คืนวันพรุ่งนี้ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 จะเกิดปรากฎการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง ซึ่งจะเห็นได้ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงก่อนดวงจันทร์ขึ้นเล็กน้อยไปจนถึงประมาณ 5 ทุ่มก็จะสิ้นสุดการเกิดจันทรุปราคาครั้งนี้
เป็นที่รู้กันว่า จันทรุปราคาเกิดขึ้นจากการที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ มาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน ทำให้เงาของโลกบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่จะไปตกกระทบดวงจันทร์ จึงทำให้เราเห็นดวงจันทร์มืดลงกว่าปรกติ (แต่ยังเห็นได้เพราะมีแสงบางส่วนหักเหผ่านชั้นบรรยากาศโลกไปได้)
จันทรุปราคาจะเกิดขึ้นในช่วงวันเพ็ญ ซึ่งดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกวันเพ็ญจะเกิดขึ้นจันทรุปราคาเสมอ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะระนาบวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันกับระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์พอดี แต่เอียงไปราว 5 องศา ดังนั้นเราจึงจะเห็นดวงจันทร์อยู่ทางเหนือของระนาบอิคลิปติก (ระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์) บ้าง หรืออยู่ใต้ลงไปบ้าง
อย่างไรก็ตามระหว่างวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลก กับระนาบอิคิลปติก ก็จะมีจุดตัดกันอยู่สองจุด ที่เรียกว่า "โหนด" (Node) ซึ่งมีอยู่ 2 จุด คือ โหนดขึ้น (ascending or north node) คือจุดที่ระนาบวงโคจรของดวงจันทร์จะตัดขึ้นจากทางใต้ไปทางเหนือ กับโหนดลง (Descending or south node) คือจุดที่ระนาบวงโคจรของดวงจันทร์จะตัดลงจากทางเหนือไปทางใต้

จุดโหนดดังกล่าวนี้มีความสำคัญต่อการเกิดอุปราคา กล่าวคือ จันทรุปราคาจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนที่มาใกล้ ๆ กับบริเวณจุดโหนดฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เงาของโลกไปตกอยู่ที่จุดโหนดฝั่งตรงข้าม ดังนั้นเมื่อดวงจันทร์โคจรมาถึงก็จะผ่านเข้าไปในเงาของโลกและเกิดจันทรุปราคาขึ้น ในเวลาเดียวกัน เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใกล้จุดโหนดแล้วดวงจันทร์มาถึงวันดับ มันก็จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์และเกิดสุริยุปราคาขึ้นเช่นกัน ซึ่งช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์มาอยู่ใกล้ ๆ จุดโหนดดังกล่าวนี้เองที่เรียกกันว่า "ฤดูอุปราคา" (Eclipse season)

เนื่องจากจุดโหนดมีสองจุด คือโหนดขึ้นกับโหนดลง ดังนั้นในแต่ละปี จะมีฤดูอุปราคาอย่างน้อย 2 ครั้ง คือเมื่อดวงอาทิตย์เข้าใกล้จุดโหนดขึ้นครั้งหนึ่ง และเมื่อเข้าใกล้จุดโหนดลงอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อดวงจันทร์ ทำให้จุดโหนดทั้งสองจุดจะไม่อยู่คงที่ แต่จะเคลื่อนที่สวนทางกับการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ผลก็คือทำให้ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่มาจนถึงจุดโหนดข้างเดิมเร็วกว่าเวลา 1 ปีเล็กน้อย คือใช้เวลาเพียง 346.6 วันเท่านั้น (บางครั้งเรียกว่า ปีอุปราคา) ดังนั้น ฤดูอุปราคาในแต่ละปีจึงจะค่อย ๆ เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับปีปฏิทินไปด้วย เช่น เมื่อดูวันที่เกิดจันทรุปราคาช่วงโหนดขึ้น ตั้งแต่ปี 2016-2020 จะเป็น
2016 เกิดวันที่ 23 มี.ค.
2017 เกิดวันที่ 11 ก.พ.
2018 เกิดวันที่ 31 ม.ค.
2019 เกิดวันที่ 21 ม.ค.
2020 เกิดวันที่ 10 ม.ค. และอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ย.
