***ห้องเรียนคนรากหญ้า*** 28 ธ.ค.60 250ปี กรุงธนบุรี

สวัสดีปีใหม่ค่ะ เพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน กระทู้นี้คงเป็นกระทู้ห้องเรียนรากหญ้าส่งท้ายปี2560นะคะ
ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาส้มมีเรื่องที่ต้องอธิบายให้ทราบก่อนคือ

เนื้อหาทั้งหมดที่ส้มนำมาใส่ในกระทู้นี้ นำมาจาก google ทั้งหมดค่ะ ส้มแค่นำมารวบรวม เรียบเรียง ตัดแปะและจัดให้อ่านเข้าใจง่ายค่ะ และในส่วนท้ายส้มได้ให้เครดิตที่มาค่ะ
เพราะเนื่องจากส้มเองก็ไม่มีไทม์แมชชีนที่จะย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ช่วง พ.ศ.2310ได้ อีกทั้งไม่มีญาติพี่น้อง ปู่ทวดที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วงนั้นมาเล่าให้ฟังด้วย
ทั้งหมดนอกจาก google แล้วก็มีความจำในสมัยเรียนเท่านั้น ต้องกราบขออภัยในที่นี้ด้วยค่ะ


มาเข้าสู่เนื้อหากันเลยนะคะ ห้องเรียนวันนี้คงต้องบอกว่า เนื้อเรื่องค่อนข้างมาก ถือว่าอ่านไปรู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามล่ะกันค่ะ คริ คริ
วันพรุ่งนี้เมื่อ250 ปีที่แล้ว พระยาตากได้สถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง หลังจากกรุงศรีฯถูกทำลายจนย่อยยับ
แต่เดิมนั้นกรุงธนบุรีเรียกกันว่า บางกอก ซึ่งมีการสันนิษฐานถึงชื่อนี้เอาไว้หลายทางด้วยกัน
มาจากคำว่า มะกอก ที่ขึ้นอยู่มากมายริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาแถวนี้
บ้างก็ว่ามาจากภาษามาลายู Benkok ที่แปลว่าคดโค้ง เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงนี้คดโค้งมาก
ในอดีตกาลนั้นแม่น้ำเจ้าพระยามีลักษณะที่คดเคี้ยวมาก มีการขุดคลองลัดหลายช่วงหลายเวลามากคือ


ภาพจากวิกิ
ในรูปเส้นสีเขียวคือคลองที่ขุด เส้นฟ้าคือแนวแม่น้ำเดิม
เลข๑ คือคลองลัดบางกอก ขุดในสมัย สมเด็จพระไชยราชาธิราช พ.ศ.2065
เลข๒ คลองลัดบางกรวย ขุดในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ พ.ศ.2081
เลข๓ คลองลัดบางกรวย ขุดในสมัยสมเด็จประเจ้าปราสาททอง พ.ศ.2139


แรกเริ่มในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา มีการติดต่อค้าขายทางทะเลมากขึ้น ทรงยกเมืองบางกอกขึ้นเป็นเมืองหน้าด่าน
พระราชทานนามว่า “เมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร” และทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงวิตกที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกแพร่อิทธิพลเข้ามาทางทะเล
โดยเฉพาะฮอลันดา นอกจากจะทรงย้ายพระราชวังไปอยู่เมืองลพบุรีให้ลึกจากทะเลเข้าไปแล้ว
สมเด็จพระนารายณ์ยังขอให้ราชทูตเชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ ราชทูตจาก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส
ช่วยสร้างป้อมตามวิทยาการแบบตะวันตกขึ้นที่เมืองลพบุรีและเมืองหน้าด่านธนบุรี ซึ่งท่านราชทูตได้ให้ เดอ ลามาร์ วิศกรที่มาในคณะเป็นผู้ออกแบบ
และสมเด็จพระนารายณ์ยังทรงขอตัว นายเรือโทเชอวาเลียร์ เดอ ฟอร์บัง นายทหารในคณะทูต พร้อมทหารฝรั่งเศสอยู่รักษาป้อมที่กรุงธนบุรีด้วย

ป้อมที่กรุงธนบุรีนั้นสร้างขึ้นทั้งสองฝั่งแม่น้ำ โดยฝั่งตะวันตกสร้างขึ้นที่ปากคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งเป็นที่ตั้งกองทัพเรือในปัจจุบัน
ส่วนฝั่งตะวันออกสร้างตรงข้ามกัน คือที่ตั้ง ร.ร.ราชินีในปัจจุบัน ทั้งสองป้อมให้ชื่อว่า “ป้อมวิชเยนทร์”
ตามชื่อเจ้าพระยาวิชเยนทร์ อัครมหาเสนาบดีชาวกรีก

