สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
เพราะมันไม่มีความจำเป็นใดๆและเป็นสิ่งที่อันตรายอีกด้วยครับ
1) หลังจากพ้นยุคของสมเด็จพระเอกาทศรถมา พม่าไม่เคยยกทัพข้ามเทือกเขาตะนาวศรีมาโจมตีอยุธยาอีกเลย จนล่วงเข้ามาถึงสมัยของพระเจ้าอลองพญา ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 150 ปีครับ นั่นแปลว่าถึงเคยจะมีแนวคิดสร้างป้อมปราการไว้ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร แต่ราชสำนักอยุธยาในกาลต่อๆมาคงจะไม่มีแนวคิดจะไปทำนุบำรุงหรือรักษาป้อมอะไรนั่นแน่นอน เพราะมันไม่เคยได้ใช้งานเลยเป็นระยะเวลา 150 ปี
150 ปี เทียบกับชั่วอายุคนในยุคโบราณที่อายุเฉลี่ยประชากรแค่ไม่เกิน 40 ปี นี่ นับเป็นเกือบ 10 ชั่วคนเลยครับ กาลเวลาผ่านมานานจนเรื่องราวการรบพม่าหรือสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปต้านศึกพม่านี่ กลายเป็นนิทานเล่าสู่กันฟังไปแล้ว ชาวบ้านร้านตลาดในพระนครไม่เคยสนใจรับรู้เรื่องของพม่าด้วยซ้ำ (ก่อนการมาของอลองพญา)
2) จุดยุทธศาสตร์สำคัญในช่วงปลายอยุธยาคือการป้องกันข้าศึกที่จะบุกมาจากทางปากแม่น้ำเจ้าพระยาครับ เนื่องจากอยุธยามีการค้าขายทางทะเลกับจีนและชาติตะวันตก เรือกำปั่นหรือสำเภาขนาดใหญ่สามารถล่องขึ้นจากปากน้ำมาถึงอยุธยาได้ ทำให้ภัยอันตรายจากข้าศึกในมโนคติของราชสำนักอยุธยาน่าจะเป็นข้าศึกจากทะเลมากกว่า นั่นทำให้มีการสร้างป้อมปราการหรือด่านขวางริมแม่น้ำเจ้าพระยาแทนเป็นหลัก
3) ข้าศึกทางบกนั้น ตั้งแต่จบศึกพระมหาอุปราชาพม่าเข้าล้อมอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ก็แทบจะไม่เคยมีกองทัพต่างชาติหรือต่างอาณาจักรใดเข้ามาเหยียบที่ราบภาคกลางจากทางบกอีกเลย และอยุธยาไม่เคยโดนข้าศึกล้อมกรุงมายาวนาน 150 ปี ก่อนจะถึงยุคของพระเจ้าอลองพญาครับ
ดังนั้นยุทธศาสตร์การสร้างป้อมปราการต้านศึกทางบกจึงน่าจะไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก (ส่วนเรื่องสมเด็จพระนารายณ์ย้ายเมืองไปลพบุรีโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันพม่านั้น ผมมองว่าเป็นข้ออ้างที่พระองค์จะอพยพศูนย์กลางควบคุมอำนาจของพระองค์ไปจากอยุธยา ที่เต็มไปด้วยขั้วอำนาจอื่นๆมากกว่า)
4) ภัยอันตรายจากหัวเมืองหรือกลุ่มขั้วอำนาจภายใน น่ากลัวกว่าข้าศึกจากต่างอาณาจักร
ตั้งแต่จบยุคของสมเด็จพระเอกาทศรถมา ข้าศึกที่ทำให้กองทหารหลวงต้องยกไปปราบ มักจะมาจากหัวเมือง ขุนนาง หรือพวกทหารรับจ้างที่จ้างมา มากกว่าข้าศึกจากภายนอกครับ
หลายครั้งที่หัวเมืองหรือป้อมปราการต่างๆถูกรื้อทิ้งหลังการปราบกบฏหรือข้าศึก ก็เพราะราชสำนักกังวลว่าหากหัวเมืองหรือมีการทิ้งป้อมปราการไว้กลางทางห่างไกลจากพระนคร จะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกกบฏมาต่อต้านอำนาจส่วนกลาง
