สวัสดีครับ มันอาจจะแปลกๆหน่อย, คือผมอยากจะรบกวนขอข้อมูลจากเพื่อนๆ ที่ทำงานสจ๊วตหรือแอร์ฮอสเตจก็ได้ครับ
เรื่องของผมมีอยู่ว่า
ย้อนไปซัก 6-7 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาไม่ค่อยแน่ชัดเท่าไหร่ครับ, ผมเป็นผู้ชายคนนึงที่มีปัญหากับคนรัก ก็ประมาทว่าความสัมพันธ์ไม่คืบหน้า แม้จะคบกันมานานประมาณ 5 ปี, ทำให้คนรักของเราไม่แน่ใจในตัวเรา และก็ห่างๆกันไป ไม่นานเค้าก็ไปเจอคนที่ใช่สำหรับเค้า, ตอนนั้นเราเด็กๆก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เกิดคำถามมากมายในใจ ทุกข์มาก - เป็นช่วงที่คนใหม่เค้าเข้ามา แต่เราก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่ เป็นช่วงรอยต่อของความสัมพันธ์ - อาจเพราะเราผูกพันธ์กันมากครับ มันก็เลยไม่ได้ตัดขาดชัดเจนทันที - แต่สุดท้ายก็ตัดใจ และก็พยายามไม่ติดต่อกันอีกถ้าไม่จำเป็น, 2ปีถัดจากนี้ เค้าก็แต่งงานกัน
สำหรับฝั่งของผม หลังจากที่ต้องเลิกรากับรักครั้งนั้นไป ก็ค่อนข้างเฮิร์ทมากทีเดียว แต่ก็ยังประคับประคองจิตใจให้ดูปกติ เพื่อที่จะทำงานทำการได้ และไม่ให้คนทางบ้านเป็นห่วงเราด้วย (เพราะสมัยเรียนเคยเฮิร์ทหนักจนไม่เป็นอันเรียนอันทำอะไรเลยทีเดียว)
ในช่วงนั้น ผมไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย คือมันอาจจะไม่ได้มีผลกับการดำเนินชีวิตมาก แต่เรารู้สึกได้ว่าในใจของเรามันไม่ปกติ มันคิดถึงแต่เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ทุกช่วงเวลา ช่วงที่ดี ช่วงที่ร้าย ช่วงที่เค้าค่อยๆไปจากเรา, มันค่อนข้างบ่อนทำลายจิตใจของเราไปเรื่อยๆ ผมไม่แน่ใจว่าแบบนี้หรือเปล่าที่เป็นลักษณะของโรคซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม, วันนึงผมได้เห็นรูปเพื่อนของผมทาง Facebook เป็นรูปงานสังสรรค์ปาตี้กับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย, และผมก็ไปสะดุดเข้ากับเพื่อนผู้หญิงคนนึงของเค้า เป็นการสะดุดที่ดีครับ เพราะตลอดช่วงเวลาที่เราเฝ้านึกถึงแต่เรื่องราวของความรักครั้งเก่า มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย ไม่เคยจะออกนอกหัวตัวเองไปมองใครๆ สภาพเราก็ดูไม่ได้เลยช่วงที่เฮิร์ท, การสะดุดครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของผมครับ
ผมก็ถามๆเพื่อนดูว่า เธอคนนี้เป็นใครเหรอ ชื่ออะไร น่ารักดีนะ คิดว่าเราพอจะลองคุยๆกับเค้าได้ไหม, เพื่อนผมก็บอกว่า ลองคุยดูได้นะคนนี้ - ผมจึง Add friend ไปทาง Facebook, เค้าก็รับ Add (แต่ต้องเข้าใจนะครับเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว Social Media ยังไม่แพร่หลายขนาดนี้ ยังเป็นช่วงเริ่มๆจะเป็นที่นิยม, ก่อนหน้านั้นจะมีพวก Blog ต่างๆใช่ไหมครับ อย่าง Multiply ที่คนนิยมเอารูปและเรื่องราวมาแชร์)
แต่ผมก็เป็นคนที่ขี้อายครับตอนนั้น และการจะจีบสาวทาง Social สมัยนั้นน่าจะยังไม่เฟื่องฟูมั้งและผมเองก็คิดด้วยแหละว่าจีบสาว มันน่าจะโทรศัพท์คุยกันน้า, อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้รู้จักกับเธอมากขึ้นผ่านทาง Facebook ครับ, เธออัพเดทเรื่องราวค่อนข้างเยอะทีเดียว เพราะเธอเดินทางบ่อยๆ, ใช่ครับ เธอเป็นแอร์ฮอสเตจ
