พรุ่งนี้เช้าจะต้องบินไปอินเดีย ไฟล์ทออกเวลา 7 โมงเช้าคิดว่าจะออกจากบ้านประมาณตี 4 จะได้เช็คอินเร็วๆ แล้วไปช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษีสักหน่อย (ปกติเป็นคนช้อปปิ้งในสนามบินตลอด) นอกจากนั้นจะได้มีเวลาไปนั่งเล่นใน Lounge สายการบินอีกนิดนึง แต่ตอนนี้ต้องรีบแพคกระเป๋าก่อนแล้ว
เมื่อจะเริ่มแพคกระเป๋าต้องเตือนตัวเอง ว่าไปอินเดียห้ามใส่สั้น ไม่ว่าจะกระโปรงสั้น หรือกางกางขาสั้น เพราะครั้งที่แล้วไปเมืองโคจี (Kochi) ใส่กางเกงขาสั้นไปเดินห้างที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดของเมือง คนก็ยังมองแปลกๆพอสมควร และที่แปลกคือคนที่มองส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิง คราวนี้จึงจะต้องแต่งตัวเรียบร้อยหน่อยแล้ว
ก่อนที่จะแพคเสื้อผ้า แพมจะเลือกธีมสีของทริปก่อน เพื่อที่จะสร้าง Capsule Wardrobe (การให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าชิ้นหลักๆ และสามารถใช้ได้ในทุกโอกาส ในสีโทนใกล้เคียงกัน ทำให้ไม่ต้องขนเสื้อผ้าไปเยอะเกินไป) คราวนี้ตัดสินใจว่าจะใส่เสื้อผ้าสไตล์สีสดใส และออกโทนอุ่นๆ จึงเลือกโทนสี แดง ส้ม และ เหลือง พร้อมกับเตรียมเครื่องประดับแวววาวโทนสีทอง ให้เข้ากับความเป็นอินเดีย ปกติแพมจะไม่เจาะจงว่าจะต้องใส่ชุดไหนวันไหน แต่เพียงเลือกธีมสีเอาไว้ พอไปถึงแล้วก็ค่อยดูว่าวันนั้นอยากจะอะไร พอมีธีมสีที่ชัดเจนจะ mix-and-match ได้ง่าย ยังไงก็รอด

สำหรับกระเป๋าเดินทางคราวนี้ แพม เลือกกระเป๋าสีบรอนซ์ทอง ของ มูจิ (Muji) จริงๆใช้กระเป๋าใบนี้มาหลายปีแล้ว แต่เป็นขนาดใหญ่ เร็วๆนี้เพิ่งจะได้ไปซื้อใบเล็กเข้าคู่มาเพิ่มอีกหนึ่งใบเพราะรำคาญเวลามองไปแล้วกระเป๋าสองใบไม่เข้ากัน กระเป๋ารุ่นใหม่ และรุ่นเก่าของมูจิ มีความแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นก็คือตัวซิปที่ถูกเปลี่ยนให้ดูเรียบ และทันสมัยมากขึ้น ส่วนการใช้งานการล็อคล้อ เมื่อก่อนจะมีตัวหมุนอยู่ด้านหลังประเป๋าเพื่อล็อค แต่รุ่นใหม่จะใช้เป็นปุ่มกดแทน ซึ่งทำให้สะดวกในการใช้งานมากขึ้น พูดถึงกระเป๋าที่ล็อคล้อได้จริงๆนั้นมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางโดยรถไฟ เนื่องจากแบรนด์ มูจิ ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น การออกแบบการใช้งานจึงแสดงออกถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ต้องใช้รถไฟอยู่เป็นประจำ โดยรวมกระเป๋าทั้งสองรุ่นยังคนมีรูปลักษณ์เหมือนเดิม สีเดิม และยังมีตัวล็อคกระเป๋าแบบ TSA (ที่จำเป็นต้องใช้หากบินไปประเทศอเมริกา) ติดมากับกระเป๋าอยู่แล้ว เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ไม่ต้องไปซื้อตัวล็อคมาล็อคเพิ่ม แต่จริงๆคิดว่ากระเป๋ารุ่นนี่ควรจะมีล็อคที่เป็นรหัสมากกว่า เพราะส่วนตัวไม่ชอบถือกุญแจ กลัวทำหาย