1) หลังจากพ้นยุคของสมเด็จพระเอกาทศรถมา พม่าไม่เคยยกทัพข้ามเทือกเขาตะนาวศรีมาโจมตีอยุธยาอีกเลย จนล่วงเข้ามาถึงสมัยของพระเจ้าอลองพญา ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 150 ปีครับ นั่นแปลว่าถึงเคยจะมีแนวคิดสร้างป้อมปราการไว้ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร แต่ราชสำนักอยุธยาในกาลต่อๆมาคงจะไม่มีแนวคิดจะไปทำนุบำรุงหรือรักษาป้อมอะไรนั่นแน่นอน เพราะมันไม่เคยได้ใช้งานเลยเป็นระยะเวลา 150 ปี
150 ปี เทียบกับชั่วอายุคนในยุคโบราณที่อายุเฉลี่ยประชากรแค่ไม่เกิน 40 ปี นี่ นับเป็นเกือบ 10 ชั่วคนเลยครับ กาลเวลาผ่านมานานจนเรื่องราวการรบพม่าหรือสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปต้านศึกพม่านี่ กลายเป็นนิทานเล่าสู่กันฟังไปแล้ว ชาวบ้านร้านตลาดในพระนครไม่เคยสนใจรับรู้เรื่องของพม่าด้วยซ้ำ (ก่อนการมาของอลองพญา)
2) จุดยุทธศาสตร์สำคัญในช่วงปลายอยุธยาคือการป้องกันข้าศึกที่จะบุกมาจากทางปากแม่น้ำเจ้าพระยาครับ เนื่องจากอยุธยามีการค้าขายทางทะเลกับจีนและชาติตะวันตก เรือกำปั่นหรือสำเภาขนาดใหญ่สามารถล่องขึ้นจากปากน้ำมาถึงอยุธยาได้ ทำให้ภัยอันตรายจากข้าศึกในมโนคติของราชสำนักอยุธยาน่าจะเป็นข้าศึกจากทะเลมากกว่า นั่นทำให้มีการสร้างป้อมปราการหรือด่านขวางริมแม่น้ำเจ้าพระยาแทนเป็นหลัก
3) ข้าศึกทางบกนั้น ตั้งแต่จบศึกพระมหาอุปราชาพม่าเข้าล้อมอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนเรศวร ก็แทบจะไม่เคยมีกองทัพต่างชาติหรือต่างอาณาจักรใดเข้ามาเหยียบที่ราบภาคกลางจากทางบกอีกเลย และอยุธยาไม่เคยโดนข้าศึกล้อมกรุงมายาวนาน 150 ปี ก่อนจะถึงยุคของพระเจ้าอลองพญาครับ
ดังนั้นยุทธศาสตร์การสร้างป้อมปราการต้านศึกทางบกจึงน่าจะไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก (ส่วนเรื่องสมเด็จพระนารายณ์ย้ายเมืองไปลพบุรีโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันพม่านั้น ผมมองว่าเป็นข้ออ้างที่พระองค์จะอพยพศูนย์กลางควบคุมอำนาจของพระองค์ไปจากอยุธยา ที่เต็มไปด้วยขั้วอำนาจอื่นๆมากกว่า)
4) ภัยอันตรายจากหัวเมืองหรือกลุ่มขั้วอำนาจภายใน น่ากลัวกว่าข้าศึกจากต่างอาณาจักร
ตั้งแต่จบยุคของสมเด็จพระเอกาทศรถมา ข้าศึกที่ทำให้กองทหารหลวงต้องยกไปปราบ มักจะมาจากหัวเมือง ขุนนาง หรือพวกทหารรับจ้างที่จ้างมา มากกว่าข้าศึกจากภายนอกครับ
หลายครั้งที่หัวเมืองหรือป้อมปราการต่างๆถูกรื้อทิ้งหลังการปราบกบฏหรือข้าศึก ก็เพราะราชสำนักกังวลว่าหากหัวเมืองหรือมีการทิ้งป้อมปราการไว้กลางทางห่างไกลจากพระนคร จะกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของพวกกบฏมาต่อต้านอำนาจส่วนกลาง
ความคิดเห็นที่ 19
ส่วนสมัยหลังการเสียกรุงศรีอยุธยา ทำไมเราไม่สร้างป้อมค่ายหรือด่านสกัดพม่าเล่า?