เมื่อก่อนเธอจะบินไปญี่ปุ่นและฮาวายบ่อยมากๆ และก็จะมีรูปเวลาช่วงว่างพักผ่อนมาอัพเดทตลอด ทุกๆอย่างที่ผมรับรู้ในช่วงนั้น คือเธอเป็นคนที่ยิ้มแย้มเสมอ มีความสุขเสมอ ออร่าของความสดใสของเธอ เหมือนมันส่งผ่านมาถึงเราได้ และทำให้เรารู้สึกสดใสตามไปด้วย - ตอนนั้นแค่ติดตามดูเพจของเธอเฉยๆ มีไลค์บ้าง คอมเม้นบ้างเท่าที่ทำได้ เท่าที่เหมาะสม ไม่ได้พยายามจะทำความรู้จักอะไรมากนัก ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนทาง
Facebook ทั่วๆไป - แต่ตอนนั้นเองที่ ผมคิดว่าผมกลายเป็นแฟนคลับของเธอไปเสียแล้ว
สิ่งสำคัญจากย่อหน้าข้างบนก็คือ ผมไม่ได้เศร้ากับความรักครั้งเก่าอีกต่อไปแล้ว มันรวดเร็ว มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ, ผมรู้สึกขอบคุณเธอมากๆ ที่ทำให้ผมผ่านพ้นช่วงเวลาแย่ๆมาได้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อผม เธอเพียงแต่ใช้ชีวิตปกติของเธอ, เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร ผมเป็นเพียงแค่นายคนนึงที่เป็นเพื่อนทาง Facebook ของเธอเท่านั้น
สิ่งที่ดีที่สุดที่มันเกิดขึ้นคือ ทัศนคติในการดำเนินชีวิตของผมเปลี่ยนไปจริงๆ, ผมไม่เคยเศร้าอีกเลย มองโลกในแง่ดีเสมอๆ ไม่ใช่กับแค่กับเรื่องบางเรื่อง ผมอยากจะยิ้มแย้ม อยากมีความสุขเท่าที่จะทำได้ในเวลานั้นๆ, ไม่ใช่ว่าผมเห็นว่าความเศร้ามันไม่ดีเลยหนีออกมา แต่เป็นเพราะว่าเราเห็นว่าความสุขความสดใสมันมีประโยชน์มากกว่า ไม่ว่าจะกับตัวเราเองหรือกับคนอื่นรอบข้าง และแน่นอนว่า เธอคือแรงบันดาลใจที่สำคัญที่ทำให้ผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไป
เมื่อตระหนักได้แบบนั้น ผมก็เริ่มอยากจะตอบแทนเธอ และอยากจะรู้จักเธอมากขึ้น, ผมส่งของขวัญวันเกิดให้เธอ เป็นของเล็กๆน้อยๆบ้าง เป็นของที่จะพอเรียกว่าเป็นของขวัญได้บ้าง เพราะต้องบอกตรงๆว่า ความรู้สึกที่เรามีต่อเค้ามันไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่ผู้ชายมีให้ผู้หญิงคนนึงซะทีเดียว มันเป็นความรู้สึกชื่นชมเค้ามากกว่า, แต่ก็ไม่ปฏิเสธครับ ว่าผมก็มีความรู้สึกแบบผู้ชายคนนึงที่ชอบผู้หญิงคนนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราส่งของขวัญให้เธอ พยายามเริ่มทักทายและพูดคุยกับเธอมากขึ้นๆ ก็ดูเหมือนเธอจะรู้แล้วว่าผมแอบชอบเธอ และเธอก็บอกกับผมตรงๆว่า เธอมีแฟนแล้ว และไม่ได้สนใจในตัวผมมากไปกว่าการเป็นเพื่อนคนนึง
ผมไม่ได้เสียใจอะไรมากนัก เพียงแต่หลังจากที่เธอบอกกับผม ก่อนที่ผมจะได้อธิบายหรือบอกอะไรให้เธอเข้าใจว่า ผมรู้สึกกับเธอยังไงหรือผมเข้ามาอยากทำความรู้จักกับเธอเพราะอะไร, ผมรู้สึกว่ามันไม่สามารถพูดออกไปให้เธอรู้ได้ เพราะไม่ว่าผมจะพุดอะไรออกไปตอนนี้ มันก็แค่เป็นคำพูดของผู้ชายคนนึงที่เข้ามาสนใจหรือเข้ามาจีบ หรือเข้ามาเพื่อทำให้เธอประทับใจ, ผมจึงตัดสินใจว่าคงจะไม่เหมาะที่จะบอกเรื่องนี้ให้เธอรับรู้ และเก็บไว้กับตัวเอง
เรายังเป็นเพื่อนใน Facebook กันต่อมา, ก็ปฏิบัติเหมือนเพื่อนทางเฟส, ผมก็ปฏิบัติตัวเหมือนปกติ ก็ไลค์รูป คอมเม้นบ้างตามความเหมาะสม, ส่วนเธอก็ระวังการไลค์หรือคอมเม้นโพสต์ของผม เพื่อไม่ให้เป็นการให้ความหวังกับผม - สำหรับผมแล้ว มันยังเป็นเรื่องดีๆ เป็นความรู้สึกดีๆเสมอๆ, เวลาเราเห็นหน้าเค้าในวอล ผมจะอมยิ้มขึ้นมาเองเสมอๆ ไม่ว่ายังไงๆ ณ ตำแหน่งที่เราอยู่ตรงนี้ แม้จะไม่ได้ใกล้มาก แต่ก็ยังยิ้มได้ มีความสดใส ของเธออยู่เหมือนเดิมเสมอๆ
