ชีวืตในวัยเลข 5 ปลายๆ จากคนที่เคยอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานดี เงินเดือนสูง ทุกอย่างดูมั่นคง แต่แล้วชีวิตก็พลิกผัน ตกงานแบบฟ้าผ่า ถึงแม้จะได้รับเงินชดเชยมาก้อนใหญ่ แต่คิดสะระตะแล้ว ยังไม่เพียงพอที่จะหยุดทำงาน
เลยดิ้นรนกำเงินก้อนที่มีไปลงทุนทำธุรกิจ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ ด้วยหลายปัจจัย รวมทั้งการตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง รวมถึงความไม่ถนัดในการทำธุรกิจ เพียงแค่สองปีก็ตกงานอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีเงินเหลือ แถมยังมีหนี้ก้อนโต ที่ต้องพยายามดิ้นรนหาทางใช้หนี้กันต่อไป
ตอนนี้จะว่าลืมตาอ้าปากได้หรือเปล่าก็ยังไม่ใช่ วัยนี้แล้วหางานประจำยากเย็นแน่นอน แต่โชคดีที่ยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง ทำให้ได้งานฟรีแลนซ์แบบประจำกับบริษัทใหญ่ มั่นคง รายได้ดีประมาณหนึ่ง อาจไม่เท่าที่เคยหาได้ แต่ถ้าพยายามเก็บหอมรอมริบ ก็คงสามารถใช้หนี้สินได้
แต่ชีวิตฟรีแลนซ์ ไหนเลยจะเหมือนมนุษย์เงินเดือน ที่สิ้นเดือนก็ได้รับเงินตรงตามเวลาในจำนวนที่เท่ากัน ฟรีแลนซ์นอกจากจะไม่ได้เงินเท่ากันในแต่ละเดือน เวลาของการรับเงินก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ หรือบางครั้งก็ใช้เวลานาน จนเรียกได้ว่าต้องทำใจ และทำชีวิตให้สอดคล้องกับภาวะการทำงานและการเงินในแบบนี้
ลำพังตัวเอง ชีวิตเปลี่ยน ไม่เป็นไร เงินมีน้อยก็ใช้น้อย ทำงานฟรีแลนซ์ก็อยู่แต่บ้านเป็นส่วนใหญ่ เงินไม่ต้องใช้มากมายก็อยู่ได้ พิสูจน์แล้วว่า ใช้เงินแค่วันละ 50 บาท ก็อยู่ได้แล้ว และสามารถเคยชินกันชีวิตแบบนี้ได้ไม่ยาก มีความสุขตามอัตภาพไปเรื่อยๆ
แต่บ่อยครั้งก็อึดอัดใจกับสังคมเพื่อนฝูงที่คบหากันมานาน ทุกคนในวัย 50 ปลาย มีความมั่นคงในชีวิต มีเงินทองใช้สอยได้ตามสบาย ไม่ได้อิจฉาเพื่อน เพราะถึงแม้ตอนนี้เงินทองจะขัดสน แต่ก็สามารถอยู่ได้แบบใช้เงินให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องฟุ่มเฟือยต่างๆ ก็พยายามตัดให้น้อยที่สุด ไม่สามารถไปนั่งกินข้าวตามร้านอาหารกับเพื่อนได้บ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน ต่อให้ในช่วงที่หาเงินได้เยอะ ก็ยังไม่อยากใช้ นอกจากจะเก็บเอาไว้ใช้หนี้แล้ว ก็ต้องเริ่มต้นเก็บเงินเอาไว้ใช้ยามแก่กันใหม่ เหมือนกับไปอยู่ในช่วงวัยเริ่มทำงาน เงินเดือนน้อย และต้องเริ่มเก็บหอมรอมริบ
ขณะที่เพื่อนไม่เป็นแบบนั้น ทุกคนผ่านวัยแบบนั้นมาแล้ว ทุกคนมีความมั่นคงทางการเงิน นึกอยากเดินทางท่องเที่ยวก็ไป นึกอยากไปนั่งกินข้าวนอกบ้านทุกวันก็ทำได้ และปัญหาก็คือ เพื่อนคิดว่า ถึงแม้เราจะไม่มีงานทำ แต่ก็น่าจะมีเงินเก็บ เพราะฉะนั้นก็น่าจะออกมาสังสรรค์กันได้เหมือนเดิม ทั้งที่ก็รู้ดีว่าเราเพิ่งทำบริษัทเจ๊งมาคามือ แค่เราไม่ได้บอกว่า เราเจ๊งไปแค่ไหน มีหนี้แค่ไหน และตอนนี้ไม่เหลือเงินเก็บเลย แค่หากินไปวันๆ พยายามใช้เงินให้ชนเดือนก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว
แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้บางทีก็ไม่อยากบอกใครใช่มั้ยล่ะ ก็ใช้หลบๆ หน้าเพื่อนเอา คุยไลน์คุยเฟสกันไป ถ้าเดือนไหนมีรายได้เยอะหน่อย ก็ค่อยแวะไปกินข้าวด้วยสักครั้ง แต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะไม่เข้าใจสถานะทางการเงินของเราเลย การไปกินข้าวกับเพื่อน บางทีก็ยิ่งอึดอัด เพราะงบบานปลาย จ่ายเงินทีแทบใจจะขาดว่าเดือนนี้จะเหลือเงินใช้ชนเดือนหรือไม่
ยังมีหนี้สินที่เพื่อนบางคนเคยให้หยิบยืมมากในช่วงทำธุรกิจ เข้าใจดีมากว่าทุกคนก็อยากได้เงินคืน ก็ผ่อนใช้ให้ไปเสมอตามกำลังที่มี แต่ก็อธิบายให้ฟังทุกครั้งว่า รายได้ไม่แน่นอนไม่สม่ำเสมอ แต่ได้มาก็จะใช้ให้ตลอด
แน่นอนว่าถูกทวงหนี้อยู่ตลอด ซึ่งก็เข้าใจได้นะ เงินเขา เขาก็อยากได้คืน เราผิดเองที่ไปเป็นหนี้เขา ทุกอย่างเราก่อขึ้นมาทั้งสิ้น ก็ต้องยอมรับกันไป
แต่มีช่วงหนึ่งที่ไม่มีงานเข้ามา เดือนนึงหาได้ยังไม่ถึงหมื่นบาท ก็พยายามอธิบายและขอผัดผ่อน ซึ่งก็แน่นอนว่าถูกทวงอย่างรุนแรง จนต้องพยายามดิ้นรนจะเอาประกันชีวิตที่มีอยู่ไปเวนคืน เพื่อให้ได้เงินก้อนมาให้หนี้รายนี้ให้จบๆ ไป ทางบริษัทบอกว่าใช้เวลาสองสัปดาห์ ก็บอกทางโน้นไปตามนี้ แต่บังเอิญจริงๆ ว่า ในเอกสารที่ส่งไปที่บริษัทประกัน เซ็นชื่อไม่เหมือนกับเมื่อ 20 ปีก่อน เพราะเปลี่ยนลายเซ็นมาหลายปีแล้ว บริษัทส่งจดหมายมาแจ้งว่าให้ส่งเอกสารไปใหม่ และเซ็นชื่อให้เหมือนในสัญญาด้วย
เอ้า จะเอายังไงก็ได้ ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว ขอแค่ให้ได้เงินตามสัญญาก็แล้วกันนะ แต่ปัญหาก็กลับมาอยู่ที่เพื่อนที่สัญญาไปว่าอีกสองสัปดาห์จะได้เงิน คราวนี้ก็ต้องล่าช้าออกไปอีก
แน่นอนว่า ถูกต่อว่ากลับมาอย่างหนักเช่นเดิม
จริงๆ ก็ทำใจได้อยู่แล้วเรื่องโดนทวง โดนต่อว่า ไม่คิดจะโกรธ ไม่คิดอะไรเลย ชีวิตช่วงนี้ทำให้ต้องพยายามถนอมอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ ไม่งั้นคงเครียดตายแน่นอน
แต่ในบางอารมณ์ ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมเพื่อนกันถึงได้ไม่ไว้ใจกันบ้างเลย เออหนอ ทำไมทวงเหมือนกับเรามีเงินแต่ไม่ยอมใช้หนี้ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่ากำลังรอเงินอยู่ มีปัญหาก็บอกไป ก็ถูกต่อว่ากลับมา ก็ได้แต่อึ้งๆ ไม่รู้จะทำยังไง ไม่ได้โกรธ เพราะไมมีสิทธิ์โกรธ เราทำตัวเราเองทุกอย่าง
แต่คงช่วยไม่ได้ที่รู้สึกแย่ อดคิดไม่ได้ว่า คนที่ไม่มีประสบการณ์เลวร้ายในชีวิต เขาคงไม่เข้าใจเลยใช่มั้ยว่า คนที่เจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิตนั้นเป็นอย่างไร เขาคงไม่เข้าใจเลยใช่มั้ยว่า การมีรายได้แบบชักหน้าไม่ถึงหลังนั้นเป็นยังไง การไม่มีงานทำ การไม่มีเงินเลยในลางช่วงนั้นเป็นอย่างไร