ที่ชอบใช้กระเป๋า มูจิ เป็นพิเศษเพราะรุ่นที่ใช้อยู่เป็นกระเป๋าไซส์กลาง กำลังพอดี และเป็นวิธีควบคุมน้ำหนักกระเป๋าทางอ้อม เนื่องจากกระเป๋ามีพื้นที่จำกัด มันก็ใส่ของได้เท่านั้น จะใส่ให้เต็มยังไงก็ไม่เกิดหนักเกินไปแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เล็กจนเกินไป ส่วนกระเป๋าไซส์ใหญ่ก็เสี่ยงกับการใส่ของมากเกิน ทำให้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม และอาจจะเกินเกณฑ์ที่การสายบินระบุไว้ สิ่งสุดท้ายที่นักเดินทางต้องการคือเมื่อไปถึงสนามบินเคาน์เตอร์เช็คอินสายการบินแล้วพบว่า กระเป๋าเกินไป ทำให้ต้องเสียค่าน้ำหนักเพิ่ม เพราะฉะนั้นยิ่งสามารถแพคกระเป๋าให้เบาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ก่อนหน้านี้ แพมได้ลองใช้กระเป๋าแข็งคล้ายๆใบนี้แต่เป็นเหล็ก สรุปน้ำหนักโดยรวมหนักขึ้นกว่าเวลาใช้กระเป๋ารุ่นพลาสติกหลายกิโล ทั้งๆที่ใส่สัมภาระเหมือนกัน ปกติกระเป๋าของ แพม จะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18 kg ต่อใบ สำหรับทริป 7-10 วัน (อันนี้ไม่รวมทริปที่อากาศหนาวมากๆนะ ถ้าทริปแบบนั้นแค่นี้ไม่พอ 555)
หวังว่าคราวนี้คงจะไม่ลืมแพคอะไรอีกนะ!
ชอบกระทู้นี้? ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ทาง:
-
www.pammelim.com
-
www.facebook.com/pammelim
-
www.instagram.com/pammelim
PAMMELIM: จัดกระเป๋าเที่ยวอินเดีย (เทคนิคการจัดกระเป๋าเดินทาง)
เมื่อจะเริ่มแพคกระเป๋าต้องเตือนตัวเอง ว่าไปอินเดียห้ามใส่สั้น ไม่ว่าจะกระโปรงสั้น หรือกางกางขาสั้น เพราะครั้งที่แล้วไปเมืองโคจี (Kochi) ใส่กางเกงขาสั้นไปเดินห้างที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดของเมือง คนก็ยังมองแปลกๆพอสมควร และที่แปลกคือคนที่มองส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิง คราวนี้จึงจะต้องแต่งตัวเรียบร้อยหน่อยแล้ว
ก่อนที่จะแพคเสื้อผ้า แพมจะเลือกธีมสีของทริปก่อน เพื่อที่จะสร้าง Capsule Wardrobe (การให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าชิ้นหลักๆ และสามารถใช้ได้ในทุกโอกาส ในสีโทนใกล้เคียงกัน ทำให้ไม่ต้องขนเสื้อผ้าไปเยอะเกินไป) คราวนี้ตัดสินใจว่าจะใส่เสื้อผ้าสไตล์สีสดใส และออกโทนอุ่นๆ จึงเลือกโทนสี แดง ส้ม และ เหลือง พร้อมกับเตรียมเครื่องประดับแวววาวโทนสีทอง ให้เข้ากับความเป็นอินเดีย ปกติแพมจะไม่เจาะจงว่าจะต้องใส่ชุดไหนวันไหน แต่เพียงเลือกธีมสีเอาไว้ พอไปถึงแล้วก็ค่อยดูว่าวันนั้นอยากจะอะไร พอมีธีมสีที่ชัดเจนจะ mix-and-match ได้ง่าย ยังไงก็รอด
