หนีทีละชั้น [มหกรรมหนีผี]

วันก่อนเล่าเรื่องนี้ไปที่กระทู้นี้ครับ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรื่องอาถรรพ์น้ำมันพรายและควายธนู
----------------------
วันนี้จะเล่าเรื่องที่สถานีซึ่งผมทำงานอยู่หกปีเต็ม
ผมทำงานสถานีวิทยุชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายครับ
สถานีนี้ทำเลดีมาก ถ้าว่าตามความเชื่อ มงคลทุกภาคส่วน
ทั้งเยื้องกับสุสาน ทั้งเกือบตรงกับทางสามแพร่ง
ตึกเป็นของอิสลามนะครับ เพราะย่านนั้นคือบ้านแขกเลย

ตลอดระยะการทำงานของผมไม่มีอะไรผิดปกติครับ
ผมจัดรายการรอบดึกสุด เป็นคนปิดประตูล็อกกุญแจ
ดึกกว่าผมก็เซเว่นละ

อยู่มาตั้งแต่ข้างล่างยังรับซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิก
จนกลายเป็นออฟฟิส จนมีหุ้นส่วน จนเค้าถอนหุ้นไป ผมก็ยังอยู่
รับดีเจมาหลายรุ่น อยู่ตั้งแต่รุ่น 2 ยันรุ่นสุดท้าย
จำพวกเงาแว้บ ๆ ผ่านหางตายังไม่มีเลยครับท่าน

แต่คนอื่นรอบตัวผมนี่สิ เจอเป็นว่าเล่นเลย
ผมจะเล่าตั้งแต่รุ่นบุกเบิก ก็คือลูกพี่ผม ดีเจ น.
แกหุ้นกับนายช่างท่านหนึ่ง แล้วทำสถานีด้วยกัน
พี่น.ทำคลื่นวัยรุ่น ส่วนนายช่างทำคลื่นลูกทุ่ง
ในยุคที่ใบผู้ประกาศไม่มีความหมาย คลื่นชุมชนเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด
จะว่ารุ่งเรืองก็รุ่งเรืองเพราะสื่อยุคนั้นมันน้อย มีแค่ทีวีไม่ก็วิทยุ
ไม่มีเฟสสะบุ๊คเหมือนทุกวันนี้

ห้องส่งแรกกำเนิดอยู่ชั้นสามครับ บนสุดจุดกระจายเสียง เปิดระเบียงไปก็ดาดฟ้าแล้ว
ตอนนั้นแกจัดรายการกันสองคนกับเพื่อน ซึ่งยุคนั้นมีดีเจสามคน
คือพี่ น. ดีเจ ซ และดีเจเพื่อนผม ชื่อย่อเอก

วันนั้นพี่น.จัดรายการกับเอก ฤกษ์ดึกเลย สี่ห้าทุ่มได้
พี่ ซ.เหมือนจะไม่มา แกก็จัดรายการนั่งคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย
กระทั่งช่วงพักเบรกเปิดเพลง ได้ยินเสียงเคาะประตู ก๊อก ๆ ๆ ๆ
แกก็ลุกไปเปิด
ไม่มีใคร

ก็เอ๊ะ ใครมาเคาะแล้วหลบไปไหน
มันไม่มีที่หลบ คือขึ้นมาสุดบันไดจะมีสองทาง
ถ้าไม่เปิดประตูระเบียงออกไปดาดฟ้าเลย
ก็ต้องเปิดเข้าห้องส่งมา
หรือไม่ก็วิ่งกลับลงไป

เอ๊ะ ไอ้ ซ.มันมาแกล้งป่าววะ ทำเป็นบอกว่าไม่มาแต่แอบหลอนมาทีหลัง
เพื่อมาเคาะแกล้ง พี่น.ก็ตัดสินใจว่า ได้ เดี๋ยวกุกำลูกบิดดักหน้ามันเลย
เพราะประตูเป็นแบบดึงเข้า ชักเปิดเข้าหาตัว
คนเคาะคงเหวอ และหนีไม่ทันแน่
เร็วเท่าความคิด เสียงเคาะดังทันควัน พี่น.กระชากประตูเปิดโบร๊ะ

เพียงเพื่อพบความว่างเปล่า

แกนิ่งค้างอยู่ไม่กี่วิ เสียงเคาะเพิ่งจะขาดช่วงไปเมื่อกี้
ทำไมไม่มีคนเคาะ เวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงตึง ๆ ๆ ๆ ของการลงส้นวิ่งลงบันไดไป
แต่พอชะโงกหัวมองตาม กลับไปเจอใคร
แกปิดประตูหันมาส่งสัญญาณพยักหน้ากับเอกเป็นอันรู้กัน

วิ่งโว้ย!!!