ผมยังคงอยากส่งความรู้สึกถึงเธออยู่และยังคงส่งของขวัญวันเกิดให้เธอทุกๆปีเรื่อยมา เพราะผมอยากให้มีเค้าอยู่ในชีวิตของเราและผมก็อยากจะเป็นส่วนเล็กๆในชีวิตของเค้าด้วยเช่นกัน เพียงเล็กน้อยก็ยังดี แม้ว่าเราจะเป็นแค่เพื่อนห่างๆกันเท่านั้น, ของขวัญวันเกิดในปีล่าสุด ผมเลือกซื้อหนังสือรวมภาพแมวข้างถนนให้เธอ เพราะเธอก็เป็นคนนึงที่ชื่นชอบความน่ารักของเจ้าเหมียว และยังเลี้ยงมันด้วย, ปกติผมจะส่งของขวัญไปที่บ้านเธอ ฝากเพื่อนส่งแทนบ้าง แต่ช่วงปีหลังๆมานี้งานของผมทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางด้วยเครื่องบินเดือนละ 1 ครั้ง(ภายในประเทศ) - ประกอบกับเธอเองก็เปลี่ยนที่ทำงานจากสุวรรณภูมิมาเป็นที่ดอนเมืองด้วย ผมจึงเอาของขวัญไปฝากที่ออฟฟิสของเธอ แปะโน๊ตและฝากเคาเตอร์หน้าออฟฟิสของเธอไว้
นานๆทีผมจะทักทายเธอบ้างทางไลน์ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมากมาย ก็ถามสาระทุกข์สุขดิบเธอ แล้วก็จะเจื่อนๆไม่มีเรื่องคุยต่อ, แล้วก็ Have a nice day หรือรักษาสุขภาพนะครับ อะไรทำนองนี้เพื่อจบการสนทนา
แต่หลังจากส่งของขวัญไปประมาณ 2 สัปดาห์ เธอก็เป็นฝ่ายทักไลน์มาครับ - และบอกกับผมว่า ขอบคุณสำหรับของขวัญจริงๆ แต่เธอรู้สึกลำบากใจที่ผมทำอะไรแบบนี้ ส่งมาให้ทุกๆปีเลย แต่คราวหน้าแค่อวยพรวันเกิดก็พอแล้วหละค่ะ
ผมเข้าใจครับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและก็คิดมาตลอดว่าซักวันคงจะเกิดขึ้นแบบนี้ - ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรครับ เพียงแต่... นึกออกไหมครับ, ความรู้สึกมันเป็นแบบ เวลาที่เรารับรู้ความจริงที่ว่า ไม่อาจทำสิ่งที่คิดว่าเราพอจะทำได้ อย่างขอแค่เรื่องเล็กๆเท่านั้นเอง, แม้แต่แบบนี้ก็ทำไม่ได้เหรอ?
มันยากเหมือนกันนะครับ ที่เราจำเป็นจะต้องปรับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ว่าแบบไหน ทางไหน คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเรา และเหมาะสมกับคนรอบข้างรอบตัวเรา และแน่นอนว่าเราไม่มีทางลืมคำนึงถึงเค้าคนนั้นเสมอๆ
ผมใช้เวลาไม่นานเลยสำหรับการปรับความรู้สึกตัวเอง เร็วกว่าที่คาด จัดสรรค์ตำแหน่งใหม่ให้ตัวเอง บอกตัวเองว่า นี่ความสัมพันธ์แบบเดิมที่โคตรจะจางอยู่แล้ว ตอนนี้นี่มันยิ่งกว่าจางในจางแล้วนะ, คิดว่าเราควรจะลดอิทธิพลของเธอที่มีต่อตัวเราให้น้อยลง เพื่อให้ความรู้สึกของเราที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปให้ได้ เปลี่ยนมาเป็นแบบธรรมดาทั่วไปให้ได้
คิดว่าต้องหยุดเสพความเป็นไปของเธอ, ไม่ควรจะรู้สึกปลื้มเธอเว่อเกินทุกครั้งที่เห็นเธออัพรูปลงโซเชียล, ผมจึง Unfriend เธอไปใน Facebook แต่ก็คิดว่าจะหักดิบไปเลยก็ยากเกิน จึงยังคงติดตามเธอทาง Instagram อยู่, คิดว่านานๆทีเห็นเธออัพรูปใน Instagram ก็น่าจะโอเค
ทำแบบนี้มาจนถึงปัจจุบันครับ
แต่ผมยังนึกถึงเธอเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนๆ,
เวลาที่เรามีความสุข,
เวลาที่ต้องเดินทาง,
เวลาที่เห็นอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น,
เวลาที่เห็นอะไรเกี่ยวกับแมว,
เวลาที่เห็นทะเล,
เวลาที่เห็นสระว่ายน้ำ,
เวลาที่เห็นเครื่องบิน,
เวลาที่เห็นกลุ่มนางฟ้าสีแดง,