สำหรับกระเป๋าเดินทางคราวนี้ แพม เลือกกระเป๋าสีบรอนซ์ทอง ของ มูจิ (Muji) จริงๆใช้กระเป๋าใบนี้มาหลายปีแล้ว แต่เป็นขนาดใหญ่ เร็วๆนี้เพิ่งจะได้ไปซื้อใบเล็กเข้าคู่มาเพิ่มอีกหนึ่งใบเพราะรำคาญเวลามองไปแล้วกระเป๋าสองใบไม่เข้ากัน กระเป๋ารุ่นใหม่ และรุ่นเก่าของมูจิ มีความแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นก็คือตัวซิปที่ถูกเปลี่ยนให้ดูเรียบ และทันสมัยมากขึ้น ส่วนการใช้งานการล็อคล้อ เมื่อก่อนจะมีตัวหมุนอยู่ด้านหลังประเป๋าเพื่อล็อค แต่รุ่นใหม่จะใช้เป็นปุ่มกดแทน ซึ่งทำให้สะดวกในการใช้งานมากขึ้น พูดถึงกระเป๋าที่ล็อคล้อได้จริงๆนั้นมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางโดยรถไฟ เนื่องจากแบรนด์ มูจิ ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น การออกแบบการใช้งานจึงแสดงออกถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ต้องใช้รถไฟอยู่เป็นประจำ โดยรวมกระเป๋าทั้งสองรุ่นยังคนมีรูปลักษณ์เหมือนเดิม สีเดิม และยังมีตัวล็อคกระเป๋าแบบ TSA (ที่จำเป็นต้องใช้หากบินไปประเทศอเมริกา) ติดมากับกระเป๋าอยู่แล้ว เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ไม่ต้องไปซื้อตัวล็อคมาล็อคเพิ่ม แต่จริงๆคิดว่ากระเป๋ารุ่นนี่ควรจะมีล็อคที่เป็นรหัสมากกว่า เพราะส่วนตัวไม่ชอบถือกุญแจ กลัวทำหาย
ที่ชอบใช้กระเป๋า มูจิ เป็นพิเศษเพราะรุ่นที่ใช้อยู่เป็นกระเป๋าไซส์กลาง กำลังพอดี และเป็นวิธีควบคุมน้ำหนักกระเป๋าทางอ้อม เนื่องจากกระเป๋ามีพื้นที่จำกัด มันก็ใส่ของได้เท่านั้น จะใส่ให้เต็มยังไงก็ไม่เกิดหนักเกินไปแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เล็กจนเกินไป ส่วนกระเป๋าไซส์ใหญ่ก็เสี่ยงกับการใส่ของมากเกิน ทำให้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม และอาจจะเกินเกณฑ์ที่การสายบินระบุไว้ สิ่งสุดท้ายที่นักเดินทางต้องการคือเมื่อไปถึงสนามบินเคาน์เตอร์เช็คอินสายการบินแล้วพบว่า กระเป๋าเกินไป ทำให้ต้องเสียค่าน้ำหนักเพิ่ม เพราะฉะนั้นยิ่งสามารถแพคกระเป๋าให้เบาได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ก่อนหน้านี้ แพมได้ลองใช้กระเป๋าแข็งคล้ายๆใบนี้แต่เป็นเหล็ก สรุปน้ำหนักโดยรวมหนักขึ้นกว่าเวลาใช้กระเป๋ารุ่นพลาสติกหลายกิโล ทั้งๆที่ใส่สัมภาระเหมือนกัน ปกติกระเป๋าของ แพม จะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18 kg ต่อใบ สำหรับทริป 7-10 วัน (อันนี้ไม่รวมทริปที่อากาศหนาวมากๆนะ ถ้าทริปแบบนั้นแค่นี้ไม่พอ 555)
หวังว่าคราวนี้คงจะไม่ลืมแพคอะไรอีกนะ!
ชอบกระทู้นี้? ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ทาง:
- www.pammelim.com
- www.facebook.com/pammelim
- www.instagram.com/pammelim