ประตูกระชากออก
สองดีเจหนุ่มวิ่งแหกปาก
อ๊ากกกกกกกกก

เวลาคนเรากลัวมักใช้เสียงข่ม
แกแหกปากแทคทีมกับเอกลงไปที่ชั้นสอง
ที่ตอนนั้นยังใช้เก็บของและปิดไฟมืด


อ๊ากกกกกกกกก

แกวิ่งฝ่าความมืดไปที่หน้าประตูม้วนชั้นหนึ่ง


อ๊ากกกกกกกก

ประตูเปิดไม่ออก เพราะติดมุม ประตูม้วนใครใช้จะรู้ว่ามันชอบติดมุมดึงไม่ขึ้นต้องขยับซ้ายขวานิดหน่อย

อ๊ากกกกกกกก

สองดีเจแหกปากเสียสติอยู่หน้าประตูม้วน จนตัดสินใจดึงกระชากถึงหลุดออกมาได้

พี่น.ประสบเหตุด้วยตัวเอง คิดว่ามีผีแบบนี้ไม่ได้การละ
โดนหลอกทีกุวิ่งหลายชั้นมาก
จึงใช้อำนาจบริหารจัดการ ย้ายห้องส่งมาไว้ที่ชั้นสอง
มีเหตุอะไรจะได้โดดสองจังหวะวิ่งออกไปชันหนึ่งได้

ลักษณะเป็นห้องที่ล้อมด้วยพื้นที่ว่างหน้าหลัง และด้านขวา
ซ้ายมือติดกำแพง
ด้านขวาเป็นทางเดินเข้าห้องที่จะทำเป็นห้องซ้อมดนตรี
ด้านหน้าเป็นห้องซ้อมดนตรี มีเจาะช่องกระจก เพื่อใช้ควบคุมเสียงด้วยเมื่อห้องซ้อมเปิดให้บริการ
และไม่ลืมที่จะเจาะประตูติดกระจกใสด้วย
ทีนี้ละเมิง ใครมาเคาะก็ได้เห็นจะจะเลย
ถือว่าเป็นการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดครั้งก่อน
ที่ประตูทึบ ผีเลยมาแกล้งเคาะได้

แต่ถึงเตรียมการรับผีแบบนั้น
พี่น.กับพี่ซ.ก็ไม่ได้จัดรายการอีก
สถานีจึงเป็นหน้าที่ของรุ่นสอง โดยมีเอกที่สืบทอดรุ่นมาจากยุคเก่า

ดีเจรุ่นสองนี้ประกอบไปด้วย
ดีเจชื่อย่อเอก ชื่อย่อแซม ชื่อย่อปอนด์ ชื่อย่อป๋า แล้วก็ผม  
ต้องย่อหน่อยเดี๋ยวคนจะรู้จัก

พวกเราเป็นเพื่อนจบประถมโรงเรียนเดียวกัน
จัดรายการยุคนั้นบ้าบอคอหอยพอกมากครับ
แย่งกันปล่อยมุขจนละดอกสองดอก ใครชงอะไรมา ตบทิ้งตบขว้าง
รายการก็นิยมอยู่พักนึง จนเค้าแบ่งช่วงกันให้ทำคอนเทนต์ที่ตัวเองถนัด
โดยผมกับแซมจะเจ๊าะแจ๊ะไอทีในช่วง 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม
แล้วปอนด์กับป๋าจะมาทำเรื่องการดูแลรถกับเพลงเก่า
ส่วนเอกจะมาทำรีเควสเพลงปิดท้ายรายการ
เวลาก็จะรันยาวตั้งแต่สามทุ่มไปถึงห้าทุ่มก่อนปิดสถานี

ทำไปได้สักพัก ผมที่มาทีหลังก็เริ่มรอบจัดขึ้น
เลยขอพี่น.ทำช่วงทุ่มนึงโซโล่เดี่ยวด้วย

และก็พบว่า ไฟห้องส่งเนี่ย
เหมือนสตาร์ทเตอร์มันเสีย
ตอนเปิดก็ออกปกติ แต่ชอบดับเอง
มืดไปเกือบนาที ค่อยสว่างขึ้นมาใหม่
ผมนี่เจอเองก่อนครั้งนึง แล้วก็มาเจอตอนจัดคู่กับแซมอีกครั้งนึง

