่เราเจอกันได้ไหม เราจำได้ว่าเราชนกันที่หน้าประตูโรงเรียนเเละรินก็ถือถุงปาท่องโก๋มาด้วยแหละ หลังจากนั้นเราก็เห็นรินทร์กินนมช็อคโกแลตกับปาท่องโก๋ทุกเช้าเลย ฮ่าๆ
อืมม..รินทร์จำวันที่มีคนมาบอกชอบรินในวันกีฬาสีได้ปะ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราต้องรู้สึกโกรธรินด้วย เเล้วไหนจะคนนั้นที่รินทร์คุยในเน็ตอีก แต่พอเราทบทวนดูดีๆแล้ว เราก็เข้าใจเเล้วว่าจริงๆเราไม่ได้โกรธ เเต่เราหวง.. เราไม่อยากจะบอกความรู้สึกนี้ผ่านตัวอักษร อยากบอกกับตัวเองมากกว่า จะได้ดูจริงใจ ไว้เจอกันที่งานกินเลี้ยงตอนเย็นที่บ้านแก้วตานะ ^^ “
ฉันอ่านข้อความนี้ฉันได้เเต่เอามือป้องปากเพราะตอนนี้ฉันกำลังร้องไห้และไม่อยากให้ใครได้ยินเสียง ในตอนนี้ฉันตั้งสติได้ ก็รีบเดินไปหาป้าแก้วที่ฉันรู้จักและขอร้องให้พาฉันออกจากประตูโรงเรียนด้านหลังที่นักเรียนห้ามใช้ กว่าป้าแก้วจะใจอ่อนฉันก็แทบจะก้มกราบเท้าไปเลยเหมือนกัน ไหนๆก็ไหนๆ ฉันขอให้ป้าแก้วไปส่งที่บ้านด้วยซะเลย
“ขอบคุณค่ะป้าแก้ว เดี๋ยววันหลังหนูเอาแกงไปฝากนะคะ”
ป้าแก้วพยักหน้าและชูสองนิ้วเป็นนัยๆ ว่าขอสองถุง เเละขับรถกลับไปที่โรงเรียน
“รินทร์ ลูกกลับมาแล้วหรอ”
“ค่ะเเม่ รินทร์ไปนอนแล้วนะปวดหัว”
“กินยาด้วยนะรินทร์ เดี๋ยวจะหายไม่ทันไปกินเลี้ยงกับเพื่อนตอนเย็น ก่อนไปอย่าลืมช่วยแม่ตั้งร้านด้วยนะลูก”
ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวที่อยู่หลังตู้เย็นเพราะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริงๆเลยเเฮะ พอฉันกินยาเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องหยิบผ้าเช็ดหน้าที่มีชื่อฉันขึ้นมาดูและอ่านจดหมายที่นับดาวเขียนให้ ฉันทบทวนเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่จะเผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีมองไปที่หน้าต่างก็เห็นท้องฟ้าเป็นสีส้ม ฉันมองไปที่นาฬิกา
“นี่มันห้าโมงกว่าจะหกโมงอยู่เเล้ว ทำไมวันนี้เเม่ไม่ปลุกให้ไปช่วยตั้งร้าน”
ฉันที่แปลกใจว่าปกติเเล้วแม่ไม่เคยไปตั้งร้านคนเดียว เวลาที่ฉันติดกิจกรรมไปช่วยแม่ไม่ได้เเม่ก็จะเรียกให้ป้าแก้วมาคอยช่วยตั้งร้าน เเต่จะมีเเค่หนสองหนเพียงเท่านั้นที่ฉันไปช่วยเเม่ไม่ได้จริงๆ
ฉันเดินไปมองที่หน้าต่างข้างนอกบ้าน ยังเห็นรถเข็นแม่จอดอยู่ ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ ไหนแม่บอกว่าวันนี้จะไปขายของ
“แม่!! แม่คะ เเม่อยู่ไหน”
“แม่ไฟก็ไม่เปิด แม่ได้ยินเสียงรินทร์หรือเปล่า”
ฉันเริ่มใจคอไม่ดี เดินไปในครัวกำลังจะเดินไปเปิดไฟ
ติ๊ก!!