ข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_21st-century_lunar_eclipses
ปี 2020 จะเห็นว่าเกิดจันทรุปราคาในช่วงโหนดขึ้นถึง 2 รอบ เนื่องจากปีอุปราคาสั้นกว่าปีปฏิทิน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะเกิดฤดูอุปราคา 3 รอบในปีเดียว คือปลายปีก่อนต่อต้นปีนี้ กลางปี และปลายปีต่อต้นปีหน้า
ช่วงฤดูอุปราคาแต่ละครั้งนั้นจะเริ่มตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์อยู่ทางฝั่งตะวันตกของโหนดประมาณ 17 องศา ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถจะเกิดสุริยุปราคาบางส่วนหรือจันทรุปราคาเงามัวที่บังกันน้อยสุดเท่าที่จะเห็นได้บนโลก และจบลงเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโหนดมาทางตะวันออก 17 องศาเช่นกัน ดังนั้นฤดูอุปราคาจึงกินเวลายาวนานเฉลี่ยประมาณ 34-35 วัน ซึ่งยาวกว่าเวลา 1 เดือนจันทรคติเล็กน้อย ดังนั้นในฤดูอุปราคาแต่ละครั้ง จะต้องเกิดจันทรุปราคาอย่างน้อย 1 ครั้ง และสุริยุปราคาอย่างน้อย 1 ครั้งเสมอ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากฤดูอุปราคายาวกว่าเวลา 1 เดือนจันทรคติ จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาถึง 2 ครั้งในฤดูอุปราคาเดียว ถ้าหากว่าเกิดจันทรุปราคาครั้งแรกเมื่อต้นฤดู และไปเกิดอีกครั้งในช่วงปลายฤดู ดังเช่นเมื่อปี 2016 ได้เกิดจันทรุปราคา 2 ครั้งติดกันในช่วงเดือนเดียว คือเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม และ 16 กันยายน แต่ว่า...หากเกิดจันทรุปราคาสองครั้งในฤดูอุปราคาเดียวกัน ทั้งสองครั้งนั้นก็จะเป็นจันทรุปราคาในเงามัว หรือจันทรุปราคาบางส่วนที่บังกันน้อยมาก ๆ เช่นเดียวกับสุริยุปราคาถ้าเกิดขึ้นสองครั้งในฤดูอุปราคาเดียวกัน ก็จะเป็นสุริยุปราคาบางส่วนทั้งสองครั้ง
ส่วนอุปราคาแบบเต็มดวงนั้น จะเกิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในฤดูอุปราคาแต่ละรอบ
ดังนั้นในแต่ละปี จะเกิดจันทรุปราคาอย่างน้อยที่สุด 2 ครั้ง และอาจจะมากที่สุดได้ถึง 5 ครั้ง แต่ยากมาก ส่วนใหญ่เต็มทีก็ 4 ครั้ง เช่นในปี 2020 ที่จะถึงนี้ ก็จะมีจันทรุปราคา 4 ครั้ง คือวันที่ 10 ม.ค. 5 มิ.ย. 5 ก.ค. และ 30 พ.ย. แต่น่าเสียดายว่าทั้ง 4 ครั้งเป็นจันทรุปราคาในเงามัวซึ่งสังเกตได้ยากและไม่น่าสนใจมากนัก
(ความรู้เกี่ยวกับจันทรุปราคา) แต่ละปี จะเกิด "จันทรุปราคา" ได้กี่ครั้ง
เป็นที่รู้กันว่า จันทรุปราคาเกิดขึ้นจากการที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ มาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน ทำให้เงาของโลกบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ที่จะไปตกกระทบดวงจันทร์ จึงทำให้เราเห็นดวงจันทร์มืดลงกว่าปรกติ (แต่ยังเห็นได้เพราะมีแสงบางส่วนหักเหผ่านชั้นบรรยากาศโลกไปได้)
จันทรุปราคาจะเกิดขึ้นในช่วงวันเพ็ญ ซึ่งดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกวันเพ็ญจะเกิดขึ้นจันทรุปราคาเสมอ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะระนาบวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลกไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันกับระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์พอดี แต่เอียงไปราว 5 องศา ดังนั้นเราจึงจะเห็นดวงจันทร์อยู่ทางเหนือของระนาบอิคลิปติก (ระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์) บ้าง หรืออยู่ใต้ลงไปบ้าง
อย่างไรก็ตามระหว่างวงโคจรของดวงจันทร์รอบโลก กับระนาบอิคิลปติก ก็จะมีจุดตัดกันอยู่สองจุด ที่เรียกว่า "โหนด" (Node) ซึ่งมีอยู่ 2 จุด คือ โหนดขึ้น (ascending or north node) คือจุดที่ระนาบวงโคจรของดวงจันทร์จะตัดขึ้นจากทางใต้ไปทางเหนือ กับโหนดลง (Descending or south node) คือจุดที่ระนาบวงโคจรของดวงจันทร์จะตัดลงจากทางเหนือไปทางใต้
จุดโหนดดังกล่าวนี้มีความสำคัญต่อการเกิดอุปราคา กล่าวคือ จันทรุปราคาจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนที่มาใกล้ ๆ กับบริเวณจุดโหนดฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เงาของโลกไปตกอยู่ที่จุดโหนดฝั่งตรงข้าม ดังนั้นเมื่อดวงจันทร์โคจรมาถึงก็จะผ่านเข้าไปในเงาของโลกและเกิดจันทรุปราคาขึ้น ในเวลาเดียวกัน เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ใกล้จุดโหนดแล้วดวงจันทร์มาถึงวันดับ มันก็จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์และเกิดสุริยุปราคาขึ้นเช่นกัน ซึ่งช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์มาอยู่ใกล้ ๆ จุดโหนดดังกล่าวนี้เองที่เรียกกันว่า "ฤดูอุปราคา" (Eclipse season)
เนื่องจากจุดโหนดมีสองจุด คือโหนดขึ้นกับโหนดลง ดังนั้นในแต่ละปี จะมีฤดูอุปราคาอย่างน้อย 2 ครั้ง คือเมื่อดวงอาทิตย์เข้าใกล้จุดโหนดขึ้นครั้งหนึ่ง และเมื่อเข้าใกล้จุดโหนดลงอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากแรงดึงดูดของโลกที่กระทำต่อดวงจันทร์ ทำให้จุดโหนดทั้งสองจุดจะไม่อยู่คงที่ แต่จะเคลื่อนที่สวนทางกับการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ผลก็คือทำให้ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่มาจนถึงจุดโหนดข้างเดิมเร็วกว่าเวลา 1 ปีเล็กน้อย คือใช้เวลาเพียง 346.6 วันเท่านั้น (บางครั้งเรียกว่า ปีอุปราคา) ดังนั้น ฤดูอุปราคาในแต่ละปีจึงจะค่อย ๆ เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับปีปฏิทินไปด้วย เช่น เมื่อดูวันที่เกิดจันทรุปราคาช่วงโหนดขึ้น ตั้งแต่ปี 2016-2020 จะเป็น
2016 เกิดวันที่ 23 มี.ค.