ผู้มีบทบาทสำคัญในตอนนั้นและเป็นแม่กองงานสร้าง ติดตั้งปืนใหญ่และขึงโซ่เหล็กถึงกันขวางแม่น้ำ
ต่อมาเมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พระเพทราชาได้ส่งทหารมาขับไล่ทหารฝรั่งเศสของนายพลเดฟาร์ชที่รักษาป้อม
ทหารฝรั่งเศสมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอรักษาป้อมทั้งสองฝั่ง นายพลเดฟาร์ชจึงให้ทำลายป้อมฝั่งตะวันออกบางส่วน
ไม่ให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไทย แล้วย้ายมารวมกันที่ป้อมฝั่งตะวันตก

เหตุการณ์ช่วงเสียกรุง

ผ่านมาถึงในช่วงเวลาก่อนกรุงศรีฯแตกไม่นาน พระยาตากได้เห็นความอ่อนแอของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน
และมองไม่เห็นหนทางที่จะเอาชนะข้าศึกได้ จึงไม่อยากอยู่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไปบังเกิดขึ้นหลายครั้งดังนี้  
พระยาตากคุมทหารออกไปรบนอกเมือง และสามารถรบชนะข้าศึกได้แต่ทางการไม่ส่งทหารมาเพิ่ม
จึงต้องเสียค่ายนั้นไปอีกพระยาตากได้รับบัญชาให้ยกกองทัพเรือออกไปรบพร้อมกับพระยาเพชรบุรี
แต่พระยาตากเห็นว่าพม่ามีพลที่มากกว่า จึงห้ามไม่ให้พระยาเพชรบุรีไปออกรบ แต่พระยาเพชรบุรีไม่เชื่อฟัง จึงออกไปรบ
และเสียชีวิตในสนามรบทำให้พระยาตากถูกกล่าวหาว่าทิ้งให้พระยาเพชรบุรีเป็นอันตราย
๓ เดือนก่อนกรุงแตก พม่ายกกองมาปล้นทางเหนือของพระนคร พระยาตากเห็นการ จึงจำเป็นต้องขออนุญาตจากกรุงให้ใช่ปืนใหญ่
แต่ทางกรุงไม่อนุญาตพระยาตากจึงคิดว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้กรุงศรีอยุธยาจะต้องแตก
พระยาตากจึงตัดสินใจตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกไป พร้อมกับขุนนางนายทหารผู้ใหญ่ตีฝ่าวงล้อมพม่า
โดยนายทหารและขุนนางผู้ใหญ่มี พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงพิชัยราชา หลวงราชเสนา ขุนอภัยภักดี และหมื่นราชเสน่หา
ออกไปตั้งค่ายที่ วัดพิชัยเมื่อเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอจุลศักราช ๑๑๒๘ ตรงกับวันที่ ๓ มกราคมพ.ศ. ๒๓๑๐
พอไปถึงบ้านสำบัณฑิตเวลาเที่ยงคืนเศษ ก็แลเห็นแสงเพลิงไหม้จากพระนคร จึงทรงตัดสินพระทัย เดินทางไปยังจันทรบุรี
ทรงพิจารณาเห็นว่า เมืองจันทบุรีเป็นเมืองที่ใหญ่ และยังอุดมสมบูรณ์ บ้านเรือนเป็นปกติสุขอยู่

พระยาตากจึงทรงเกลี้ยกล่อมเมืองจันทบุรีให้มาช่วยกู้เอกราชพระยาจันทบุรีรับคำไมตรีในช่วงแรกแต่แล้ว
พระยาจันทบุรีกลับไปร่วมมือกับขุนรามหมื่นส้อง วางแผนลวงให้พระยาตากยกกอง ทัพเข้าไปตีเมืองจันทบุรีแล้วค่อยกำจัดเสียในภายหลัง
แต่พระยาตากทรงรู้ทัน จึงทรงหยุดยั้งอยู่หน้าเมืองเมื่อพระยาตากทรงพิจารณาเห็นว่าพระยาจันทบุรีหลงเชื่อคำของขุนรามหมื่นส้อง
ไม่ยอมอ่อนน้อมให้แล้ว จึงตรัสให้ทหารทั้งปวง เทอาหารทิ้งทุบหม้อทุบต่อยหม้อแกงจนแหลกหมด แล้วจึงตรัสว่า
วันนี้เราจะเอาเมืองจันทบุรีให้ได้ ไปหาข้าวของกินกันในเมือง หากไม่ได้ก็จงตายเสียให้สิ้นด้วยกันเถิด
ครั้นตกดึกประมาณ๓ นาฬิกา พระยาตากก็สามารถบุกเข้าเมืองได้
ตรงกับวันที่๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๑๐เจ้าตากจึงสามารถรวบรวมหัวเมืองตะวันออกได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราดได้