ในห้องเรานี่อุปกรณ์ทำเอฟเฟคเยอะแยะวุ่นวายมากครับ
ทั้งกลองชุด ทั้งลาเบล ไอ้เครื่องรูดที่เป็นแท่งเหล็ก ๆ เรียง ๆ กัน
เวลาจัดรายการก็ตึกโป๊ะ จั๊กกิ้งแกร๊ด รูดลาเบลเล่นกันเป็นปกติ

เรื่องผีนี่ไม่มีในหัวเลยครับ วัน ๆ หมดไปกับการตบมุข
ตลกอุตสาหะ ทำการบ้านมาเพื่อเล่าเรื่องหักมุม

แต่คนเคยเจอก็เจออยู่เรื่อย

ผมมารู้เรื่องก็ตอนที่เอกไม่มาจัดรายการหลายวัน
ติดตามถามไถ่ก็บ่ายเบี่ยง ติดงานบ้าง ต้องรอรับแฟนบ้าง
ทั้งที่แฟนเอกทำงานใกล้ ๆ สถานี ปกติเอกจะมาจัดรายการรอแฟนตลอด

มาเค้นเอาจริง ๆ เอกถึงยอมเล่าว่าโดนจัดมาชุดใหญ่ไฟกระพริบ
ตามเด้งติดกัน มันอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะไม่มีเหตุผลไหนมาตอบได้เลย

เรื่องมีอยู่ว่าวันนั้นเอกมาจัดรายการสี่ทุ่ม
ป๋ากับปอนด์ก็กลับไปแล้ว
ผมกับแซมก็แยกไปตั้งแต่สามทุ่ม
เอกจัดรายการได้ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ไฟก็ดับฟึ่บ!
แต่คอมยังติดอยู่ ดับแค่หลอดไฟ
แล้วทั้งสถานีเปิดไฟอยู่แค่ในห้องส่ง
เอกนั่งอึนในความมืดพักใหญ่ กว่าไฟจะมา
คือความเป็นคนกลัวผี แค่นี้แกก็หลอนแล้วครับ
แต่เหมือนยังไม่สะใจ เอกได้ยินเสียงรูดลาเบล

กวริ้งงงงงงค์

ดังมาจากโซฟาด้านหลังที่ตั้งลาเบลและกลองชุดอยู่
หันไปตามเรียง แท่งเหล็กยังแกว่งคาตาอยู่เลย
เหมือนใครมารูดหมาด ๆ ถึงตอนนี้เอกไม่โอเคแล้ว
รีบโทรหาแฟน ปกติต้องไปรับแฟน วันนี้แทบกราบขอให้แฟนมารับ
ขึ้นมารับบนห้องส่งเลย เอกใจไม่กล้าพอจะฝ่าความมืดลงไปที่ชั้นหนึ่งจริง ๆ
ถึงจะย้ายลงที่ชั้นสองแล้วก็ตาม

ระหว่างรอก็ไม่เป็นอันจัดรายการละครับ
เลยเอาเปลือกหมากฝรั่งแพรอทมานั่งเรียง (ไทอินสินค้า ท่อนนี้สนับสนุนโดยหมากฝรั่งนกแก้ว)
คือห้องส่งวิทยุ มันทึบสี่ด้านอยู่แล้วถูกมั้ยฮะ ไม่พอบุฟองน้ำกันเสียงสะท้อนด้วย
พัดลมไม่ใช้เด็ดขาดเพราะเสียงจะน๊อยซ์เข้าไมค์ฟังไปหนวกหู มีแค่แอร์แก่ ๆ ตัวนึงที่แรงเป่าเหมือนหมาเหนื่อย

แต่เชื่อมั้ยครับ เปลือกหมากฝรั่งเหมือนโดนลมเป่า
โดยเป่าแหกจากกลางวง แผ่ออกเป็นรัศมีกระจายเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เซนติเมตร

เอกไม่สนใจรีเจคตัวเองออกจากเก้าอี้
คือถ้ามีปุ่มให้ดีดตัวมันคงกดแล้ว
ไฟเฟยไม่ปิดละฮะ เดี๋ยวมันก็ดับเอง เห็นดับบ่อย
วิ่งลืมตายไปอ๊ากกกอยู่หน้าประตูม้วน
แฟนไม่มาเอกไปหาเองก็ได้

