จริงๆสองคำนี้ความหมายก็ใกล้เคียงกันมาก (แค่มิตรภาพจะใช้ได้กับทุกเพศ) แต่กับมิตรภาพที่มันมีความ ละมุน เป็นพิเศษ ก็ขอเรียกว่าเป็น Bromance ละกันครับ (ไม่ใช่ Romance นะ)
ในที่นี้จะพูดถึงการนำเสนอเรื่องราวในภาพยนตร์ศรีอโยธยาเป็นหลัก โดยไม่นำประเด็นเรื่องความถูกต้องตามประวัติศาสตร์มาเกี่ยวข้องนะครับ
มาเริ่มกันที่มิตรภาพของสามเกลอแห่งกรุงศรีอยุธยากันเลยดีกว่า
ด้วยความหล่อเหลาเอาการของคณุทองด้วย คุณสิน และคุณบุนนาค ทำให้มีผู้เรียกว่า #บอยแบนด์กรุงศรี กันเลยทีเดียว ซี่งในเรื่องก็ให้เราได้เห็นความสัมพันธ์ตั้งแต่เป็นวัยเด็กว่ารับใช้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมาด้วยกัน แยกย้ายกันไปตามหน้าที่ และกลับมารวมตัวกันในยามศึก กระทั่งจากกันอีกครั้งหลังศีกจบลงแล้ว เมื่อนึกถึงว่าเรื่องราวอยู่ในช่วงเวลาทีการติดต่อสื่อสารมันยากลำบาก ความรู้สึกของทั้งสามคนที่แสดงออกมานั้น มันไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใดเลย
ตัวเรื่องนำเสนอความสัมพันธ์ทั้งในยามศึกที่เคียงบ่าเคียงใหล่กัน การเที่ยวราตรีตามประสาหนุ่มโสด ไปถึงการวิ่งแข่งแบบเด็กๆ และการหยอกล้อกันเรื่องยศตำแหน่งภายหลังจากที่ทั้งสามคนได้รับการแต่งตั้งแล้ว... เป็นมิตรภาพของรุ่นใหญ่ที่ทั้งจริงจังและอมยิ้มไปด้วยในคราวเดียว
และต่อด้วยมิตรภาพแบบ Bromance ที่ละมุนละไมขึ้นมาอีกนิด
ในเรื่องเจ้าฟ้าสุทัศน์และพิมานอาจจะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง (เจ้าชายกับมหาดเล็ก) การสนทนาหรืออะไรต่างๆแสดงฐานะที่ต่างกันอย่างชัดเจน แต่ด้วยความสนิทสนมตั้งแต่วัยเด็กที่เราได้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง การที่เจ้าฟ้าสุทัศน์เรียกหาแต่พิมาน หรือพิมานแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้าฟ้าสุทัศน์ ยิ่งในตอนล่าสุดที่ทั้งสองคนก้าวสู่วัยหนุ่ม เคมีและความละมุนระหว่างสองคนนี้ก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น (อาจจะด้วยความหล่อเหลาของนักแสดงอย่างอนันดาและฮัทด้วย) การมองกันไปมองกันมา การพูดถึงอีกฝ่ายหนึ่งเสมอๆ การที่ตัวติดกันตลอด (แหงล่ะ) และแววตา รอยยิ้มที่ทั้งคู่ส่งให้กัน โดยเฉพาะจากพิมานที่ส่งให้เจ้าฟ้าสุทัศน์นั้น มันแสดงความรักและภักดีอย่างลึกซึ้งจริงๆ
มิตรภาพ และ Bromance ในศรีอโยธยา
ในที่นี้จะพูดถึงการนำเสนอเรื่องราวในภาพยนตร์ศรีอโยธยาเป็นหลัก โดยไม่นำประเด็นเรื่องความถูกต้องตามประวัติศาสตร์มาเกี่ยวข้องนะครับ
มาเริ่มกันที่มิตรภาพของสามเกลอแห่งกรุงศรีอยุธยากันเลยดีกว่า
ด้วยความหล่อเหลาเอาการของคณุทองด้วย คุณสิน และคุณบุนนาค ทำให้มีผู้เรียกว่า #บอยแบนด์กรุงศรี กันเลยทีเดียว ซี่งในเรื่องก็ให้เราได้เห็นความสัมพันธ์ตั้งแต่เป็นวัยเด็กว่ารับใช้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมาด้วยกัน แยกย้ายกันไปตามหน้าที่ และกลับมารวมตัวกันในยามศึก กระทั่งจากกันอีกครั้งหลังศีกจบลงแล้ว เมื่อนึกถึงว่าเรื่องราวอยู่ในช่วงเวลาทีการติดต่อสื่อสารมันยากลำบาก ความรู้สึกของทั้งสามคนที่แสดงออกมานั้น มันไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใดเลย
ตัวเรื่องนำเสนอความสัมพันธ์ทั้งในยามศึกที่เคียงบ่าเคียงใหล่กัน การเที่ยวราตรีตามประสาหนุ่มโสด ไปถึงการวิ่งแข่งแบบเด็กๆ และการหยอกล้อกันเรื่องยศตำแหน่งภายหลังจากที่ทั้งสามคนได้รับการแต่งตั้งแล้ว... เป็นมิตรภาพของรุ่นใหญ่ที่ทั้งจริงจังและอมยิ้มไปด้วยในคราวเดียว
และต่อด้วยมิตรภาพแบบ Bromance ที่ละมุนละไมขึ้นมาอีกนิด
ในเรื่องเจ้าฟ้าสุทัศน์และพิมานอาจจะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง (เจ้าชายกับมหาดเล็ก) การสนทนาหรืออะไรต่างๆแสดงฐานะที่ต่างกันอย่างชัดเจน แต่ด้วยความสนิทสนมตั้งแต่วัยเด็กที่เราได้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง การที่เจ้าฟ้าสุทัศน์เรียกหาแต่พิมาน หรือพิมานแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้าฟ้าสุทัศน์ ยิ่งในตอนล่าสุดที่ทั้งสองคนก้าวสู่วัยหนุ่ม เคมีและความละมุนระหว่างสองคนนี้ก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น (อาจจะด้วยความหล่อเหลาของนักแสดงอย่างอนันดาและฮัทด้วย) การมองกันไปมองกันมา การพูดถึงอีกฝ่ายหนึ่งเสมอๆ การที่ตัวติดกันตลอด (แหงล่ะ) และแววตา รอยยิ้มที่ทั้งคู่ส่งให้กัน โดยเฉพาะจากพิมานที่ส่งให้เจ้าฟ้าสุทัศน์นั้น มันแสดงความรักและภักดีอย่างลึกซึ้งจริงๆ