ทรงเตรียมกองทัพที่เมืองจันทบุรีตลอดฤดูมรสุม พอเข้าเดือน ๑๑ ก็ต่อเรือรบและเกณฑ์เรือสำเภาของพ่อค้าจีนได้ ๑๐๐ กว่าลำ
รวบรวมทหารได้ราว ๕,๐๐๐ คน จึงเคลื่อนทัพเรือมุ่งสู่กรุงศรีอยุธยา ด่านแรกก็คือเมืองธนบุรี ที่พม่าแต่งตั้งนายทองอิน คนไทยที่ฝักใฝ่พม่าเป็นผู้รักษาเมือง
พอนายทองอินทราบข่าวว่าพระยาตากยกทัพล่วงปากน้ำเจ้าพระยาเข้ามา ก็ส่งม้าเร็วแจ้งข่าวไปยังอยุธยาให้สุกี้พระนายกอง
ที่ค่ายโพธิ์สามต้นรู้ตัว แล้วจัดคนขึ้นประจำป้อมวิชเยนทร์และเชิงเทินเมืองธนบุรีเตรียมสู้
แต่คนไทยในกองกำลังของนายทองอินเมื่อรู้ว่าพระยาตากมากู้ชาติก็ไม่มีใครอยากรบด้วย
ช่วยกันจับนายทองอินคนทรยศส่งให้พระยาตาก พระยาตากจึงสั่งประหารชีวิต จากนั้นก็รีบรุดไปกรุงศรีอยุธยาในคืนนั้น

สุกี้แม่ทัพพม่ารู้ว่าเมืองธนบุรีแตกและกองทัพพระยาตากกำลังมุ่งมา ก็ส่ง มองญ่า ปลัดทัพคุมพลมอญไทยมาตั้งรับที่เพนียดหน่วงเวลาไว้
เพื่อเตรียมการทางค่ายโพธิ์สามต้นให้พร้อม แต่คนไทยในกองทัพมองญ่ารู้ว่าพระยาตากมากู้ชาติก็พากันหลบหนีออกมาร่วมพระยาตาก
มองญ่ากลัวจะถูกจับส่งให้พระยาตากเหมือนนายทองอิน จึงหลบหนีไปค่ายโพธิ์สามต้น
สุกี้พระนายกองที่พม่าแต่งตั้งให้รักษากรุงศรีอยุธยานี้เป็นคนมอญ เดิมรับราชการกับไทย แต่แปรพักตร์ไปร่วมกับกองทัพพม่า
คราวที่มาตีกรุงในครั้งนี้ และมีความดีความชอบที่สามารถตีค่ายบางระจันแตกหลังจากแม่ทัพพม่าหลายคนต้องพ่ายตายในที่รบ

พระยาตากไปถึงค่ายโพธิ์สามต้นในตอนเช้า เข้าตีค่ายทางด้านตะวันออกเพียง ๒ ชั่วโมงก็เข้ายึดได้ แต่ค่ายด้านตะวันตกสุกี้ตั้งรับเอง
มีกำแพงแข็งแรงเพราะ เนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่า รื้ออิฐวัดมาสร้างค่าย พระยาตากจึงให้หยุดพักเตรียมบันได
แล้วให้ทหารพักผ่อนเอาแรงเสียคืนหนึ่ง(ตรงนี้เป็นแผนการที่แยบยลมา จขกท.)
สุกี้เตรียมรับมืออยู่ทั้งคืนก็ไม่เห็นทหารไทยเข้าโจมตี แต่พอเช้าต่างพักผ่อน พระยาตากก็นำทหารเข้าบุกค่ายสุกี้ ไม่ทันถึงเที่ยงก็ตีแตก
สุกี้วีรบุรุษของพม่าผู้พิชิตค่ายบางระจันตายในที่รบ ที่เหลือต่างเตลิดหนีไป รวมทั้งมองญ่าปลัดทัพ ซึ่งต่อมาไปร่วมกับก๊กของกรมหมื่นเทพพิพิตที่นครราชสีมา