เวลาที่เห็น Mina - Twice,
เวลาที่เห็นรูปพระอาทิตย์ขึ้น
ให้ตายเถอะ ผมพึ่งรู้ว่าผมไม่ได้ดีขึ้น หรือควบคุมตัวเองได้อย่างที่คิดไว้เลย
มันผิดกับที่ตั้งใจเอาไว้
----------------------------------------------------------------------
ตรงนี้คือผมพึ่งกลับมาเขียนต่อครับ จากที่เขียนทิ้งไว้ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว, ผมหวังว่าเวลาอาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดความรู้สึกของผมได้หมดจด และให้ทั้งหมดที่เขียนมาเป็นแค่การระบายความในใจ, ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะไม่อยากทำมันต่อแล้วก็ได้ถ้าเวลาผ่านไปแบบนี้เรื่อยๆ
"อาจจะไม่อยากทำมัน" ใช่ครับ.... จริงๆแล้วผมยังไม่ได้บอกเพื่อนๆเลยว่าผมต้องการให้เพื่อนๆช่วยอะไรตามย่อหน้าแรกที่บอกเอาไว้
ตั้งแต่20กว่าๆ จนตอนนี้จะ 30กว่า ขวบแล้ว - ผมอยากพบเธอคนนี้ครับ, คือเมื่อเราอายุมากขึ้น เราก็แก่ครับ ไม่มีทางดูดีได้เทียบเท่ากับตอนวัยรุ่น ผมก็น้อยลงๆ ฮ่าๆ ใช่ครับ ผมอยากเจอเธอในสภาพที่ตัวเองยังพอดูได้อยู่ ...แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องพบเจอทักทายกันนะครับ ผมแค่อยากเห็นตัวจริงของเธอ อยากเห็นอริยาบถของเธอ อยากเห็นบุคลิกของเธอ อยากเห็นรอยยิ้ม อยากพบตัวตนจริงๆของเธอซักครั้งครับ
แต่จากที่พูดมาทั้งหมด ความสัมพันธ์ที่ซุปเปอร์จางขนาดนี้ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมจะสามารถพบเธอได้ด้วยวิธีใดบ้าง อย่างเหมาะสม, เหมาะสมสำหรับเธอ และผมเองก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พอทำได้
ผมนึกอะไรไม่ออกเลยนอกจาก "ได้พบเธอในเวลาที่เธอทำงานน่าจะเหมาะสมที่สุด"
"การที่เราจะจับเครื่องบิน เดินทางไปที่ไหนก็ได้ เพียงเพื่อจะได้เข้าใกล้, ได้เจอกับใครซักคน ได้เฝ้ามองเธอช่วงระยะเวลานึง โดยที่เราไม่รู้ได้เลยว่าเค้าจะดูแลไฟลท์ไหน"
มันเป็นไปได้ไหมครับ, มีวิธีใดบ้างที่ผมจะทราบตารางงานของเธอ เพื่อที่จะทำตามย่อหน้าข้างบน
ผมคิดเรื่องนี้มานานมากๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้, เหมือนกับการที่เขียนมาขอคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือจากเพื่อนๆในพันทิปนี้ ผมก็ลังเลอยู่นานมากๆ ผมกลัวครับ,
กลัวว่าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นกับเธอถ้าเธอทราบเรื่องนี้,
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าผมคงจะตัดสินใจโพสต์ข้อความนี้ลงไปถามเพื่อนๆในพันทิปครับ และหวังว่าจะพอมีวิธีที่ทำให้ความตั้งใจของผมเกิดขึ้นได้บ้าง
ผมเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องยากมากๆที่เราจะทราบตารางงานของเธอหรือเพื่อนๆที่ทำงานแอร์ฮอสเตจและสจ๊วต ด้วยเรื่องความปลอดภัย คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แม้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจอาจจะไม่เกิดขึ้น จะด้วยอะไรก็ตาม, ขอขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำล่วงหน้านะครับ
/ รวมถึงเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน มารับแชร์เรื่องราวและความรู้สึกของผม,
ผมคิดว่า ยังไงซักวันนึงผมคงได้เจอเธอจริงๆหนะหละ และมันคงตลกดี ที่ผมเอากระทู้นี้ให้เธออ่านครับ...