ไฟสว่างจ้า เเต่ฉันก็ยังไม่เห็นแม่อยู่ดี
หรือว่าแม่จะอยู่หลังบ้าน
“แม่!! อยู่ไหน ได้ยินเสียงหนูมั้ย วันนี้เเม่ไม่ออกไปขายของหรอ”
เงี๊ยววว~ ตุบ
ฉันเห็นเเมวกระโดมาจากหน้าต่างด้านบน ห้องของแม่ ฉันรีบเดินขึ้นไปข้างบนตรงไปที่ห้องเเม่
ฉันหมุนลูกบิดประตู กึ๊ก! ประตูเปิดออก
“แม่!! แม่อยู่ในห้องหรือเปล่า”
ฉันที่ถอนหายใจ คิดว่าแม่คงจะเดินไปคุยกับคนข้างบ้าน และกำลังจะเดินออกไปนอกห้อง แต่ก็ตะหงิดใจเดินไปดูที่ข้างเตียง
ฉันใจหล่นตุ๊บ!! ฉันเห็นเท้า เเล้วรีบเดินเข้าไปดู
“แม่!!!!!! “
ดารินทร์ ดาริน ตอนที่ 6
โกหก จริงๆแล้วฉันโกหกนับดาวเรื่องที่บอกว่ามีเเฟนเเล้ว ไม่รู้ว่าการบอกออกไปแบบนั้นมันเป็นวิธีที่ดีไหม เเต่ฉันอยากให้นับดาวตัดใจ สำหรับฉันเเล้วจริงๆ มันไม่ใช่เเค่การที่เราสองคนเป็นเพื่อนกัน แต่มันยังมีเหตุผลอื่นๆ ที่บ้านของนับดาวเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม เรียกได้ว่าคนในจังหวัดเเทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก ต่างจากฉันที่มีเเม่เป็นแม่ค้าขายข้าวแกง ไม่ได้คิดว่าการขายข้าวแกงมันไม่ดีนะ ฉันออกจะภูมิใจด้วยซ้ำ ที่มีเเม่ขายข้าวแกง เเล้วยังอุตส่าห์เลี้ยงดูฉันด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด เพราะเเม่บอกว่าพ่อฉันเสียไปแล้วตั้งเเต่ฉันยังจำความไม่ได้
“โกหก รินทร์โกหกเราใช่ไหม”
“....”
“เงียบ แปลว่าโกหกจริงๆสินะ เราอยู่กับรินทร์มาโดยตลอด ถ้ามีจริงๆ มีหรือที่เราจะไม่รู้”
“งั้นรินทร์จะเล่าให้นับฟัง”
“รินทร์จะเล่าอะไรให้เราฟัง ในเมื่อสิ่งที่รินทร์กำลังจะพูด รินทร์กำลังจะโกหก”
“อืมม..แกจำได้ไหม คนที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่ารู้จักกันในเน็ตที่เค้าหายไป เเล้วฉันขอไลน์ไว้..”
“เดี๋ยวนะ จะบอกว่าคบกับคนในเน็ตอ่ะหรอ คนอย่างรินทร์เนี่ยนะ จะไปจริงจังกับคนในเน็ต เเฟนคนเเรกของดารินทร์คนที่เราแอบชอบมาตลอดคือคนที่มีเเฟนรู้จักกันในเน็ต”
นับดาวพูดเหมือนกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ฉันบอกออกไป นับเอามือทั้งสองข้างของตัวเองมากุมมือฉันไว้เเน่น เเละพยายามมองหน้าฉันอย่างผ่อนอารมณ์
“รินทร์ ดูไม่ออกหรอว่าที่ผ่านมาเราคิดยังไงกับรินทร์”
นับยิ่งกุมมือฉันเเน่น
“มันคงเป็นเพราะเราสองคนใกล้ชิดกันมากเกินไปล่ะมั้ง เลยทำให้แกรู้สึกแบบนั้น ต่อไปนี้เราก็คงจะไม่ได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวแกก็เลิกรู้สึกแบบนั้นเอง เชื่อฉันสินับดาว”
ฉันพูดพร้อมกับเเกะมือของคนที่อยู่ตรงหน้าออก เเค่คิดว่าฉันกับนับดาวเราสองคนจะไม่ได้เจอกันในทุกๆ วันแบบนี้อีกแล้ว อยู่ๆ เหมือนน้ำตามันกำลังจะไหลออกมา คงจะเป็นเพราะความผูกพันล่ะมั้ง ในตอนนี้ฉันไม่อยากเดินหนีนับดาวไปไหนเลย เเต่ก็ไม่อยากให้นับดาวเห็นน้ำตาของฉันในตอนนี้เช่นกัน
“อย่ามาคิดเเทนเราหน่อยเลยรินทร์”
“เราเป็นเพื่อนกันก็ดีแล้ว เเละขอบคุณกับความรู้สึกดีๆที่มีให้เรานะแก”
ฉันพูดจบกำลังจะหันหลังเเละเดินออกไปจากตรงนี้แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นส่งเดชกำลังยืนอยู่ข้างหลัง แต่ในตอนนี้ฉันไม่สนใจแล้วว่าใครจะได้ยินในสิ่งที่เราคุยกันหรือเปล่า ฉันเดินผ่านส่งเดชไปได้ไม่กี่ก้าว นับดาวก็พูดขึ้นมาว่า
“รินทร์ รินทร์เลิกยัดเยียดความเป็นเพื่อนที่เราไม่ต้องการให้ซักทีได้มั้ย เเล้วก็อย่าเดินหนีเราไปเเบบนั้นนะรินทร์”
นับดาวพูดพร้อมกับจะเดินตามมาเเต่ส่งเดชกลับรั้งนับดาวไว้ไม่ให้เดินตามฉัน
ในตอนนี้ฉันไม่กล้าที่จะหันไปมองนับดาวอีกแล้ว อยากจะเฉยชาเหมือนกับที่เคยปฏิเสธคนที่เคยมาบอกชอบฉัน เเต่กับนับดาวคนนี้มันไม่เหมือนคนอื่นๆ
“ขอโทษนะนับ ฉันเสียใจ”
ฉันพูดพร้อมกับอยากจะเดินออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่น้ำตามันกำลังจะไหลออกมา
“อย่าบอกว่าเสียใจหน่อยเลย คนที่เสียใจวันนี้คือเราไม่ใช่รินทร์!!”