2017 เกิดวันที่ 11 ก.พ.
2018 เกิดวันที่ 31 ม.ค.
2019 เกิดวันที่ 21 ม.ค.
2020 เกิดวันที่ 10 ม.ค. และอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ย.
ข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_21st-century_lunar_eclipses
ปี 2020 จะเห็นว่าเกิดจันทรุปราคาในช่วงโหนดขึ้นถึง 2 รอบ เนื่องจากปีอุปราคาสั้นกว่าปีปฏิทิน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะเกิดฤดูอุปราคา 3 รอบในปีเดียว คือปลายปีก่อนต่อต้นปีนี้ กลางปี และปลายปีต่อต้นปีหน้า
ช่วงฤดูอุปราคาแต่ละครั้งนั้นจะเริ่มตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์อยู่ทางฝั่งตะวันตกของโหนดประมาณ 17 องศา ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถจะเกิดสุริยุปราคาบางส่วนหรือจันทรุปราคาเงามัวที่บังกันน้อยสุดเท่าที่จะเห็นได้บนโลก และจบลงเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโหนดมาทางตะวันออก 17 องศาเช่นกัน ดังนั้นฤดูอุปราคาจึงกินเวลายาวนานเฉลี่ยประมาณ 34-35 วัน ซึ่งยาวกว่าเวลา 1 เดือนจันทรคติเล็กน้อย ดังนั้นในฤดูอุปราคาแต่ละครั้ง จะต้องเกิดจันทรุปราคาอย่างน้อย 1 ครั้ง และสุริยุปราคาอย่างน้อย 1 ครั้งเสมอ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากฤดูอุปราคายาวกว่าเวลา 1 เดือนจันทรคติ จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาถึง 2 ครั้งในฤดูอุปราคาเดียว ถ้าหากว่าเกิดจันทรุปราคาครั้งแรกเมื่อต้นฤดู และไปเกิดอีกครั้งในช่วงปลายฤดู ดังเช่นเมื่อปี 2016 ได้เกิดจันทรุปราคา 2 ครั้งติดกันในช่วงเดือนเดียว คือเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม และ 16 กันยายน แต่ว่า...หากเกิดจันทรุปราคาสองครั้งในฤดูอุปราคาเดียวกัน ทั้งสองครั้งนั้นก็จะเป็นจันทรุปราคาในเงามัว หรือจันทรุปราคาบางส่วนที่บังกันน้อยมาก ๆ เช่นเดียวกับสุริยุปราคาถ้าเกิดขึ้นสองครั้งในฤดูอุปราคาเดียวกัน ก็จะเป็นสุริยุปราคาบางส่วนทั้งสองครั้ง
ส่วนอุปราคาแบบเต็มดวงนั้น จะเกิดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในฤดูอุปราคาแต่ละรอบ
ดังนั้นในแต่ละปี จะเกิดจันทรุปราคาอย่างน้อยที่สุด 2 ครั้ง และอาจจะมากที่สุดได้ถึง 5 ครั้ง แต่ยากมาก ส่วนใหญ่เต็มทีก็ 4 ครั้ง เช่นในปี 2020 ที่จะถึงนี้ ก็จะมีจันทรุปราคา 4 ครั้ง คือวันที่ 10 ม.ค. 5 มิ.ย. 5 ก.ค. และ 30 พ.ย. แต่น่าเสียดายว่าทั้ง 4 ครั้งเป็นจันทรุปราคาในเงามัวซึ่งสังเกตได้ยากและไม่น่าสนใจมากนัก