“คือพี่ไม่ต้องมาอะไรกับเรามากอ่ะ
เพราะไม่อยากรู้สึกผิดเวลาคุย แล้วมันเหมือนให้ความหวัง
เราคิดกับพี่แบบพี่น้องอ่ะ
คิดยังไง ก็คิดอย่างนั้นมาโดยตลอดตั้งแต่แรก
เราไม่อยากเสียความสัมพันธ์แบบนี้ไป
ความรู้สึกแรกที่คุยกับพี่ มันดีมากๆเลยนะ
แต่พอรู้ว่าพี่ชอบ ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปหมดเลย”
นี่คือคำพูดของเธอ
ผู้หญิงที่ผมชอบ และ กำลังพยายามเข้าหา
โดยรู้ทั้งรู้ว่า ความรักไม่ใช่ผลตอบแทนของความดี
แต่ก็แอบหวังว่า
ความดี จะปลดล็อค ลดทอนสเป็ค หรือ ทำลายกำแพง
ให้เธอหันมาสนใจได้บ้าง...
เธอ...พึ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาได้ถึง 8 ปี
เพราะแฟนของเธอมีคนใหม่
โดยเธอให้เหตุผลว่า แฟนของเธอชอบผู้หญิงตัวเล็ก
แต่เธอน่ะเป็นคนสูง และ อาจจะบวกกับระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา
มันคงเริ่มถึงจุดอิ่มตัวของความสัมพันธ์
ทั้งหมดนั่นเลยเอื้อให้แฟนของเธอ เจอคนที่ตรงสเป็คมากกว่า
สดใหม่มากกว่า ท้าทายมากกว่า
เธอร้องไห้...
เธอฟูมฟาย...
เธอย่ำแย่...
นี่คือ ผลลัพท์ของการกระทำจากแฟนของเธอ
ผมเห็นเธอบ่นระบาย ผ่านทางสื่อโซเชี่ยลช่องทางหนึ่ง
โดยที่เพื่อนๆของเธอ ก็เข้ามาให้กำลังใจ
กับสิ่งที่เธอกำลังเผชิญ
ด้วยความที่ผมเคยเห็นเธอมาบ้างโดยบังเอิญ จากสถานที่หนึ่ง
จึงเข้าไปพูดคุยกับเธอ ให้กำลังใจเธอ อย่างที่ใครคนอื่นเค้าทำ
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้น
ของผม กับ เธอ
หลังจากวันที่ผมทักเธอไป
เราได้มีโอกาสคุยกันบ่อยขึ้น
พร้อมๆกับสภาวะทางจิตใจของเธอ ที่น่าจะดีขึ้นตาม
สังเกตได้จากที่เธอหัวเราะบ่อยขึ้น ผ่านทางตัวอักษร
ทั้งจากในแชท และ สเตตัสต่างๆที่เธอตั้ง
เธอกลับมาร่าเริง แซวเล่นกับเพื่อน ตอบรับมุกตลกกับเพื่อน
ได้ดีแทบจะเป็นปกติ
ผมก็ลองชวนเธอคุยในเรื่องอื่นๆดูบ้าง
เพื่อที่ว่าจะได้รู้จักเธอมากขึ้น
เธอเป็นคนที่ต้องตื่น 7.30 ทุกวัน เพื่อที่จะไปทำงาน
และ หลังจากเลิกงาน 17.30 ก็ต้องรีบกลับบ้าน
เพื่อทำงานบ้าน ล้างจานชาม กวาดบ้าน เก็บเสื้อผ้า
และ ต้องให้อาหารน้องหมาที่ชื่อว่า หมูปิ้ง
ซึ่งหมูปิ้งนี่ล่ะ
ที่เปลี่ยนจากการแชท การพิมพ์คุยธรรมดา
เป็นเริ่มมีการส่งรูปต่างๆกลับไป กลับมาให้กันดูบ้าง
(เธอส่งรูปหมูปิ้งมาให้ดู)
เปรียบเสมือนการแบ่งปันเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า ให้อีกฝ่ายได้รับรู้


จนมีครั้งนึง ที่ผมได้มีโอกาสแวะไปปากคลองตลาดเพื่อซื้อของ
ผมก็ถ่ายรูปเล่น รายงานเธอไป ตามปกติ
ว่าผมกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน
รูปที่ผมส่งให้เธอวันนั้น เป็นรูปของปากซอยๆนึง
ที่เป็นทางเข้าของโรงเรียนอาชีวแห่งหนึ่งแถวนั้น
ผมส่งไป พร้อมกับถามเธอว่า “โรงเรียนเก่าใคร ไหนยกมือขึ้น”
เธออ่าน... และเงียบ... ไปสักพัก
ไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับมา จนเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที
แทนที่เธอจะตอบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “โรงเรียนเธอเอง”
แต่เธอกลับส่งรูปที่เธอกำลังยกมือ หลังมือติดกำแพง
ในสภาพที่พร้อมนอน มาให้ผมดูแทน


(นี่คงเป็นความน่ารักอีกอย่างนึง ที่ผมคิดว่า
ทุกคนรอบข้างตัวเธอ ก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างจากผม...)