ขอให้วันนี้เป็นวันที่สดใสของเพื่อนๆทุกๆคนครับ
ผมอยากจะรบกวนขอข้อมูลจากเพื่อนๆ ที่ทำงานสจ๊วตหรือแอร์ฮอสเตจก็ได้ครับ
เรื่องของผมมีอยู่ว่า
ย้อนไปซัก 6-7 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาไม่ค่อยแน่ชัดเท่าไหร่ครับ, ผมเป็นผู้ชายคนนึงที่มีปัญหากับคนรัก ก็ประมาทว่าความสัมพันธ์ไม่คืบหน้า แม้จะคบกันมานานประมาณ 5 ปี, ทำให้คนรักของเราไม่แน่ใจในตัวเรา และก็ห่างๆกันไป ไม่นานเค้าก็ไปเจอคนที่ใช่สำหรับเค้า, ตอนนั้นเราเด็กๆก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เกิดคำถามมากมายในใจ ทุกข์มาก - เป็นช่วงที่คนใหม่เค้าเข้ามา แต่เราก็ยังอยู่ที่เดิมอยู่ เป็นช่วงรอยต่อของความสัมพันธ์ - อาจเพราะเราผูกพันธ์กันมากครับ มันก็เลยไม่ได้ตัดขาดชัดเจนทันที - แต่สุดท้ายก็ตัดใจ และก็พยายามไม่ติดต่อกันอีกถ้าไม่จำเป็น, 2ปีถัดจากนี้ เค้าก็แต่งงานกัน
สำหรับฝั่งของผม หลังจากที่ต้องเลิกรากับรักครั้งนั้นไป ก็ค่อนข้างเฮิร์ทมากทีเดียว แต่ก็ยังประคับประคองจิตใจให้ดูปกติ เพื่อที่จะทำงานทำการได้ และไม่ให้คนทางบ้านเป็นห่วงเราด้วย (เพราะสมัยเรียนเคยเฮิร์ทหนักจนไม่เป็นอันเรียนอันทำอะไรเลยทีเดียว)
ในช่วงนั้น ผมไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย คือมันอาจจะไม่ได้มีผลกับการดำเนินชีวิตมาก แต่เรารู้สึกได้ว่าในใจของเรามันไม่ปกติ มันคิดถึงแต่เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ทุกช่วงเวลา ช่วงที่ดี ช่วงที่ร้าย ช่วงที่เค้าค่อยๆไปจากเรา, มันค่อนข้างบ่อนทำลายจิตใจของเราไปเรื่อยๆ ผมไม่แน่ใจว่าแบบนี้หรือเปล่าที่เป็นลักษณะของโรคซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม, วันนึงผมได้เห็นรูปเพื่อนของผมทาง Facebook เป็นรูปงานสังสรรค์ปาตี้กับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย, และผมก็ไปสะดุดเข้ากับเพื่อนผู้หญิงคนนึงของเค้า เป็นการสะดุดที่ดีครับ เพราะตลอดช่วงเวลาที่เราเฝ้านึกถึงแต่เรื่องราวของความรักครั้งเก่า มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย ไม่เคยจะออกนอกหัวตัวเองไปมองใครๆ สภาพเราก็ดูไม่ได้เลยช่วงที่เฮิร์ท, การสะดุดครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของผมครับ
ผมก็ถามๆเพื่อนดูว่า เธอคนนี้เป็นใครเหรอ ชื่ออะไร น่ารักดีนะ คิดว่าเราพอจะลองคุยๆกับเค้าได้ไหม, เพื่อนผมก็บอกว่า ลองคุยดูได้นะคนนี้ - ผมจึง Add friend ไปทาง Facebook, เค้าก็รับ Add (แต่ต้องเข้าใจนะครับเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว Social Media ยังไม่แพร่หลายขนาดนี้ ยังเป็นช่วงเริ่มๆจะเป็นที่นิยม, ก่อนหน้านั้นจะมีพวก Blog ต่างๆใช่ไหมครับ อย่าง Multiply ที่คนนิยมเอารูปและเรื่องราวมาแชร์)
แต่ผมก็เป็นคนที่ขี้อายครับตอนนั้น และการจะจีบสาวทาง Social สมัยนั้นน่าจะยังไม่เฟื่องฟูมั้งและผมเองก็คิดด้วยแหละว่าจีบสาว มันน่าจะโทรศัพท์คุยกันน้า, อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้รู้จักกับเธอมากขึ้นผ่านทาง Facebook ครับ, เธออัพเดทเรื่องราวค่อนข้างเยอะทีเดียว เพราะเธอเดินทางบ่อยๆ, ใช่ครับ เธอเป็นแอร์ฮอสเตจ