เราต้องใช้ประสบการณ์ตรงเท่านั้นหรือ เราถึงจะเข้าใจความลำบากของคนอื่นได้ เราไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของทุกคนที่ยากลำบาก ถ้าช่วยเหลืออะไรได้ แม้จะเป็นแบบเตี้ยอุ้มค่อมตามโบราณว่า ก็อยากจะช่วย ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะลืมตาอ้าปากได้อีกหรือเปล่า แต่ก็คงดิ้นรนกันต่อไป
ถึงแม้ชีวิตจะไม่สบายเหมือนเก่า นั่นไม่ใช่ปัญหา เราทำใจได้เยอะแล้ว แต่บางทีก็อึดอัด และไม่รู้จะพูดคุยกับใครดี จะเขียนระบายลงเฟสบุ๊ค ก็ไม่ใช่นิสัยเราซะด้วยสิ อีกอย่างชีวิตเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ไปเสียทุกเรื่อง เลยขอมาระบายที่นี่แทน ไม่มีใครอ่านก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้มีอะไรจะถาม ไม่มีอะไรจะเล่า เรียกว่าบ่นหรือระบายอาจจะเหมาะกว่า
ถ้าจะมีอะไรบ้าง ก็คงมีประสบการณ์ความล้มเหลวมาเป็นบทเรียนแก่ทุกคนว่า อย่าประมาทกับการใช้ชีวิต เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ทำได้ก็เพียงแค่ยอมรับ อยู่กับมันให้ได้ แล้วก็เริ่มต้นใหม่
ไม่ว่าจะในช่วงวัยใด ชีวิตก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ถ้าไม่เอาชีวิตที่เคยผ่านมาเป็นตัวตั้ง ก็ไม่มีอะไรเลวร้าย การนับหนึ่งใหม่ ก็คือการเรียนรู้ใหม่ มองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนกลับไปข้างหลัง อย่าเสียดาย อย่าโหยหาสิ่งที่เคยมี ต่อให้เวลาข้างหน้าจะเหลือน้อยแค่ไหน เราก็ยังสามารถใช้มันอย่างมีคุณค่าได้เสมอ
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ค่ะ
อย่าประมาทกับการใช้ชีวิต
เลยดิ้นรนกำเงินก้อนที่มีไปลงทุนทำธุรกิจ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ ด้วยหลายปัจจัย รวมทั้งการตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง รวมถึงความไม่ถนัดในการทำธุรกิจ เพียงแค่สองปีก็ตกงานอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีเงินเหลือ แถมยังมีหนี้ก้อนโต ที่ต้องพยายามดิ้นรนหาทางใช้หนี้กันต่อไป
ตอนนี้จะว่าลืมตาอ้าปากได้หรือเปล่าก็ยังไม่ใช่ วัยนี้แล้วหางานประจำยากเย็นแน่นอน แต่โชคดีที่ยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง ทำให้ได้งานฟรีแลนซ์แบบประจำกับบริษัทใหญ่ มั่นคง รายได้ดีประมาณหนึ่ง อาจไม่เท่าที่เคยหาได้ แต่ถ้าพยายามเก็บหอมรอมริบ ก็คงสามารถใช้หนี้สินได้
แต่ชีวิตฟรีแลนซ์ ไหนเลยจะเหมือนมนุษย์เงินเดือน ที่สิ้นเดือนก็ได้รับเงินตรงตามเวลาในจำนวนที่เท่ากัน ฟรีแลนซ์นอกจากจะไม่ได้เงินเท่ากันในแต่ละเดือน เวลาของการรับเงินก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ หรือบางครั้งก็ใช้เวลานาน จนเรียกได้ว่าต้องทำใจ และทำชีวิตให้สอดคล้องกับภาวะการทำงานและการเงินในแบบนี้
ลำพังตัวเอง ชีวิตเปลี่ยน ไม่เป็นไร เงินมีน้อยก็ใช้น้อย ทำงานฟรีแลนซ์ก็อยู่แต่บ้านเป็นส่วนใหญ่ เงินไม่ต้องใช้มากมายก็อยู่ได้ พิสูจน์แล้วว่า ใช้เงินแค่วันละ 50 บาท ก็อยู่ได้แล้ว และสามารถเคยชินกันชีวิตแบบนี้ได้ไม่ยาก มีความสุขตามอัตภาพไปเรื่อยๆ
