ลูกเรียนจบเเล้วออกไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง มันเร็วไปไหม ต้องอายุเท่าไหร่ ถึงจะเรียกว่าเหมาะสม?

อีกเพียงแค่ไม่ถึงเทอม ลูกสาวเราก็จะเรียนจบแล้ว วันนี้เค้าไม่ใช่เด็กน้อยที่เดินตามแม่อีกต่อไป เมื่อวานเค้าเพิ่งจะโทรมาบอกว่า จะหางานทำที่เมืองหลวง (เค้าเรียนที่นั่น) เค้าบอกว่าที่บ้านเราชนบทจนเกินไป ไม่มีสายงานที่เค้าต้องการจะทำ

ก่อนที่เค้าจะไปเรียนมหาลัย เราเคยคิดเอาไว้ว่า หลังจากที่เรียนจบแล้ว เค้าก็คงจะกลับมาอยู่บ้าน หางานทำแถวบ้าน จนกว่าจะแต่งงาน ถึงจะแยกออกไป (สังคมไทยๆเราก็เป็นแบบนี้)

และเหตุผลหลักๆเลยก็น่าจะเป็นเพราะเค้ามีแฟน เด็กหนุ่มที่คบหากันมาตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมแรก ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่าคงจะคบกันไม่นาน อีกหน่อยก็คงจะเลิกรากันไป เหมือนกับหลายๆคู่ แค่ก็จับผลัดจับผลู รักกันเหนียวแน่นจนไกล้จะเรียนจบแล้วทั้งคู่ แถมยังมีโครงการณ์เรียบร้อยแล้วว่า จะทำงานสักสองปี แล้วจะกลับไปต่อโท (ขอทุนบริษัทไปเรียนต่อ) หลังจากนั้นก็จะแต่งงานกัน และจะมีลูกตอนอายุ 27 เค้าจะยังไม่แต่งงานตอนนี้ เพราะอยากทำงานเก็บเงินก่อน เราได้ยินแล้วก็อ้าปากค้าง คือมันอึ้ง มันพูดไม่ออก ทำได้แค่รับฟังแล้วก็อือๆออๆ

ลูกสาวบอกกับเราว่า อยากให้เราแนะนำว่าสิ่งที่เค้าคิดที่จะทำถูกหรือผิดยังไง เค้าพร้อมที่จะรับฟังคำตักเตือน เรื่องจริงก็คือเรากำลังอึ้ง เลยไม่รู้จะแนะนำยังไง เราก็แค่ถามว่าจะทำงานที่ไหน และจะพักอยู่ที่ไหน เค้ารีบส่งเวปของอพาตเม้นท์มาให้เราดู พร้อมกับแผนที่ในกูเกิ้ล

เค้าไม่เคยบอกกับเราก็จริงว่าจะอยู่กับแฟน แต่เราคิดไว้ว่าน่าจะเป็นแบบนั้น เรารู้ว่าเค้ารักกันมาก และเด็กผู้ชายก็เป็นคนดี มาจากครอบครัวที่ดี สมัยตอนที่คบหากันใหม่ๆ ทั้งพ่อและแม่ของแฟนลูกสาวเดินทางมาทำความรู้จักกับเราและสามี เราก็พอจะมองออกว่า ทั้งคู่เอ็นดูลูกสาวเรามาก ไม่ต่างกับที่เราเอ็นดูลูกชายเค้า ทุกครั้งที่แฟนลูกสาวมาเที่ยวบ้าน เราจะจัดห้องพักให้ ดูแลเหมือนกับลูกเราคนนึง เด็กทั้งคู่เข้ากับครอบครัวทั้งสองฝ่ายได้ดี ในสายตาเราเค้าเป็นคู่ที่เหมาะสม