นี่คือสาเหตุที่เอกหายไป ไม่บอกไม่กล่าว
พูดไปใครจะเชื่อ คนเข้า ๆ ออก ๆ ไม่มีใครเจอเลยสามสี่คน
เอกจะมาเจอคนเดียวก็เฮงไปหน่อย
เอกก็เลยไม่อยากเล่า

พวกเราก็ปลอบไปตามเรื่อง
ผมกับแซมที่รู้อยู่แล้วว่าไฟมันเอ๋อ ๆ ชอบดับเอง ก็พูดไปตามตรง
ส่วนปอนด์ไม่รู้ว่าจริง หรือพยายามกล่อม
มันบอกว่ามันเป็นคนเซ็ตลาเบลเอา ให้ตั้งฉากคันแขวนกับพื้นแล้วคลายน็อตหลวม ๆ
พอมันหนักมันก็จะค่อย ๆ หมุนมาขนานกับพิ้น แท่งเหล็กมันเลยกระทบกันเป็นเสียง

เอกบอก แต่ที่ได้ยินไม่ใช่เสียงโดนแรงแกว่งอะ
มันชัดเลยว่ามีคนเอานิ้วรูด แล้วเมิงจะอธิบายเรื่องเปลือกหมากฝรั่งยังไง
พวกเราก็บอกเอกอาจหายใจแรงไงเพื่อน เวลาคนเรากลัว เราหอบไม่รู้ตัวนะ จากที่ฟังคือเป่าจากตรงกลาง
เป็นไปได้ว่าจะเป็นลมจากเอกเอง

ถึงจะไม่ยอมรับแต่เพื่อนก็ดูจะให้กำลังใจและอยากให้เอกกลับมาจัดรายการ
เพราะขาดไปคนนึงช่วงรายการก็ดูไม่ครบองค์ประกอบ เพราะเราชอบมาแจมช่วงกันเป็นครั้ง ๆ
ขาดใครไปก็เหวง ๆ สุดท้ายเอกก็ยอมกลับมาจัดรายการโดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนเขาสักคน

แล้วหวยก็มาออกที่ผม ที่ว่างสุดในทีมแล้ว

โอเค ผมตกลง ถึงช่วงรายการเราจะห่างกันมาก
ผมเลยลากยาวตั้งแค่สองทุ่มยันสี่ทุ่มรอเอกมาเลย
ก็อยู่เป็นเพื่อนกันไปได้ระยะใหญ่ เหมือนผมเป็นตัวกันผี
เพราะระหว่างที่อยู่นี่ นอกจากไฟดับเพราะหลอดมันเจ๊ง
ก็ไม่มีปรากฏการณ์ใด ๆ อีกเลย เหมือนจะสบายใจได้ เอกก็เลยมาจัดรายการสม่ำเสมอ

จนกระทั่งวันหนึ่งราวเดือนธันวา
มันมีงานคริสมาสต์ที่โบสถ์ซึ่งพี่น.แกสังกัดอยู่
แกเชิญผมไปทำพิธีกร ผมก็เลยบอกเอกว่าอาจจะไม่ได้มานะวันนี้
จัดคนเดียวไปก่อนเด้อ ถ้าเลิกทันจะตามมา
เอกก็บอกอยู่ได้แล้ว ไม่น่ามีอะไร

ปรากฏวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่เอกจัดรายการ

คือหายไปเลย หายไปจากสถานี และหายไปจากชีวิตพวกผมพักใหญ่เลย
กว่าจะตามเจอได้คือต้องบังเอิญจริง ๆ กว่าจะยอมเล่าก็ใช้เวลาพอสมควร

คนมันจะเจอ ยังไงก็ต้องเจอ คนไม่เจอยังไงก็ไม่เจอ
เหมือนผีเค้ารอจังหวะให้เอกอยู่คนเดียว