“ส่งเดช ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!! ปล่อย!!!”
“รินทร์ จะไปไหน กลับมานะ!! อย่าเดินหนีเราไปแบบนี้ รินทร์ กลับมา ฮรืออ”
นับดาวสู้เเรงของผู้ชายอย่างส่งเดชไม่ไหวนั่งฟุบลงกับพื้นอย่างกับคนหมดเรี่ยวเเรงที่จะต่อสู้
“ฮรือออ รินทร์ เรากลับมาเป็นเพื่อนกันก็ได้ แต่อย่าหนีเราไปแบบนี้รินทร์ ฮรืออ”
ฉันไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไป เพราะกลัว กลัวว่าฉันจะใจอ่อน ถึงฉันไม่อยากจะเสียนับดาวไปมากขนาดไหน แต่ตอนนี้ฉันตัดสินใจเเล้ว
“ถ้ารินทร์ไป เราจะไม่คุยกับรินทร์ และเราจะไม่ได้เจอกันอีก ฮรืออ”
ฉันรู้ว่านับดาวพูดจริง ถึงฉันจะได้ยินแบบนั้น เเต่มันก็คงจะดีกับนับดาวที่จะไม่ต้องเจอฉันอีก และฉันก็ยินดีให้มันเป็นไปแบบนั้น
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ห้อง พร้อมกับเอามือปาดน้ำตา ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ฉันหยิบมือถือที่อยู่ในใต้โต๊ะ เเละส่งข้อความไปบอกแก้วตาว่าฉันไม่สบายขอกลับบ้านก่อน หลังจากนั้นฉันก็เก็บของเเละรีบออกไปจากห้องเพราะกลัวว่านับดาวอาจจะตามมาเห็นฉันในตอนนี้ แต่ฉันดันลืมของไว้ที่ใต้โต๊ะของนับดาว ฉันเดินกลับไปหยิบของเเละเหลือบไปเห็นผ้าเช็ดหน้าที่ปักชื่อว่า “ดารินทร์ ดาริน” ที่วางทับจดหมายน้อยฉบับหนึ่ง
“ริน ริน ดารินทร์ รินทร์ ในที่สุดเราก็กล้าที่จะให้จดหมายฉบับนี้กับรินสักทีนะ ผ้าเช็ดหน้าปักชื่อ”ดารินทร์ ดาริน” เป็นไงชอบปะ เราทำเองกับมือเลยนะเนี่ย เก็บไว้ดีๆนะ เราตั้งใจทำมันให้ เเต่ต่อไปนี้เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย เพราะเราต้องเเยกย้ายกันไปทำตามความฝันของตัวเอง รินจำวันเเรกที่เราเจอกันได้ไหม เราจำได้ว่าเราชนกันที่หน้าประตูโรงเรียนเเละรินก็ถือถุงปาท่องโก๋มาด้วยแหละ หลังจากนั้นเราก็เห็นรินทร์กินนมช็อคโกแลตกับปาท่องโก๋ทุกเช้าเลย ฮ่าๆ
อืมม..รินทร์จำวันที่มีคนมาบอกชอบรินในวันกีฬาสีได้ปะ ตอนนั้นเราไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราต้องรู้สึกโกรธรินด้วย เเล้วไหนจะคนนั้นที่รินทร์คุยในเน็ตอีก แต่พอเราทบทวนดูดีๆแล้ว เราก็เข้าใจเเล้วว่าจริงๆเราไม่ได้โกรธ เเต่เราหวง.. เราไม่อยากจะบอกความรู้สึกนี้ผ่านตัวอักษร อยากบอกกับตัวเองมากกว่า จะได้ดูจริงใจ ไว้เจอกันที่งานกินเลี้ยงตอนเย็นที่บ้านแก้วตานะ ^^ “