เมื่อเข้าไปในค่ายพบพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่เจ็บป่วยเดินทางไกลไม่ได้ ถูกคุมตัวอยู่ในค่าย ยังไม่ถูกส่งตัวไปกรุงอังวะ แต่อยู่ในสภาพน่าเวทนา
ส่วนใหญ่ถูกกวาดต้อนไปกรุงอังวะแล้ว ส่วนพระเจ้าเอกทัศน์ พม่าไปพบทรงหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ที่บ้านจิก ข้างวัดสังฆาวาส
อดพระกระยาหารมา ๑๐ วันแล้ว เมื่อหามมาค่ายโพธิ์สามต้นก็สิ้นพระชนม์
สุกี้ระลึกถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงชุบเลี้ยงมาจึงนำพระศพไปฝังไว้ที่โคกพระเมรุ หน้าวัดมงคลบพิตร
อันเป็นที่ทำพระเมรุท้องสนามหลวง คิดว่าเหตุการณ์สงบจะจัดถวายพระเพลิง

ค่ายของสุกี้แตกในวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐
ถือได้ว่าอำนาจของพม่าสูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย เอกราชและอธิปไตยกลับคืนมา รวมเวลาที่ถูกพม่ายึดครองประมาณ ๗ เดือน

พระยาตากขึ้นช้างออกสำรวจกรุงศรีอยุธยา พบแต่ภาพสลดใจเหมือนดังคำที่กล่าวกันว่า “กลายสภาพจากเมืองทองเป็นเมืองถ่าน”
พม่าเผาทำลายปราสาทราชวังและวัดวาอารามจนยากที่จะหาพระราชทรัพย์มาฟื้นคืนได้ใหม่ จึงจำเป็นต้องอพยพจากกรุงศรีจากสาเหตุต่างๆคือ

1.กรุงศรีฯนั้นมีขนาดใหญ่ ในขณะที่กำลังของพระเจ้าตากในเวลานั้นมีไม่พอที่จะดูแลได้ทั่วถึง หากมีข้าศึกยกมาประชิด

2.กรุงศรีอยุธยาอยู่ในทำเลที่ข้าศึกจะมาถึงได้สะดวก ทั้งทางบกและทางน้ำ หากมีกำลังไม่พอรักษา
  ข้าศึกโดยเฉพาะพม่ารู้ลู่ทางภูมิประเทศ และจุดอ่อนของกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดี ทำให้เสียเปรียบในการป้องกันพระนคร

3.กรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมากจนยากแก่การบูรณะให้ดีดังเดิมได้เพราะต้องใช้กำลังคน กำลังทรัพย์และเวลาในการบูรณะซ่อมแซม

4. กรุงศรีอยุธยาอยู่ห่างทะเลมากเกินไป ไม่สะดวกแก่การติดต่อค้าขายกับนานาประเทศซึ่งนับวันจะเจริญขึ้น

นอกจากนี้ พระยาตากมีความชำนาญในทางเรือและมีกองเรือพร้อม เมืองธนบุรีก็มีชัยภูมิที่เหมาะจะใช้กองทัพเรือในการรบ
หากพลาดพลั้งก็อาจใช้กองทัพเรือถอยออกทางทะเลไปหาที่ตั้งหลักใหม่ได้สะดวก พม่าไม่มีขีดความสามารถที่จะออกทะเลตามได้

คืนนั้นทรงเข้าพักแรมที่พระที่นั่งทรงปืน สุบินว่ากษัตริย์แต่ก่อนมาขับไล่ไม่ให้อยู่ รุ่งเช้าจึงเล่าฝันให้คนทั้งหลายฟัง และว่า

“เมื่อเจ้าของเดิมท่านยังหวงแหน เราไปสร้างกรุงธนบุรีอยู่กันเถิด”

กล่าวกันว่า เรื่องนี้เป็นกุศโลบายของพระองค์ ที่จะย้ายราชธานีโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครคัดค้านได้

ก่อนออกจากกรุงศรีอยุธยา พระยาตากให้ขุดพระศพพระเจ้าเอกทัศน์มาบรรจุลงพระโกศที่สร้างพอสังเขป
และตามหาพระสงฆ์ที่ยังพอมีเหลือมาทำพระราชพิธีถวายพระเพลิงตามเยี่ยงกษัตริย์แต่ก่อนมา แล้วอพยพผู้คนทั้งหมดลงมาเมืองธนบุรี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก mgronline.com,jibbykaoat.wordpress.com,siwakon19.wordpress.com
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่