เราไม่ได้ทุกข์ แต่เราก็ไม่ได้มีความสุข เรายังรู้สึกว่าเค้ายังเป็นลูกสาวตัวเล็กๆ มันเร็วเกินไปที่เค้าจะจากอกไปไวขนาดนี้ นับวันเค้ายิ่งห่าง เรารักลูกนะ รักมาก เรามีความสุขที่เห็นเค้ามีความสุข และเราก็มั่นใจว่า เราสามารถรักผู้ชายที่ลูกเรารักได้เหมือนกับลูกเราอีกคน แต่เราก็ยังสับสน เหมือนยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังค้างคาใจ แต่เราก็พูดออกมาไม่ได้ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเค้าทั้งคู่อายุเพียงเเค่ 21

เราคุยเรื่องนี้กับสามี สามีเราบอกว่า เราควรที่จะดีใจกับลูก เค้ารู้จักการวางแผนชีวิต เค้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร สามีบอกให้เราปล่อยวาง เราควรที่จะมีความสุขกับลูก ปล่อยให้อนาคตเป็นเรื่องของเค้าสองคน เอาไว้เค้าต้องการความช่วยเหลือจากเราเมื่อไหร่ค่อยเข้าไปก็ยังไม่สาย

ถ้าคุณเป็นเรา คุณจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ และคุณจะบอกกับลูกยังไง ถึงความรู้สึกของตัวเอง ??

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เราเคยคิดเอาไว้ว่า หลังจากที่เรียนจบแล้ว เค้าก็คงจะกลับมาอยู่บ้าน หางานทำแถวบ้าน จนกว่าจะแต่งงาน ถึงจะแยกออกไป (สังคมไทยๆเราก็เป็นแบบนี้)

คิดไปเองหรือเป่า สังคม พ.ศ ไหนนิ
โตแล้วปล่ยอให้ลูกคิดเองเหอะ วางแผนชีวิต จนเรียนจบละ ท่าเหลวแหลก คงเรียนไม่จบแต่ ม ต้น ละ
ความคิดเห็นที่ 8
เชื่อที่สามีพูดค่ะ

คุณปล่อยลูกให้ออกไปโบยบินมาตั้งนานแล้ว คุณให้ลูกดูแลตัวเองมานานจนลูกเก่งแล้วกับการดูแลตัวเอง ลูกคุณยังรู้จักการวางแผนชีวิตด้วย คิดอยากเรียนต่อ มีการทำงานที่ดี มีแฟนที่ดี(อย่างน้อยก็ 4 ปีที่ผ่านมา) คุณควรจะดีใจนะคะที่ลูกเป็นเด็กแบบนี้

กลับกันคุณว่าตัวเองจะดีใจไม๊ถ้าวันนี้ลูกคิดอะไรเองไม่เป็น ไม่วางแผนชีวิตเลย ทุกอย่างถามแม่ ตามใจแม่สิ เอาไงดีจ๊ะแม่ เรียนอะไรดีแม่ อยู่ตรงไหนดีแม่ฯลฯ หรือแย่สุดคือเรียนแทบไม่จบ เข็นแทบตาย จบมาไม่อยากทำงาน อยากกลับบ้านอยู่กับแม่ไปตลอด แถมคบผู้ชายไม่ดี คุณคิดว่ามีลูกแบบไหนดีกว่าคะ???

คุณและสามีปั้นลูกมาแบบนี้ มาถูกทางแล้ว อนาคตแม้คุณและสามีจะจากไปก็สบายใจได้ว่าลูกมีชีวิตอยู่ได้สบายๆแน่นอน
ความคิดเห็นที่ 33
เราขอขอบคุณในทุกๆความคิดเห็นนะคะ เราค่อยๆอ่านเเละอ่านซ้ำๆกัน เพราะเรื่องนี้มีผลต่อความรู้สึกของเรามาก

ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องมีอยู่ทั่วเมืองไปหมด เราบอกตรงๆว่าเรายังเเคร์สายตาของญาติพี่น้องรอบข้าง ที่ผ่านมาทุกเทศกาล ลูกเราจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่เเละมอบของขวัญให้กับญาติผู้ใหญ่ทุกคน เเสดงความเคารพมาโดยตลอด  เค้าเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบในชีวิตมากๆคนนึง เเม้เเต่ย่าก็ภูมิใจเค้ามากในจุดนี้