วันนั้นเอกเล่าว่า มันมาตั้งแต่สามทุ่มละ นั่งคุยกับปอนด์กับป๋าไปสักพักจนถึงช่วงที่ตัวเองจัด
ทั้งสถานีมีเอกอยู่คนเดียวตามเคย แต่พอจัดรายการได้พักเดียว ก็เหมือนมีใครเดินผ่านหน้าประตูไป
เพราะเอกถึงจะหันหน้าเข้ากระจกห้องซ้อมดนตรี แต่ห้องนั้นปิดไฟมืด
กระจกใสเลยกลายเป็นกระจกเงา มองสะท้อนไปที่ประตูที่อยู่ด้านหลังได้
เอกเห็นเงาคนเดินวูบผ่านไป
พอเอกเห็นแบบนั้นจึงหันไปมองตาม ก็ยังเห็นขาคนเดินขึ้นบันได้ไปชั้นสามอยู่ไวไว
ก็คิดว่า อ๋อ ช่างไฟ เพราะที่สถานีจะมีช่างไฟชื่อย่อบุ๊คมานอนประจำอยู่
อาจจะไปเที่ยวเพิ่งกลับ เพราะงานเค้ามีแค่เปิดกับปิดเครื่องส่ง ดูแลความเรียบร้อยหลังปิดสถานีเฉย ๆ
ตอนนั้นผมยังจัดแค่หัวค่ำอยู่ บุ๊คเลยทำหน้าที่นี้ โดยบุ๊คจะนอนพักที่ชั้นสามที่เป็นห้องส่งเก่านั่นแหละ

เอกก็ไม่ได้สนใจจัดรายการจนจบ
แล้วก็ขึ้นรถเตรียมตัวจะกลับบ้าน
ก่อนออกรถก็เปิดฟังคลื่นตัวเองเพื่อเช็คว่า สปอตรันมั้ย เพลงเล่นแล้วหยุดเองหรือเปล่า
ก็เปิดฟังแล้วขับรถออกไปได้สักพัก

เอกเล่าว่าได้ยินเหมือนเสียงคนคุยกันแทรกมากับเพลงในคลื่น
เหมือนผู้หญิงคุยกับผู้ชาย แกก็คิดในใจเอ๊ ลืมปิดไมค์เหรอวะ ทำไมเสียงมันแทรกเข้ามา จะว่าคลื่นแทรกก็ไม่ใช่
แล้วสงสัยบุ๊คหาหญิงมานอนแน่ ๆ เพราะบุ๊คชอบมาเปิดแอร์นอนที่ห้องส่ง ข้างบนมันร้อน

แต่พอเงี่ยหูฟังดี ๆ
ปรากฏไมค์มันหอนวี๊ดดดดดด ใส่เอกแก้วหูแทบแตก
อารมตบใจรีบตบปิดวิทยุทันที ใจนี่เต้นตึก ๆ ตัก ๆ

กระทั่งตอนเช้า เอกต้องเอาเทปบันทึกงานแต่งงานไปให้ทีมงานพี่ช่างเจ้าของคลื่นลูกทุ่งตัดงานส่งลูกค้า
ก็พอดีบุ๊คนั่งอยู่ด้วย เลยแซว ฮั่นแน่ เมื่อคืนกลับดึกเชียวนะ พาหญิงที่ไหนมานอนด้วยอะดิ

ปรากฏบุ๊คทำหน้าเอ๋อเหรอใส่
ห๊ะ อะไรนะพี่ เมื่อคืนอะไร
ผมอยู่กับนายช่างที่งานคอนเสิร์ตต่างอำเภอ
นอนเฝ้าเครื่องเสียง ไม่ได้กลับมาเด๊

....เอกก็อึ้งไป
เขร้ แล้วขาใครวะเดินขึ้นชั้นสามไป
ไหนจะเสียงคนคุยกันอีก

นั่นละฮะ เจออีกแล้ว
ถึงตอนนี้พวกผมก็หมดเหตุผลจะโน้มน้าวให้เอกมาทำงานแล้วครับ

ไม่นานด้วยต่างคนต่างมีภาระบวกความนิยมในคลื่นวิทยุเริ่มน้อย
สายที๋โทรมาขอเพลงเริ่มหดหายเพราะการมาของเน็ตไฮสปีดและโซเซี่ยนเน็คเวิร์ค
พวกเราก็ล้มหายตายจากแยกย้ายกันไป

เหลือผมคนเดียวที่ยังจัดรายการอยู่
จึงคิดที่จะชักชวนรุ่นน้องที่มหา'ลัยมาทำดีเจด้วย
เพราะตอนนั้นผมขึ้นปีสองแล้ว เห็นแววรุ่นน้องกลุ่มหนึ่งน่าจะทำรายการได้จึงชวนมา

ไม่คิดเลย จะพามันมาเจอประสบการณ์หยดหยองที่เจอหน้ากันกี่ครั้งก็ต้องเล่าถึง

ตามต่อที่คอมเมนท์นะครับ จะครบโควต้าตัวอักษรแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่