หลังจากนั้นผมจึงแซวเธอกลับไปว่า
“เห็นว่าผอม สูง แล้วทำไมแขนใหญ่จัง นิ้วก็ไม่เห็นจะเรียว”
"ของจริงมันต้องแบบนี้ต่างหาก"
พร้อมกับส่งรูปแขนของผมกลับไป


ดังที่ผมคาดเอาไว้ เธอหายไปสักพัก แล้วกลับมาพร้อมรูป
ที่โชว์นิ้วเล็กๆ อันสวยงามของเธอให้ผมดู


“ไม่เห็นจะใหญ่เลย” เธอแนบคำพูดนี้ทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย


ยิ่งโต้ตอบกันไปมาแบบนี้
ยิ่งรู้สึกได้ว่า นี่แหล่ะ ช่วงเวลาแห่งความสุขของผม
ผมจึงอยากลองแหย่เธอแรงขึ้น ด้วยการส่งรูปเท้าของผมไป


พร้อมกับคำพูดว่า "ยกมือแล้ว ต้องยกขาแบบนี้ด้วย รู้เรื่องมั้ย?"
โดยที่ในใจก็แอบเฟลกับคำตอบที่อาจจะได้รับกลับมาว่า
เธออาจจะดุผม ด่าผม
โกรธผม และ จะไม่คุยกับผมอีก...
และนี่ก็คือคำตอบผิดคาดของเธอ ที่ได้ให้ผมมา


ใช่ครับ เท้าของเธอ ขาของเธอที่ตั้งใจเหยียดขึ้นฟ้า เพื่อจะแหย่ผมคืนบ้าง
ทั้งเธอ และ ผม แทบจะไม่มีคำพูดใดใดให้พิมพ์คุยกัน
นอกจากเลขห้า รัวๆ ยาวๆ
ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ รอยยิ้มบนใบหน้าของผม
และ คิดว่าเธอก็คงหัวเราะชอบใจไม่แพ้กัน


หลังจากวันนั้น เราก็ส่งรูปให้กันบ่อยมากขึ้น
พร้อมกับความรู้สึกของผมที่มากขึ้น
จนแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอ ก็น่าจะโอเคกับผมในระดับนึง
ผมจึงริเริ่มลองชวนเธอออกไปข้างนอก
เพราะทุกความสัมพันธ์ใดใด ที่ต้องการจะพัฒนา
มันต้องอ้างอิงจากโลกแห่งความเป็นจริงบ้าง
ลำพังแค่ความสุขกับการพูดคุยกันผ่านทางตัวอักษร
ที่ไม่ได้เห็นสีหน้า แววตา หรือ น้ำเสียง
มันก็คงเป็นได้แค่คนคุย
สถานะใดใดที่มากกว่านั้น เห็นว่าคงจะเป็นไปไม่ได้
“ไปกินชาบูชิกัน” นี่คือครั้งแรกที่ผมเอ่ยปากชวนเธอ
และ “ไม่รู้ว่าจะไปได้รึเปล่า” ก็คือครั้งแรกที่เธอปฏิเสธผม
ผมพยายามถามเพื่อหาคำตอบ ของการปฏิเสธนั้น
ว่าเหตุใด ทำไม อย่างไร เธอถึงไม่ไป
แต่สิ่งที่เธอให้ผมมา คือ “เธอไม่ชอบกินชาบู”
อ่ะ ไม่เป็นไร กับการโดนปฏิเสธครั้งแรก
เพราะอย่างน้อยหลังจากนี้ผมก็จะได้รู้ว่าเธอไม่ชอบอะไร
โดยที่เรายังคงคุยกันไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกดีดีเหมือนเดิม
ยังคงส่งรูปโต้ตอบกันไปมา ด้วยรอยยิ้ม ด้วยเสียงหัวเราะ
จนผมก็ได้รู้มาว่า “เธอชอบกินบิงซู”
ร้าน After You มีบิงซูรสใหม่ สีชมพูสดใส
ต้อนรับวันวาเลนไทน์ ที่กำลังจะมาถึง
ผมไม่รอช้าที่จะชวนเธอไปลิ้มลอง ในของที่เธอชอบ
โดยที่มันก็น่าจะเหมาะกับเทศกาลแห่งความรักพอดี
“เราชอบรสมะม่วงมากกว่า”
...