แต่บ่อยครั้งก็อึดอัดใจกับสังคมเพื่อนฝูงที่คบหากันมานาน ทุกคนในวัย 50 ปลาย มีความมั่นคงในชีวิต มีเงินทองใช้สอยได้ตามสบาย ไม่ได้อิจฉาเพื่อน เพราะถึงแม้ตอนนี้เงินทองจะขัดสน แต่ก็สามารถอยู่ได้แบบใช้เงินให้น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นเรื่องฟุ่มเฟือยต่างๆ ก็พยายามตัดให้น้อยที่สุด ไม่สามารถไปนั่งกินข้าวตามร้านอาหารกับเพื่อนได้บ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน ต่อให้ในช่วงที่หาเงินได้เยอะ ก็ยังไม่อยากใช้ นอกจากจะเก็บเอาไว้ใช้หนี้แล้ว ก็ต้องเริ่มต้นเก็บเงินเอาไว้ใช้ยามแก่กันใหม่ เหมือนกับไปอยู่ในช่วงวัยเริ่มทำงาน เงินเดือนน้อย และต้องเริ่มเก็บหอมรอมริบ
ขณะที่เพื่อนไม่เป็นแบบนั้น ทุกคนผ่านวัยแบบนั้นมาแล้ว ทุกคนมีความมั่นคงทางการเงิน นึกอยากเดินทางท่องเที่ยวก็ไป นึกอยากไปนั่งกินข้าวนอกบ้านทุกวันก็ทำได้ และปัญหาก็คือ เพื่อนคิดว่า ถึงแม้เราจะไม่มีงานทำ แต่ก็น่าจะมีเงินเก็บ เพราะฉะนั้นก็น่าจะออกมาสังสรรค์กันได้เหมือนเดิม ทั้งที่ก็รู้ดีว่าเราเพิ่งทำบริษัทเจ๊งมาคามือ แค่เราไม่ได้บอกว่า เราเจ๊งไปแค่ไหน มีหนี้แค่ไหน และตอนนี้ไม่เหลือเงินเก็บเลย แค่หากินไปวันๆ พยายามใช้เงินให้ชนเดือนก็เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว
แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้บางทีก็ไม่อยากบอกใครใช่มั้ยล่ะ ก็ใช้หลบๆ หน้าเพื่อนเอา คุยไลน์คุยเฟสกันไป ถ้าเดือนไหนมีรายได้เยอะหน่อย ก็ค่อยแวะไปกินข้าวด้วยสักครั้ง แต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะไม่เข้าใจสถานะทางการเงินของเราเลย การไปกินข้าวกับเพื่อน บางทีก็ยิ่งอึดอัด เพราะงบบานปลาย จ่ายเงินทีแทบใจจะขาดว่าเดือนนี้จะเหลือเงินใช้ชนเดือนหรือไม่
ยังมีหนี้สินที่เพื่อนบางคนเคยให้หยิบยืมมากในช่วงทำธุรกิจ เข้าใจดีมากว่าทุกคนก็อยากได้เงินคืน ก็ผ่อนใช้ให้ไปเสมอตามกำลังที่มี แต่ก็อธิบายให้ฟังทุกครั้งว่า รายได้ไม่แน่นอนไม่สม่ำเสมอ แต่ได้มาก็จะใช้ให้ตลอด
แน่นอนว่าถูกทวงหนี้อยู่ตลอด ซึ่งก็เข้าใจได้นะ เงินเขา เขาก็อยากได้คืน เราผิดเองที่ไปเป็นหนี้เขา ทุกอย่างเราก่อขึ้นมาทั้งสิ้น ก็ต้องยอมรับกันไป
แต่มีช่วงหนึ่งที่ไม่มีงานเข้ามา เดือนนึงหาได้ยังไม่ถึงหมื่นบาท ก็พยายามอธิบายและขอผัดผ่อน ซึ่งก็แน่นอนว่าถูกทวงอย่างรุนแรง จนต้องพยายามดิ้นรนจะเอาประกันชีวิตที่มีอยู่ไปเวนคืน เพื่อให้ได้เงินก้อนมาให้หนี้รายนี้ให้จบๆ ไป ทางบริษัทบอกว่าใช้เวลาสองสัปดาห์ ก็บอกทางโน้นไปตามนี้ แต่บังเอิญจริงๆ ว่า ในเอกสารที่ส่งไปที่บริษัทประกัน เซ็นชื่อไม่เหมือนกับเมื่อ 20 ปีก่อน เพราะเปลี่ยนลายเซ็นมาหลายปีแล้ว บริษัทส่งจดหมายมาแจ้งว่าให้ส่งเอกสารไปใหม่ และเซ็นชื่อให้เหมือนในสัญญาด้วย