เมื่อก่อนเธอจะบินไปญี่ปุ่นและฮาวายบ่อยมากๆ และก็จะมีรูปเวลาช่วงว่างพักผ่อนมาอัพเดทตลอด ทุกๆอย่างที่ผมรับรู้ในช่วงนั้น คือเธอเป็นคนที่ยิ้มแย้มเสมอ มีความสุขเสมอ ออร่าของความสดใสของเธอ เหมือนมันส่งผ่านมาถึงเราได้ และทำให้เรารู้สึกสดใสตามไปด้วย - ตอนนั้นแค่ติดตามดูเพจของเธอเฉยๆ มีไลค์บ้าง คอมเม้นบ้างเท่าที่ทำได้ เท่าที่เหมาะสม ไม่ได้พยายามจะทำความรู้จักอะไรมากนัก ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนทาง
Facebook ทั่วๆไป - แต่ตอนนั้นเองที่ ผมคิดว่าผมกลายเป็นแฟนคลับของเธอไปเสียแล้ว
สิ่งสำคัญจากย่อหน้าข้างบนก็คือ ผมไม่ได้เศร้ากับความรักครั้งเก่าอีกต่อไปแล้ว มันรวดเร็ว มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ, ผมรู้สึกขอบคุณเธอมากๆ ที่ทำให้ผมผ่านพ้นช่วงเวลาแย่ๆมาได้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อผม เธอเพียงแต่ใช้ชีวิตปกติของเธอ, เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร ผมเป็นเพียงแค่นายคนนึงที่เป็นเพื่อนทาง Facebook ของเธอเท่านั้น
สิ่งที่ดีที่สุดที่มันเกิดขึ้นคือ ทัศนคติในการดำเนินชีวิตของผมเปลี่ยนไปจริงๆ, ผมไม่เคยเศร้าอีกเลย มองโลกในแง่ดีเสมอๆ ไม่ใช่กับแค่กับเรื่องบางเรื่อง ผมอยากจะยิ้มแย้ม อยากมีความสุขเท่าที่จะทำได้ในเวลานั้นๆ, ไม่ใช่ว่าผมเห็นว่าความเศร้ามันไม่ดีเลยหนีออกมา แต่เป็นเพราะว่าเราเห็นว่าความสุขความสดใสมันมีประโยชน์มากกว่า ไม่ว่าจะกับตัวเราเองหรือกับคนอื่นรอบข้าง และแน่นอนว่า เธอคือแรงบันดาลใจที่สำคัญที่ทำให้ผมได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไป
เมื่อตระหนักได้แบบนั้น ผมก็เริ่มอยากจะตอบแทนเธอ และอยากจะรู้จักเธอมากขึ้น, ผมส่งของขวัญวันเกิดให้เธอ เป็นของเล็กๆน้อยๆบ้าง เป็นของที่จะพอเรียกว่าเป็นของขวัญได้บ้าง เพราะต้องบอกตรงๆว่า ความรู้สึกที่เรามีต่อเค้ามันไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่ผู้ชายมีให้ผู้หญิงคนนึงซะทีเดียว มันเป็นความรู้สึกชื่นชมเค้ามากกว่า, แต่ก็ไม่ปฏิเสธครับ ว่าผมก็มีความรู้สึกแบบผู้ชายคนนึงที่ชอบผู้หญิงคนนี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราส่งของขวัญให้เธอ พยายามเริ่มทักทายและพูดคุยกับเธอมากขึ้นๆ ก็ดูเหมือนเธอจะรู้แล้วว่าผมแอบชอบเธอ และเธอก็บอกกับผมตรงๆว่า เธอมีแฟนแล้ว และไม่ได้สนใจในตัวผมมากไปกว่าการเป็นเพื่อนคนนึง
ผมไม่ได้เสียใจอะไรมากนัก เพียงแต่หลังจากที่เธอบอกกับผม ก่อนที่ผมจะได้อธิบายหรือบอกอะไรให้เธอเข้าใจว่า ผมรู้สึกกับเธอยังไงหรือผมเข้ามาอยากทำความรู้จักกับเธอเพราะอะไร, ผมรู้สึกว่ามันไม่สามารถพูดออกไปให้เธอรู้ได้ เพราะไม่ว่าผมจะพุดอะไรออกไปตอนนี้ มันก็แค่เป็นคำพูดของผู้ชายคนนึงที่เข้ามาสนใจหรือเข้ามาจีบ หรือเข้ามาเพื่อทำให้เธอประทับใจ, ผมจึงตัดสินใจว่าคงจะไม่เหมาะที่จะบอกเรื่องนี้ให้เธอรับรู้ และเก็บไว้กับตัวเอง
เรายังเป็นเพื่อนใน Facebook กันต่อมา, ก็ปฏิบัติเหมือนเพื่อนทางเฟส, ผมก็ปฏิบัติตัวเหมือนปกติ ก็ไลค์รูป คอมเม้นบ้างตามความเหมาะสม, ส่วนเธอก็ระวังการไลค์หรือคอมเม้นโพสต์ของผม เพื่อไม่ให้เป็นการให้ความหวังกับผม - สำหรับผมแล้ว มันยังเป็นเรื่องดีๆ เป็นความรู้สึกดีๆเสมอๆ, เวลาเราเห็นหน้าเค้าในวอล ผมจะอมยิ้มขึ้นมาเองเสมอๆ ไม่ว่ายังไงๆ ณ ตำแหน่งที่เราอยู่ตรงนี้ แม้จะไม่ได้ใกล้มาก แต่ก็ยังยิ้มได้ มีความสดใส ของเธออยู่เหมือนเดิมเสมอๆ