...
...
ใช่ครับ นี่คือคำกึ่งปฏิเสธกรายๆ ว่าเธอจะไม่ไปกับผม
ถูกแล้วที่ผมชวนเธอไปกินของที่เธอชอบ
แต่ผิดอยู่อย่างเดียว ผิดที่รสชาติ...
โดยคราวนี้ เธอยังพอมีคำพูดที่ฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“แต่รสอื่นก็ชอบนะ แค่ชอบรสมะม่วงมากกว่า”
เป็นยังไงล่ะ กับคำตอบที่น่ารักของเธอ
แต่แล้ว เธอก็ไม่ได้ตอบตกลงที่จะไป
สภาวะความกดดันหลายๆอย่าง เริ่มถาโถมเข้ามาหาผม
เหตุผลต่างๆนาๆ สาเหตุที่เธอปฏิเสธผม
ปะเดปะดังซัดเข้ามาไม่รู้จบ
ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าทำไม เพราะอะไร เธอถึงปฏิเสธผม
จนฉุกคิดขึ้นมาได้เองว่า
“ถ้าใครสักคนอยากเจอเรา
แต่ตารางโปรแกรมกิจกรรมของเค้า มันไม่น่าสนใจสำหรับเรา
เราน่าจะเอ่ยปากพูดเพื่อปรับเปลี่ยน หรือ ยืดหยุ่น
ให้ไปในทางอื่นๆที่มันโอเคกับเราทั้งคู่ก็ได้นี่นา
ทั้งหมดเพียงเพราะเพื่อว่า เราจะได้เจอกัน”
และความคิดนี้เอง
ที่ทำให้ผมเหมือนได้รับคำตอบมาเรียบร้อย
โดยการลองเสี่ยงชวนเธออีกสักครั้ง
ด้วยงานคอนเสิร์ตของวงญี่ปุ่น ที่จะทำการแสดงในวันที่ 25 มีนาคม
ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ได้ชวนเธอ
แต่ผมจะขอ
"ขอให้เธอ...ไปดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนผม"
หลังจากที่ถามไป ไม่พ้นเสี้ยววินาที
เธอตอบกลับมาแทบจะทันทีอย่างไม่ลังเลว่า
"อ๋อ แล้วไม่ชวนเพื่อนไปล่ะ"
คำตอบนั้นทำผมหน่วงเป็นอย่างมาก
ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไม่รู้จะพิมพ์อะไรต่อ
นอกจาก "เออน้อ ทำไมไม่ชวนเพื่อนไปน้อ"
พร้อมสติ๊กเกอร์หน้าเจื่อนๆตัวนึง
พอถึงตอนนี้แล้ว
ผมไม่รู้ว่าผม ควรจะทำยังไงต่อไป
จะเดินหน้า จะถอยหลัง จะยังอยู่เป็นเพื่อนเธอแบบนี้ต่อไป
โดยที่เธอก็คงรู้สึกได้แล้วว่า ผมชอบเธอ...
ผมมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ
และ เธอก็มีเช่นเดียวกัน
แต่ผมไม่เคยขอให้เธอสละเวลา เพื่อมาคุยกับผม แม้เพียงสักครั้ง
วันไหนที่เธอจะนอนดึก เผื่อคุยกับผม ผมก็ตามใจเธอแค่นิดหน่อย
ไม่ปล่อยให้ลากยาวเป็นชั่วโมง
แล้วให้เธอรีบไปนอน จะได้ตื่นตอนเช้าด้วยความสดใส
รู้จักพักผ่อนอย่างเพียงพอ ต่อความขี้เซาที่เธอเป็น
ในบางครั้งเธอสละเวลางาน
มาตอบ มาคุยกับผม ผมก็รู้สึกดีนะ ที่เธอลงมือพยายามทำอะไรบางอย่าง
(ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม)
แต่สุดท้ายแล้ว ก็เป็นผมเอง
ที่ขอให้เธอกลับไปตั้งใจทำงานให้เสร็จ ตามที่เธอโดนมอบหมาย
เพราะผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าจะมาคุยกับผม หรือ ถ้ามาคบกับผม
เราควรพากันไปหาแต่สิ่งดีดี ไม่ใช่เสียการเสียงานแบบนี้
เหมือนกับแฟนเก่าของเธอ ที่เธอเคยบอกไว้ว่า
เธอไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเค้าแม้แต่ครั้งเดียว
โดยที่เธอ อยู่ในสถานะแฟน หรือ คนรัก ที่คบกันมา 8 ปี
เค้าที่มีรถ แต่ไม่ยอมขับรถไปรับเธอในวันที่ฝนตก
เพียงเพราะว่ารถพึ่งล้าง แต่ขับมอเตอร์ไซค์ไปรับเธอ
ปล่อยให้เธอนั่งซ้อนไปแบบนั้น ด้วยความทุลักทุเล
และ เธอเป็นคนออกค่าอาหารแทบทุกมื้อ แต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด 8 ปี
ไม่มีแม้แต่การถามไถ่เวลาเจอหน้ากัน
ว่าเธอหิวมั้ย เหนื่อยมั้ย
ทั้งที่เธอต้องการแค่การถามด้วยความห่วงใย จากคนรัก
ไม่ได้ต้องการให้เค้ามาเลี้ยงอะไรเธอ
ไม่ได้ต้องการให้เค้ามาดูแลอะไรเธอมากมาย
แค่เศษเสี้ยวความห่วงใย
ที่เธอเคยได้รับจากเค้าในตอนแรกๆที่คบกัน
แค่พูดขึ้นมาอีกครั้งให้เธอคิดถึงวันเก่าๆเหล่านั้น ก็ยังไม่มี
ผมไม่รู้ว่าความดีที่ผมมี
ที่คอยกำชับเธอในเรื่องการงาน
เป็นห่วงเธอในเรื่องสุขภาพ และ การพักผ่อน
มันจะอยู่แบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่
หากว่าเธอนั้นมีใจให้ผมบ้าง
หากว่าอย่างน้อยแค่คอยเติมพลังใจให้ผม
ผมจะอยู่กับเธอไปอีกนานเท่าที่ผมจะทำได้ ด้วยตัวของผม สองมือของผม
แม้ผมจะไม่สัญญา แต่ผมจะทำให้คุณเห็นเหมือนเช่นทุกครั้ง
เพราะมันเป็นแบบนี้ตลอดมา
และหากว่าสุดท้ายตรงนี้ จะไม่มีเหลือแม้ที่ยืนให้ผม
ก็หวังว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันในความฝันที่ใดที่หนึ่ง
"อยากให้เธอนั้นได้นอนหลับฝัน
จินตนาการว่ามีเธอกับฉัน
อยู่ด้วยกันในราชวังของเรา จะมีเพียงแค่วันของเรา
โอ๋ที่รัก ยามเธอนอนหลับไหล
ไม่มีฉันแล้วเธอนอนหลับไหม?
นอนด้วยกันมันจะดีกว่าไหม?
Come with me to our galaxy!"
ฝันว่าเธอจะแวะเข้ามาในสักวัน...