เอ้า จะเอายังไงก็ได้ ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว ขอแค่ให้ได้เงินตามสัญญาก็แล้วกันนะ แต่ปัญหาก็กลับมาอยู่ที่เพื่อนที่สัญญาไปว่าอีกสองสัปดาห์จะได้เงิน คราวนี้ก็ต้องล่าช้าออกไปอีก
แน่นอนว่า ถูกต่อว่ากลับมาอย่างหนักเช่นเดิม
จริงๆ ก็ทำใจได้อยู่แล้วเรื่องโดนทวง โดนต่อว่า ไม่คิดจะโกรธ ไม่คิดอะไรเลย ชีวิตช่วงนี้ทำให้ต้องพยายามถนอมอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ ไม่งั้นคงเครียดตายแน่นอน
แต่ในบางอารมณ์ ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมเพื่อนกันถึงได้ไม่ไว้ใจกันบ้างเลย เออหนอ ทำไมทวงเหมือนกับเรามีเงินแต่ไม่ยอมใช้หนี้ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่ากำลังรอเงินอยู่ มีปัญหาก็บอกไป ก็ถูกต่อว่ากลับมา ก็ได้แต่อึ้งๆ ไม่รู้จะทำยังไง ไม่ได้โกรธ เพราะไมมีสิทธิ์โกรธ เราทำตัวเราเองทุกอย่าง
แต่คงช่วยไม่ได้ที่รู้สึกแย่ อดคิดไม่ได้ว่า คนที่ไม่มีประสบการณ์เลวร้ายในชีวิต เขาคงไม่เข้าใจเลยใช่มั้ยว่า คนที่เจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิตนั้นเป็นอย่างไร เขาคงไม่เข้าใจเลยใช่มั้ยว่า การมีรายได้แบบชักหน้าไม่ถึงหลังนั้นเป็นยังไง การไม่มีงานทำ การไม่มีเงินเลยในลางช่วงนั้นเป็นอย่างไร
เราต้องใช้ประสบการณ์ตรงเท่านั้นหรือ เราถึงจะเข้าใจความลำบากของคนอื่นได้ เราไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของทุกคนที่ยากลำบาก ถ้าช่วยเหลืออะไรได้ แม้จะเป็นแบบเตี้ยอุ้มค่อมตามโบราณว่า ก็อยากจะช่วย ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะลืมตาอ้าปากได้อีกหรือเปล่า แต่ก็คงดิ้นรนกันต่อไป
ถึงแม้ชีวิตจะไม่สบายเหมือนเก่า นั่นไม่ใช่ปัญหา เราทำใจได้เยอะแล้ว แต่บางทีก็อึดอัด และไม่รู้จะพูดคุยกับใครดี จะเขียนระบายลงเฟสบุ๊ค ก็ไม่ใช่นิสัยเราซะด้วยสิ อีกอย่างชีวิตเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ไปเสียทุกเรื่อง เลยขอมาระบายที่นี่แทน ไม่มีใครอ่านก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้มีอะไรจะถาม ไม่มีอะไรจะเล่า เรียกว่าบ่นหรือระบายอาจจะเหมาะกว่า
ถ้าจะมีอะไรบ้าง ก็คงมีประสบการณ์ความล้มเหลวมาเป็นบทเรียนแก่ทุกคนว่า อย่าประมาทกับการใช้ชีวิต เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ทำได้ก็เพียงแค่ยอมรับ อยู่กับมันให้ได้ แล้วก็เริ่มต้นใหม่
ไม่ว่าจะในช่วงวัยใด ชีวิตก็เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ถ้าไม่เอาชีวิตที่เคยผ่านมาเป็นตัวตั้ง ก็ไม่มีอะไรเลวร้าย การนับหนึ่งใหม่ ก็คือการเรียนรู้ใหม่ มองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนกลับไปข้างหลัง อย่าเสียดาย อย่าโหยหาสิ่งที่เคยมี ต่อให้เวลาข้างหน้าจะเหลือน้อยแค่ไหน เราก็ยังสามารถใช้มันอย่างมีคุณค่าได้เสมอ
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ค่ะ