ผมยังคงอยากส่งความรู้สึกถึงเธออยู่และยังคงส่งของขวัญวันเกิดให้เธอทุกๆปีเรื่อยมา เพราะผมอยากให้มีเค้าอยู่ในชีวิตของเราและผมก็อยากจะเป็นส่วนเล็กๆในชีวิตของเค้าด้วยเช่นกัน เพียงเล็กน้อยก็ยังดี แม้ว่าเราจะเป็นแค่เพื่อนห่างๆกันเท่านั้น, ของขวัญวันเกิดในปีล่าสุด ผมเลือกซื้อหนังสือรวมภาพแมวข้างถนนให้เธอ เพราะเธอก็เป็นคนนึงที่ชื่นชอบความน่ารักของเจ้าเหมียว และยังเลี้ยงมันด้วย, ปกติผมจะส่งของขวัญไปที่บ้านเธอ ฝากเพื่อนส่งแทนบ้าง แต่ช่วงปีหลังๆมานี้งานของผมทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางด้วยเครื่องบินเดือนละ 1 ครั้ง(ภายในประเทศ) - ประกอบกับเธอเองก็เปลี่ยนที่ทำงานจากสุวรรณภูมิมาเป็นที่ดอนเมืองด้วย ผมจึงเอาของขวัญไปฝากที่ออฟฟิสของเธอ แปะโน๊ตและฝากเคาเตอร์หน้าออฟฟิสของเธอไว้
นานๆทีผมจะทักทายเธอบ้างทางไลน์ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมากมาย ก็ถามสาระทุกข์สุขดิบเธอ แล้วก็จะเจื่อนๆไม่มีเรื่องคุยต่อ, แล้วก็ Have a nice day หรือรักษาสุขภาพนะครับ อะไรทำนองนี้เพื่อจบการสนทนา
แต่หลังจากส่งของขวัญไปประมาณ 2 สัปดาห์ เธอก็เป็นฝ่ายทักไลน์มาครับ - และบอกกับผมว่า ขอบคุณสำหรับของขวัญจริงๆ แต่เธอรู้สึกลำบากใจที่ผมทำอะไรแบบนี้ ส่งมาให้ทุกๆปีเลย แต่คราวหน้าแค่อวยพรวันเกิดก็พอแล้วหละค่ะ
ผมเข้าใจครับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและก็คิดมาตลอดว่าซักวันคงจะเกิดขึ้นแบบนี้ - ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรครับ เพียงแต่... นึกออกไหมครับ, ความรู้สึกมันเป็นแบบ เวลาที่เรารับรู้ความจริงที่ว่า ไม่อาจทำสิ่งที่คิดว่าเราพอจะทำได้ อย่างขอแค่เรื่องเล็กๆเท่านั้นเอง, แม้แต่แบบนี้ก็ทำไม่ได้เหรอ?
มันยากเหมือนกันนะครับ ที่เราจำเป็นจะต้องปรับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ว่าแบบไหน ทางไหน คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเรา และเหมาะสมกับคนรอบข้างรอบตัวเรา และแน่นอนว่าเราไม่มีทางลืมคำนึงถึงเค้าคนนั้นเสมอๆ
ผมใช้เวลาไม่นานเลยสำหรับการปรับความรู้สึกตัวเอง เร็วกว่าที่คาด จัดสรรค์ตำแหน่งใหม่ให้ตัวเอง บอกตัวเองว่า นี่ความสัมพันธ์แบบเดิมที่โคตรจะจางอยู่แล้ว ตอนนี้นี่มันยิ่งกว่าจางในจางแล้วนะ, คิดว่าเราควรจะลดอิทธิพลของเธอที่มีต่อตัวเราให้น้อยลง เพื่อให้ความรู้สึกของเราที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปให้ได้ เปลี่ยนมาเป็นแบบธรรมดาทั่วไปให้ได้
คิดว่าต้องหยุดเสพความเป็นไปของเธอ, ไม่ควรจะรู้สึกปลื้มเธอเว่อเกินทุกครั้งที่เห็นเธออัพรูปลงโซเชียล, ผมจึง Unfriend เธอไปใน Facebook แต่ก็คิดว่าจะหักดิบไปเลยก็ยากเกิน จึงยังคงติดตามเธอทาง Instagram อยู่, คิดว่านานๆทีเห็นเธออัพรูปใน Instagram ก็น่าจะโอเค
ทำแบบนี้มาจนถึงปัจจุบันครับ
แต่ผมยังนึกถึงเธอเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนๆ,
เวลาที่เรามีความสุข,
เวลาที่ต้องเดินทาง,
เวลาที่เห็นอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น,
เวลาที่เห็นอะไรเกี่ยวกับแมว,
เวลาที่เห็นทะเล,
เวลาที่เห็นสระว่ายน้ำ,
เวลาที่เห็นเครื่องบิน,
เวลาที่เห็นกลุ่มนางฟ้าสีแดง,
เวลาที่เห็น Mina - Twice,