เพราะไม่อยากรู้สึกผิดเวลาคุย แล้วมันเหมือนให้ความหวัง
เราคิดกับพี่แบบพี่น้องอ่ะ
คิดยังไง ก็คิดอย่างนั้นมาโดยตลอดตั้งแต่แรก
เราไม่อยากเสียความสัมพันธ์แบบนี้ไป
ความรู้สึกแรกที่คุยกับพี่ มันดีมากๆเลยนะ
แต่พอรู้ว่าพี่ชอบ ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปหมดเลย”
นี่คือคำพูดของเธอ
ผู้หญิงที่ผมชอบ และ กำลังพยายามเข้าหา
โดยรู้ทั้งรู้ว่า ความรักไม่ใช่ผลตอบแทนของความดี
แต่ก็แอบหวังว่า
ความดี จะปลดล็อค ลดทอนสเป็ค หรือ ทำลายกำแพง
ให้เธอหันมาสนใจได้บ้าง...
เธอ...พึ่งเลิกกับแฟนที่คบกันมาได้ถึง 8 ปี
เพราะแฟนของเธอมีคนใหม่
โดยเธอให้เหตุผลว่า แฟนของเธอชอบผู้หญิงตัวเล็ก
แต่เธอน่ะเป็นคนสูง และ อาจจะบวกกับระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา
มันคงเริ่มถึงจุดอิ่มตัวของความสัมพันธ์
ทั้งหมดนั่นเลยเอื้อให้แฟนของเธอ เจอคนที่ตรงสเป็คมากกว่า
สดใหม่มากกว่า ท้าทายมากกว่า
เธอร้องไห้...
เธอฟูมฟาย...
เธอย่ำแย่...
นี่คือ ผลลัพท์ของการกระทำจากแฟนของเธอ
ผมเห็นเธอบ่นระบาย ผ่านทางสื่อโซเชี่ยลช่องทางหนึ่ง
โดยที่เพื่อนๆของเธอ ก็เข้ามาให้กำลังใจ
กับสิ่งที่เธอกำลังเผชิญ
ด้วยความที่ผมเคยเห็นเธอมาบ้างโดยบังเอิญ จากสถานที่หนึ่ง
จึงเข้าไปพูดคุยกับเธอ ให้กำลังใจเธอ อย่างที่ใครคนอื่นเค้าทำ
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้น
ของผม กับ เธอ
หลังจากวันที่ผมทักเธอไป
เราได้มีโอกาสคุยกันบ่อยขึ้น
พร้อมๆกับสภาวะทางจิตใจของเธอ ที่น่าจะดีขึ้นตาม
สังเกตได้จากที่เธอหัวเราะบ่อยขึ้น ผ่านทางตัวอักษร
ทั้งจากในแชท และ สเตตัสต่างๆที่เธอตั้ง
เธอกลับมาร่าเริง แซวเล่นกับเพื่อน ตอบรับมุกตลกกับเพื่อน
ได้ดีแทบจะเป็นปกติ
ผมก็ลองชวนเธอคุยในเรื่องอื่นๆดูบ้าง
เพื่อที่ว่าจะได้รู้จักเธอมากขึ้น
เธอเป็นคนที่ต้องตื่น 7.30 ทุกวัน เพื่อที่จะไปทำงาน
และ หลังจากเลิกงาน 17.30 ก็ต้องรีบกลับบ้าน
เพื่อทำงานบ้าน ล้างจานชาม กวาดบ้าน เก็บเสื้อผ้า
และ ต้องให้อาหารน้องหมาที่ชื่อว่า หมูปิ้ง
ซึ่งหมูปิ้งนี่ล่ะ
ที่เปลี่ยนจากการแชท การพิมพ์คุยธรรมดา
เป็นเริ่มมีการส่งรูปต่างๆกลับไป กลับมาให้กันดูบ้าง
(เธอส่งรูปหมูปิ้งมาให้ดู)
เปรียบเสมือนการแบ่งปันเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้า ให้อีกฝ่ายได้รับรู้
จนมีครั้งนึง ที่ผมได้มีโอกาสแวะไปปากคลองตลาดเพื่อซื้อของ
ผมก็ถ่ายรูปเล่น รายงานเธอไป ตามปกติ
ว่าผมกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน
รูปที่ผมส่งให้เธอวันนั้น เป็นรูปของปากซอยๆนึง
ที่เป็นทางเข้าของโรงเรียนอาชีวแห่งหนึ่งแถวนั้น
ผมส่งไป พร้อมกับถามเธอว่า “โรงเรียนเก่าใคร ไหนยกมือขึ้น”
เธออ่าน... และเงียบ... ไปสักพัก
ไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับมา จนเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที
แทนที่เธอจะตอบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “โรงเรียนเธอเอง”
แต่เธอกลับส่งรูปที่เธอกำลังยกมือ หลังมือติดกำแพง
ในสภาพที่พร้อมนอน มาให้ผมดูแทน
(นี่คงเป็นความน่ารักอีกอย่างนึง ที่ผมคิดว่า
ทุกคนรอบข้างตัวเธอ ก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างจากผม...)