ฉันอ่านข้อความนี้ฉันได้เเต่เอามือป้องปากเพราะตอนนี้ฉันกำลังร้องไห้และไม่อยากให้ใครได้ยินเสียง ในตอนนี้ฉันตั้งสติได้ ก็รีบเดินไปหาป้าแก้วที่ฉันรู้จักและขอร้องให้พาฉันออกจากประตูโรงเรียนด้านหลังที่นักเรียนห้ามใช้ กว่าป้าแก้วจะใจอ่อนฉันก็แทบจะก้มกราบเท้าไปเลยเหมือนกัน ไหนๆก็ไหนๆ ฉันขอให้ป้าแก้วไปส่งที่บ้านด้วยซะเลย
“ขอบคุณค่ะป้าแก้ว เดี๋ยววันหลังหนูเอาแกงไปฝากนะคะ”
ป้าแก้วพยักหน้าและชูสองนิ้วเป็นนัยๆ ว่าขอสองถุง เเละขับรถกลับไปที่โรงเรียน
“รินทร์ ลูกกลับมาแล้วหรอ”
“ค่ะเเม่ รินทร์ไปนอนแล้วนะปวดหัว”
“กินยาด้วยนะรินทร์ เดี๋ยวจะหายไม่ทันไปกินเลี้ยงกับเพื่อนตอนเย็น ก่อนไปอย่าลืมช่วยแม่ตั้งร้านด้วยนะลูก”
ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวที่อยู่หลังตู้เย็นเพราะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริงๆเลยเเฮะ พอฉันกินยาเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องหยิบผ้าเช็ดหน้าที่มีชื่อฉันขึ้นมาดูและอ่านจดหมายที่นับดาวเขียนให้ ฉันทบทวนเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่จะเผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกทีมองไปที่หน้าต่างก็เห็นท้องฟ้าเป็นสีส้ม ฉันมองไปที่นาฬิกา
“นี่มันห้าโมงกว่าจะหกโมงอยู่เเล้ว ทำไมวันนี้เเม่ไม่ปลุกให้ไปช่วยตั้งร้าน”
ฉันที่แปลกใจว่าปกติเเล้วแม่ไม่เคยไปตั้งร้านคนเดียว เวลาที่ฉันติดกิจกรรมไปช่วยแม่ไม่ได้เเม่ก็จะเรียกให้ป้าแก้วมาคอยช่วยตั้งร้าน เเต่จะมีเเค่หนสองหนเพียงเท่านั้นที่ฉันไปช่วยเเม่ไม่ได้จริงๆ
ฉันเดินไปมองที่หน้าต่างข้างนอกบ้าน ยังเห็นรถเข็นแม่จอดอยู่ ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ ไหนแม่บอกว่าวันนี้จะไปขายของ
“แม่!! แม่คะ เเม่อยู่ไหน”
“แม่ไฟก็ไม่เปิด แม่ได้ยินเสียงรินทร์หรือเปล่า”
ฉันเริ่มใจคอไม่ดี เดินไปในครัวกำลังจะเดินไปเปิดไฟ
ติ๊ก!!
ไฟสว่างจ้า เเต่ฉันก็ยังไม่เห็นแม่อยู่ดี
หรือว่าแม่จะอยู่หลังบ้าน
“แม่!! อยู่ไหน ได้ยินเสียงหนูมั้ย วันนี้เเม่ไม่ออกไปขายของหรอ”
เงี๊ยววว~ ตุบ
ฉันเห็นเเมวกระโดมาจากหน้าต่างด้านบน ห้องของแม่ ฉันรีบเดินขึ้นไปข้างบนตรงไปที่ห้องเเม่
ฉันหมุนลูกบิดประตู กึ๊ก! ประตูเปิดออก
“แม่!! แม่อยู่ในห้องหรือเปล่า”
ฉันที่ถอนหายใจ คิดว่าแม่คงจะเดินไปคุยกับคนข้างบ้าน และกำลังจะเดินออกไปนอกห้อง แต่ก็ตะหงิดใจเดินไปดูที่ข้างเตียง
ฉันใจหล่นตุ๊บ!! ฉันเห็นเท้า เเล้วรีบเดินเข้าไปดู
“แม่!!!!!! “