ต้องเรียนแบบนี้ครับ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยานั้น มโนคติของชนชั้นปกครองและชาวบ้านสยามต่อพม่าแตกต่างไปจากก่อนเสียกรุงมาก เราระมัดระวังพม่าและพยายามจะเรียนรู้พม่าให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งมองพม่าเป็นศัตรูสำคัญที่จะต้องคอยระแวดระวังเสมอๆ
1) ในทุกๆฤดูแล้งของแต่ละปี ราชสำนักสยามจะต้องส่งกองสอดแนมขนาดเล็ก บุกเข้าไปในดินแดนของพม่าเพื่อจับชาวบ้านหรือเชลยเอาไว้ไต่ถามข่าวคราวศึกเสมอๆ และหากพม่ามีการระดมพลที่เมาะตะมะหรือดินแดนมอญใต้เมื่อไหร่ กองทัพสยามก็จะระดมพลเพื่อเตรียมยกไปรับที่ชายแดนเสมอ
ยุทธวิธีแบบนี้เราทำกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อพม่าเกิดสงครามกับอังกฤษครับ (ข้อมูลนี้มีบันทึกในพระราชโองการของรัชกาลที่ 3 เกี่ยวกับการร่วมมือกับทัพอังกฤษในการโจมตีพม่า)
2) ชนชั้นปกครองของเรา ตื่นตัวกับการเรียนรู้พม่ามาก มีการแปลเอกสารพม่าหรือเอกสารมอญเป็นภาษาไทยหลายฉบับ เพื่อให้รู้ถึงลักษณะนิสัยใจคอ พฤติกรรม หรือภูมิศาสตร์ของพม่า รวมทั้งมีการหาข่าวจากฝั่งพม่าตลอดเวลาเพื่อให้สามารถเตรียมรับศึกได้ทัน
3) เราเปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบครับ จากเดิมทีที่เคยใช้พระนคร หรือหัวเมืองสำคัญในที่ราบภาคกลางในการรับศึก ก็กลายเป็นยกทัพไปรับศึกที่ชายแดนหรือชัยภูมิสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้พม่าลงมาตั้งทัพหาเสบียงในที่ราบภาคกลางได้โดยสะดวก
ซึ่งอันนี้ถือว่าสำคัญต่อชัยชนะของฝ่ายไทยในช่วงรัชกาลที่ 1 มาก เนื่องจากพม่ามีปัญหาในการสะสมหรือขนเสบียงข้ามเทือกเขาตะนาวศรีมาแต่โบราณ ทว่าสมัยก่อนฝ่ายไทยยอมให้พม่าลงมาตั้งทัพหาเสบียงเลี้ยงดูกันโดยสะดวกบนที่ราบภาคกลาง
แต่พอเราเปลี่ยนแผน ยกทัพไปยันพม่าไว้ที่ชายแดน พม่าก็ขนเสบียงเลี้ยงกองทัพหน้าได้ลำบาก ทัพหลวงก็ยกมาไม่ได้เพราะขาดเสบียงและไม่สามารถรักษาสายการบำรุงทัพได้ สุดท้ายพม่าก็แพ้ภัยขาดเสบียงและไม่สามารถรบต่อได้จนต้องล่าถอย
4) ราชสำนักสยามสามารถเข้าครอบครองล้านนาไว้ได้ ศึกทำให้พม่าหมดสิทธิ์ในการใช้ล้านนาเป็นฐานสะสมเสบียงครับ โดยแม้พม่าจะพยายามไปรีดเสบียงจากหัวเมืองไทใหญ่ แต่ก็ประสบความยากลำบากในการขนเสบียงข้ามเทือกเขาสลับซับซ้อนมาโจมตีล้านนาอยู่ดี
5) เรามีการเปลี่ยนตำแหน่งเมืองหน้าด่านรับศึกด้วย ตัวอย่างคือเมืองกาญจนบุรีที่ย้ายตำแหน่งลงมาทางใต้อีกหลายสิบกิโลเมตร เพราะเราย้ายเมืองหลวงจากอยุธยาลงมาที่กรุงเทพแทน ทำให้พม่าไม่เดินทัพขึ้นเหนือแต่ต้องตัดออกไปทางตะวันออกของแม่น้ำแคว ซึ่งไทยเลยย้ายเมืองกาญจนบุรีลงมาอุดช่องว่างตรงนี้แทนเมืองเก่าที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ต้องเรียนแบบนี้ครับ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยานั้น มโนคติของชนชั้นปกครองและชาวบ้านสยามต่อพม่าแตกต่างไปจากก่อนเสียกรุงมาก เราระมัดระวังพม่าและพยายามจะเรียนรู้พม่าให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งมองพม่าเป็นศัตรูสำคัญที่จะต้องคอยระแวดระวังเสมอๆ