หลังจากนั้นผมจึงแซวเธอกลับไปว่า
“เห็นว่าผอม สูง แล้วทำไมแขนใหญ่จัง นิ้วก็ไม่เห็นจะเรียว”
"ของจริงมันต้องแบบนี้ต่างหาก"
พร้อมกับส่งรูปแขนของผมกลับไป
ดังที่ผมคาดเอาไว้ เธอหายไปสักพัก แล้วกลับมาพร้อมรูป
ที่โชว์นิ้วเล็กๆ อันสวยงามของเธอให้ผมดู
“ไม่เห็นจะใหญ่เลย” เธอแนบคำพูดนี้ทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย
ยิ่งโต้ตอบกันไปมาแบบนี้
ยิ่งรู้สึกได้ว่า นี่แหล่ะ ช่วงเวลาแห่งความสุขของผม
ผมจึงอยากลองแหย่เธอแรงขึ้น ด้วยการส่งรูปเท้าของผมไป
พร้อมกับคำพูดว่า "ยกมือแล้ว ต้องยกขาแบบนี้ด้วย รู้เรื่องมั้ย?"
โดยที่ในใจก็แอบเฟลกับคำตอบที่อาจจะได้รับกลับมาว่า
เธออาจจะดุผม ด่าผม
โกรธผม และ จะไม่คุยกับผมอีก...
และนี่ก็คือคำตอบผิดคาดของเธอ ที่ได้ให้ผมมา
ใช่ครับ เท้าของเธอ ขาของเธอที่ตั้งใจเหยียดขึ้นฟ้า เพื่อจะแหย่ผมคืนบ้าง
ทั้งเธอ และ ผม แทบจะไม่มีคำพูดใดใดให้พิมพ์คุยกัน
นอกจากเลขห้า รัวๆ ยาวๆ
ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ รอยยิ้มบนใบหน้าของผม
และ คิดว่าเธอก็คงหัวเราะชอบใจไม่แพ้กัน
หลังจากวันนั้น เราก็ส่งรูปให้กันบ่อยมากขึ้น
พร้อมกับความรู้สึกของผมที่มากขึ้น
จนแอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอ ก็น่าจะโอเคกับผมในระดับนึง
ผมจึงริเริ่มลองชวนเธอออกไปข้างนอก
เพราะทุกความสัมพันธ์ใดใด ที่ต้องการจะพัฒนา
มันต้องอ้างอิงจากโลกแห่งความเป็นจริงบ้าง
ลำพังแค่ความสุขกับการพูดคุยกันผ่านทางตัวอักษร
ที่ไม่ได้เห็นสีหน้า แววตา หรือ น้ำเสียง
มันก็คงเป็นได้แค่คนคุย
สถานะใดใดที่มากกว่านั้น เห็นว่าคงจะเป็นไปไม่ได้
“ไปกินชาบูชิกัน” นี่คือครั้งแรกที่ผมเอ่ยปากชวนเธอ
และ “ไม่รู้ว่าจะไปได้รึเปล่า” ก็คือครั้งแรกที่เธอปฏิเสธผม
ผมพยายามถามเพื่อหาคำตอบ ของการปฏิเสธนั้น
ว่าเหตุใด ทำไม อย่างไร เธอถึงไม่ไป
แต่สิ่งที่เธอให้ผมมา คือ “เธอไม่ชอบกินชาบู”
อ่ะ ไม่เป็นไร กับการโดนปฏิเสธครั้งแรก
เพราะอย่างน้อยหลังจากนี้ผมก็จะได้รู้ว่าเธอไม่ชอบอะไร
โดยที่เรายังคงคุยกันไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกดีดีเหมือนเดิม
ยังคงส่งรูปโต้ตอบกันไปมา ด้วยรอยยิ้ม ด้วยเสียงหัวเราะ
จนผมก็ได้รู้มาว่า “เธอชอบกินบิงซู”
ร้าน After You มีบิงซูรสใหม่ สีชมพูสดใส
ต้อนรับวันวาเลนไทน์ ที่กำลังจะมาถึง
ผมไม่รอช้าที่จะชวนเธอไปลิ้มลอง ในของที่เธอชอบ
โดยที่มันก็น่าจะเหมาะกับเทศกาลแห่งความรักพอดี
“เราชอบรสมะม่วงมากกว่า”
...