เวลาที่เห็นรูปพระอาทิตย์ขึ้น
ให้ตายเถอะ ผมพึ่งรู้ว่าผมไม่ได้ดีขึ้น หรือควบคุมตัวเองได้อย่างที่คิดไว้เลย
มันผิดกับที่ตั้งใจเอาไว้
----------------------------------------------------------------------
ตรงนี้คือผมพึ่งกลับมาเขียนต่อครับ จากที่เขียนทิ้งไว้ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว, ผมหวังว่าเวลาอาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดความรู้สึกของผมได้หมดจด และให้ทั้งหมดที่เขียนมาเป็นแค่การระบายความในใจ, ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะไม่อยากทำมันต่อแล้วก็ได้ถ้าเวลาผ่านไปแบบนี้เรื่อยๆ
"อาจจะไม่อยากทำมัน" ใช่ครับ.... จริงๆแล้วผมยังไม่ได้บอกเพื่อนๆเลยว่าผมต้องการให้เพื่อนๆช่วยอะไรตามย่อหน้าแรกที่บอกเอาไว้
ตั้งแต่20กว่าๆ จนตอนนี้จะ 30กว่า ขวบแล้ว - ผมอยากพบเธอคนนี้ครับ, คือเมื่อเราอายุมากขึ้น เราก็แก่ครับ ไม่มีทางดูดีได้เทียบเท่ากับตอนวัยรุ่น ผมก็น้อยลงๆ ฮ่าๆ ใช่ครับ ผมอยากเจอเธอในสภาพที่ตัวเองยังพอดูได้อยู่ ...แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องพบเจอทักทายกันนะครับ ผมแค่อยากเห็นตัวจริงของเธอ อยากเห็นอริยาบถของเธอ อยากเห็นบุคลิกของเธอ อยากเห็นรอยยิ้ม อยากพบตัวตนจริงๆของเธอซักครั้งครับ
แต่จากที่พูดมาทั้งหมด ความสัมพันธ์ที่ซุปเปอร์จางขนาดนี้ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมจะสามารถพบเธอได้ด้วยวิธีใดบ้าง อย่างเหมาะสม, เหมาะสมสำหรับเธอ และผมเองก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พอทำได้
ผมนึกอะไรไม่ออกเลยนอกจาก "ได้พบเธอในเวลาที่เธอทำงานน่าจะเหมาะสมที่สุด"
"การที่เราจะจับเครื่องบิน เดินทางไปที่ไหนก็ได้ เพียงเพื่อจะได้เข้าใกล้, ได้เจอกับใครซักคน ได้เฝ้ามองเธอช่วงระยะเวลานึง โดยที่เราไม่รู้ได้เลยว่าเค้าจะดูแลไฟลท์ไหน"
มันเป็นไปได้ไหมครับ, มีวิธีใดบ้างที่ผมจะทราบตารางงานของเธอ เพื่อที่จะทำตามย่อหน้าข้างบน
ผมคิดเรื่องนี้มานานมากๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้, เหมือนกับการที่เขียนมาขอคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือจากเพื่อนๆในพันทิปนี้ ผมก็ลังเลอยู่นานมากๆ ผมกลัวครับ,
กลัวว่าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นกับเธอถ้าเธอทราบเรื่องนี้,
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าผมคงจะตัดสินใจโพสต์ข้อความนี้ลงไปถามเพื่อนๆในพันทิปครับ และหวังว่าจะพอมีวิธีที่ทำให้ความตั้งใจของผมเกิดขึ้นได้บ้าง
ผมเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องยากมากๆที่เราจะทราบตารางงานของเธอหรือเพื่อนๆที่ทำงานแอร์ฮอสเตจและสจ๊วต ด้วยเรื่องความปลอดภัย คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แม้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจอาจจะไม่เกิดขึ้น จะด้วยอะไรก็ตาม, ขอขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำล่วงหน้านะครับ
/ รวมถึงเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน มารับแชร์เรื่องราวและความรู้สึกของผม,
ผมคิดว่า ยังไงซักวันนึงผมคงได้เจอเธอจริงๆหนะหละ และมันคงตลกดี ที่ผมเอากระทู้นี้ให้เธออ่านครับ...
ขอให้วันนี้เป็นวันที่สดใสของเพื่อนๆทุกๆคนครับ