เเต่น้ำเสียงเล็กๆบางเสียง บางครั้งก็ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะเก็บเอามาคิด เราไม่รู้ว่าจะตอบคำถามคนเหล่านั้นยังไง ทำได้เเค่ยิ้มเจื่อนๆ เราอึดอัด เเต่เราก็ไม่เคยคิดที่จะไปทำลายความรักของลูก เรารู้ว่าเค้ารักกันมาก เค้าวางเเผนที่จะสร้างอนาคตร่วมกันไว้สูง เเละเเฟนเค้าก็เป็นเด็กผู้ชายที่ดีมาก ทั้งพ่อเเละเเม่ของเค้าต่างก็ภูมิใจในตัวเค้า จัดว่าเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบมากๆคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ (เเฟนเค้าทำงานหลังเลิกเรียนมาตลอด เเละฝึกงานตอนปิดเทอมมาตลอดตั้งเเต่ตอนปีสอง เค้าสามารถเก็บเงินซื้อรถใหม่เอี่ยมได้ด้วยเงินตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินพ่อเเม่ เเละที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สมัยที่เค้าคบหากันใหม่ๆ เด็กผู้ชายกล้ามาเจอเราเเละสามี ทั้งที่อายุเเค่เพียง 18 เรามองเห็นความจริงใจตั้งเเต่ตอนนั้น)

เรารู้ว่าเราควรอยู่ข้างลูก  เเต่รอยยิ้มเยาะบางครั้งมันก็ทำให้เราเสียความรู้สึก ความรู้สึกที่ว่า "ดูลูกสาวบ้านนั้นซิ ไปอยู่กับผู้ชายก่อนเเต่ง ทำเรื่องงามหน้า อีกหน่อยก็ท้องกลับมาบ้าน" ขนาดตอนที่เค้าคบหากันใหม่ๆ หลายเสียงยังบอกว่า เดี๋ยวก็เลิกกัน เเล้วก็จะมีใหม่ไปเรื่อยๆ คนที่มีลูกสาวจะรู้ดีว่า เสียงเหล่านี้ทำร้ายจิตใจเราได้มากขนาดไหน ถึงขั้นน้ำตาตกในเลยก็ว่าได้

ความรู้สึกเหล่านี้เราไม่เคยเเสดงออกให้ลูกสาวเห็น เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่อง ที่เราต้องเอาความทุกข์ไปเเบ่งปันกับลูก เเละมันก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะจับเค้าเเยกจากกัน เราได้หน้า เเล้วลูกเราเป็นทุกข์ เพื่ออะไร...

สามีเราเค้ามีความคิดต่างกับเรามาก รายนั้นเค้าอยู่ข้างลูกพันเปอร์เซ็น อะไรที่เป็นความสุขของลูกเค้าส่งเสริมเเละคอยให้ความช่วยเหลือเต็มร้อย เค้าไม่เเคร์สายตาใครเลยสักนิด ซ้ำยังเคารพการกระทำเเละภูมิใจกับลูกสาวมาก ตั้งเเต่เล็กจนโตลูกเราจัดว่าเป็นลูกสาวพ่อ เค้ารักเเละเป็นห่วงกันมาก เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เพราะอะไรสามีเราถึงหมดห่วงได้ดีกว่าเราถึงขนาดนี้ (ครั้งเเรกที่เด็กผู้ชายมาทำความรู้จัก เค้าปิดห้องคุยกันกับเเฟนลูกสาว เเละไม่เคยเล่าให้เราฟังว่าคุยอะไรกันบ้าง เค้าบอกว่าเป็นความลับของลูกผู้ชาย)

อีกครั้ง..เราขอขอบคุณทุกๆความเห็นนะคะ มากๆที่สุดเลยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ครอบครัว การสอนลูก วางแผนครอบครัว
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่