...
...
ใช่ครับ นี่คือคำกึ่งปฏิเสธกรายๆ ว่าเธอจะไม่ไปกับผม
ถูกแล้วที่ผมชวนเธอไปกินของที่เธอชอบ
แต่ผิดอยู่อย่างเดียว ผิดที่รสชาติ...
โดยคราวนี้ เธอยังพอมีคำพูดที่ฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“แต่รสอื่นก็ชอบนะ แค่ชอบรสมะม่วงมากกว่า”
เป็นยังไงล่ะ กับคำตอบที่น่ารักของเธอ
แต่แล้ว เธอก็ไม่ได้ตอบตกลงที่จะไป
สภาวะความกดดันหลายๆอย่าง เริ่มถาโถมเข้ามาหาผม
เหตุผลต่างๆนาๆ สาเหตุที่เธอปฏิเสธผม
ปะเดปะดังซัดเข้ามาไม่รู้จบ
ผมครุ่นคิดอยู่นานว่าทำไม เพราะอะไร เธอถึงปฏิเสธผม
จนฉุกคิดขึ้นมาได้เองว่า
“ถ้าใครสักคนอยากเจอเรา
แต่ตารางโปรแกรมกิจกรรมของเค้า มันไม่น่าสนใจสำหรับเรา
เราน่าจะเอ่ยปากพูดเพื่อปรับเปลี่ยน หรือ ยืดหยุ่น
ให้ไปในทางอื่นๆที่มันโอเคกับเราทั้งคู่ก็ได้นี่นา
ทั้งหมดเพียงเพราะเพื่อว่า เราจะได้เจอกัน”
และความคิดนี้เอง
ที่ทำให้ผมเหมือนได้รับคำตอบมาเรียบร้อย
โดยการลองเสี่ยงชวนเธออีกสักครั้ง
ด้วยงานคอนเสิร์ตของวงญี่ปุ่น ที่จะทำการแสดงในวันที่ 25 มีนาคม
ซึ่งครั้งนี้ผมไม่ได้ชวนเธอ
แต่ผมจะขอ
"ขอให้เธอ...ไปดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนผม"
หลังจากที่ถามไป ไม่พ้นเสี้ยววินาที
เธอตอบกลับมาแทบจะทันทีอย่างไม่ลังเลว่า
"อ๋อ แล้วไม่ชวนเพื่อนไปล่ะ"
คำตอบนั้นทำผมหน่วงเป็นอย่างมาก
ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ไม่รู้จะพิมพ์อะไรต่อ
นอกจาก "เออน้อ ทำไมไม่ชวนเพื่อนไปน้อ"
พร้อมสติ๊กเกอร์หน้าเจื่อนๆตัวนึง
พอถึงตอนนี้แล้ว
ผมไม่รู้ว่าผม ควรจะทำยังไงต่อไป
จะเดินหน้า จะถอยหลัง จะยังอยู่เป็นเพื่อนเธอแบบนี้ต่อไป
โดยที่เธอก็คงรู้สึกได้แล้วว่า ผมชอบเธอ...
ผมมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ
และ เธอก็มีเช่นเดียวกัน
แต่ผมไม่เคยขอให้เธอสละเวลา เพื่อมาคุยกับผม แม้เพียงสักครั้ง
วันไหนที่เธอจะนอนดึก เผื่อคุยกับผม ผมก็ตามใจเธอแค่นิดหน่อย
ไม่ปล่อยให้ลากยาวเป็นชั่วโมง
แล้วให้เธอรีบไปนอน จะได้ตื่นตอนเช้าด้วยความสดใส
รู้จักพักผ่อนอย่างเพียงพอ ต่อความขี้เซาที่เธอเป็น
ในบางครั้งเธอสละเวลางาน
มาตอบ มาคุยกับผม ผมก็รู้สึกดีนะ ที่เธอลงมือพยายามทำอะไรบางอย่าง
(ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไม)
แต่สุดท้ายแล้ว ก็เป็นผมเอง
ที่ขอให้เธอกลับไปตั้งใจทำงานให้เสร็จ ตามที่เธอโดนมอบหมาย
เพราะผมคิดอยู่เสมอว่า ถ้าจะมาคุยกับผม หรือ ถ้ามาคบกับผม
เราควรพากันไปหาแต่สิ่งดีดี ไม่ใช่เสียการเสียงานแบบนี้
เหมือนกับแฟนเก่าของเธอ ที่เธอเคยบอกไว้ว่า
เธอไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเค้าแม้แต่ครั้งเดียว
โดยที่เธอ อยู่ในสถานะแฟน หรือ คนรัก ที่คบกันมา 8 ปี
เค้าที่มีรถ แต่ไม่ยอมขับรถไปรับเธอในวันที่ฝนตก
เพียงเพราะว่ารถพึ่งล้าง แต่ขับมอเตอร์ไซค์ไปรับเธอ
ปล่อยให้เธอนั่งซ้อนไปแบบนั้น ด้วยความทุลักทุเล
และ เธอเป็นคนออกค่าอาหารแทบทุกมื้อ แต่เพียงผู้เดียวมาโดยตลอด 8 ปี
ไม่มีแม้แต่การถามไถ่เวลาเจอหน้ากัน
ว่าเธอหิวมั้ย เหนื่อยมั้ย
ทั้งที่เธอต้องการแค่การถามด้วยความห่วงใย จากคนรัก
ไม่ได้ต้องการให้เค้ามาเลี้ยงอะไรเธอ
ไม่ได้ต้องการให้เค้ามาดูแลอะไรเธอมากมาย
แค่เศษเสี้ยวความห่วงใย
ที่เธอเคยได้รับจากเค้าในตอนแรกๆที่คบกัน
แค่พูดขึ้นมาอีกครั้งให้เธอคิดถึงวันเก่าๆเหล่านั้น ก็ยังไม่มี
ผมไม่รู้ว่าความดีที่ผมมี
ที่คอยกำชับเธอในเรื่องการงาน
เป็นห่วงเธอในเรื่องสุขภาพ และ การพักผ่อน
มันจะอยู่แบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่
หากว่าเธอนั้นมีใจให้ผมบ้าง
หากว่าอย่างน้อยแค่คอยเติมพลังใจให้ผม
ผมจะอยู่กับเธอไปอีกนานเท่าที่ผมจะทำได้ ด้วยตัวของผม สองมือของผม
แม้ผมจะไม่สัญญา แต่ผมจะทำให้คุณเห็นเหมือนเช่นทุกครั้ง
เพราะมันเป็นแบบนี้ตลอดมา
และหากว่าสุดท้ายตรงนี้ จะไม่มีเหลือแม้ที่ยืนให้ผม
ก็หวังว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันในความฝันที่ใดที่หนึ่ง
"อยากให้เธอนั้นได้นอนหลับฝัน
จินตนาการว่ามีเธอกับฉัน
อยู่ด้วยกันในราชวังของเรา จะมีเพียงแค่วันของเรา
โอ๋ที่รัก ยามเธอนอนหลับไหล
ไม่มีฉันแล้วเธอนอนหลับไหม?
นอนด้วยกันมันจะดีกว่าไหม?
Come with me to our galaxy!"