1) ในทุกๆฤดูแล้งของแต่ละปี ราชสำนักสยามจะต้องส่งกองสอดแนมขนาดเล็ก บุกเข้าไปในดินแดนของพม่าเพื่อจับชาวบ้านหรือเชลยเอาไว้ไต่ถามข่าวคราวศึกเสมอๆ และหากพม่ามีการระดมพลที่เมาะตะมะหรือดินแดนมอญใต้เมื่อไหร่ กองทัพสยามก็จะระดมพลเพื่อเตรียมยกไปรับที่ชายแดนเสมอ
ยุทธวิธีแบบนี้เราทำกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อพม่าเกิดสงครามกับอังกฤษครับ (ข้อมูลนี้มีบันทึกในพระราชโองการของรัชกาลที่ 3 เกี่ยวกับการร่วมมือกับทัพอังกฤษในการโจมตีพม่า)
2) ชนชั้นปกครองของเรา ตื่นตัวกับการเรียนรู้พม่ามาก มีการแปลเอกสารพม่าหรือเอกสารมอญเป็นภาษาไทยหลายฉบับ เพื่อให้รู้ถึงลักษณะนิสัยใจคอ พฤติกรรม หรือภูมิศาสตร์ของพม่า รวมทั้งมีการหาข่าวจากฝั่งพม่าตลอดเวลาเพื่อให้สามารถเตรียมรับศึกได้ทัน
3) เราเปลี่ยนยุทธศาสตร์การรบครับ จากเดิมทีที่เคยใช้พระนคร หรือหัวเมืองสำคัญในที่ราบภาคกลางในการรับศึก ก็กลายเป็นยกทัพไปรับศึกที่ชายแดนหรือชัยภูมิสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้พม่าลงมาตั้งทัพหาเสบียงในที่ราบภาคกลางได้โดยสะดวก
ซึ่งอันนี้ถือว่าสำคัญต่อชัยชนะของฝ่ายไทยในช่วงรัชกาลที่ 1 มาก เนื่องจากพม่ามีปัญหาในการสะสมหรือขนเสบียงข้ามเทือกเขาตะนาวศรีมาแต่โบราณ ทว่าสมัยก่อนฝ่ายไทยยอมให้พม่าลงมาตั้งทัพหาเสบียงเลี้ยงดูกันโดยสะดวกบนที่ราบภาคกลาง
แต่พอเราเปลี่ยนแผน ยกทัพไปยันพม่าไว้ที่ชายแดน พม่าก็ขนเสบียงเลี้ยงกองทัพหน้าได้ลำบาก ทัพหลวงก็ยกมาไม่ได้เพราะขาดเสบียงและไม่สามารถรักษาสายการบำรุงทัพได้ สุดท้ายพม่าก็แพ้ภัยขาดเสบียงและไม่สามารถรบต่อได้จนต้องล่าถอย
4) ราชสำนักสยามสามารถเข้าครอบครองล้านนาไว้ได้ ศึกทำให้พม่าหมดสิทธิ์ในการใช้ล้านนาเป็นฐานสะสมเสบียงครับ โดยแม้พม่าจะพยายามไปรีดเสบียงจากหัวเมืองไทใหญ่ แต่ก็ประสบความยากลำบากในการขนเสบียงข้ามเทือกเขาสลับซับซ้อนมาโจมตีล้านนาอยู่ดี
5) เรามีการเปลี่ยนตำแหน่งเมืองหน้าด่านรับศึกด้วย ตัวอย่างคือเมืองกาญจนบุรีที่ย้ายตำแหน่งลงมาทางใต้อีกหลายสิบกิโลเมตร เพราะเราย้ายเมืองหลวงจากอยุธยาลงมาที่กรุงเทพแทน ทำให้พม่าไม่เดินทัพขึ้นเหนือแต่ต้องตัดออกไปทางตะวันออกของแม่น้ำแคว ซึ่งไทยเลยย้ายเมืองกาญจนบุรีลงมาอุดช่องว่างตรงนี้แทนเมืองเก่าที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมกรุงศรีอยุธยาไม่สร้างป้อมปราการสกัดพม่าตามเส้นทางด่านพระเจดีย์-กรุงศรีฯครับ