ประสบการณ์ โดนเพื่อนทิ้งที่ญี่ปุ่น จากคนพูด eng ไม่ได้กลายเป็นพูดได้ [ไม่ดราม่า]

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 วันที่ไปญี่ปุ่น ของผมเองนะครับ

เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆ คน คงมีประสบการณ์ เกี่ยวกับภาษา หลายรูปแบบ เราคนนึงที่เป็นคน พูด eng ไม่ได้เลย ต้องบอกว่า ไม่ตั้งใจเรียนไม่พอ ยังไม่มั่นใจอีก เคยโกหกตัวเองว่า คนจะเก่งไม่จำเป็นต้องพูด Eng ได้หลอก ยังไงถ้าเค้าอยากให้เราทำงานให้เค้าต้องมาง้อเราสิ   ความคิดนี้แม่..งค๊อดพีคคคค อย่าเลียนแบบเด็ดขาด  

ในกลุ่มเราจะมีเพื่อน 3 คน ซึ่ง คนนึงจบโทนอก สกิลภาษา eng เหรอ...ระดับเทพเจ้า สายฟ้าเลยทีเดียว  ส่วนอีกคน ก็พัฒนาตัวเองไม่หยุดซักที เก่งวันเก่งคืน ทุกวันนี้เที่ยวไปจะรอบโลกแล้ว   ส่วนเราเหรอ ต๊อกต๋อย นั่งอยู่ออฟฟิต  ภูมิใจกับความเก่งในกะลาไปดิ  5555   


วันนึงได้ไปเจอเพื่อนเก่าที่ห่างหายกันไปนานมากกกกกก   ซึ่งไม่เกี่ยวกับ อิ สองคนข้างบน เลย ในกลุ่มเราจะเป็นแนวถึงไหนถึงกัน เฮฮาอยู่แล้ว อยู่ๆก็มีความคิด ขึ้นมาว่า เฮ้ย เที่ยวญี่ปุ่นกัน  ......​  ตอนนั้นในหัวคิดแต่ว่า เฮ้ยยยย AV  เกมส์ ....​ บราๆ  เข้ามาในหัวเต็มไปหมด ภาพของญี่ปุ่น มันเยอะไปหมด  

ตั้งแต่จำความได้คือโตมาก็กับญี่ปุ่นแล้ว ตามประสาเด็ก ยุค 90   ช่อง 9 การ์ตูน และหนังสือการ์ตูน มันปลูกฝังให้เราคิดว่า ประเทศนี้แหละ ที่ที่เราจะไปที่แรก ไปกับมัน 55555

ทันไดนั้นภาพในหัวก็หายไป พร้อมกับคำว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง   หันไปถามเพื่อน " ต้องเตรียมไรบ้างแวะ"  เพื่อนบอก " เงิน  และ เอกสาร พาสสะป๊อด "

แล้วก็ได้คุยกัน สรุปว่า " ทริปนี้คือเราจะไปกัน 14 วัน เอาแบบให้คุ้มให้ จุก ให้คิดถึงบ้าน ให้เสพความเป็นญี่ปุ่นให้เต็มอิ่มเลย " และแน่นอนทริปนี้ อุ่นใจมาก เพราะ มีเพื่อน เก่ง eng  เป็นแกนนำ ไปกันแฟนเขา และเพื่อนอีกคน ที่พอพูดได้ ไปกันทั้งหมด 4 คน

( มาถึงตรงนี้  เห็นไหมว่า ไม่ได้คิดจะพึ่งพาตัวเองเลย  นาทีนั้นคิดแต่ว่า เพื่อนชั้นเก่งเพื่อนพาไป สบายๆ )

เราจองตั๋วกันข้ามปี  เพื่อให้ได้โปรที่ถูกและดีที่สุด โดย เป้าหมายแรก คือ Osaka เมืองแห่งการช๊อบปิ้ง และเดินกินนนน และ ถ่ายรูปกับ กุลิโก๊ะ 5555

เมื่อถึงวันที่จะเดินทางเราออกจากบ้านกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปขึ้นเครื่องที่ สุวรรณภูมิ  แต่..... ก็มีปัญหาเกิดขึ้นจนได้  



มาต่อแระคราบสัญญาจะให้จบวันนี้ ปล. เมื่อคืนพิมพ์ค้างไว้ไม่ได้กดส่ง หนังตาหนักมาก สลบไปเลย ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะคราบบบ

ต่ออ  นะ  

พอเรามาถึง สุวรรณภูมิ  ก็ชิวกัน แบบสบายๆ  ส่วนตัวก็ไม่เคยบินเลย บ้านนอกมาก เกาะ เพื่อนเพื่อนไปไหนเราไปด้วย 555  

และแล้วก็ปรากฏว่า ที่บอกว่าไป 4 คน มานไม่ใช่  เพื่อน 1 ในนั้นดัน ไม่มา แงๆๆๆๆๆ  แล้วที่คิดไว้ว่าไป เป็นคู่ ก็เลยกลายเป็นไปเป็น คี่ แทน
แล้วสองคนที่ไปเป็นแฟนกัน  เหอๆๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เรารู้ตัวว่าไปเป็น กขค. เค้าเราก็จะพยายาม ไม่กวนมาก  

ตอนไปตกลงกันไว้ว่าจะเช่า pocket wifi กันเครื่องเดียวแล้ว แชร์เน็ตกัน  เพราะคงไม่ได้ห่างกันไปไหนหลอก   (ขอบอกตรงนี้ว่าอันตรายมาก ควรเช่าของใครของมัน หรือซื้อ sim card ไปเลย )

ระหว่างรอเราก็ เดินไปเกจ ทางขวาสุดของสุวรรณภูมิ ปรากฏว่า เกจยังไม่เปิด ก็เลยเดินกลับไปหาอะไรกินกันก่อน ก็นั่งกินพอใกล้เวลา 5 นาทีเกจเปิดก็เดินไปที่ เกจ ปรากฏว่ายังไม่มีคนมา  ไอ้เราก็ไม่เคยบินเลยย ก็ไม่รู้เรื่อง  เลยถามเพื่อนลอยๆว่า ผิดฝั่งป่าว  พอเพื่อนมาดู OMG ผิดฝั่งจริงด้วย เพื่อนดูเกจผิด  ทีนี้งานเข้าครับ วิ่งกันป่าราบ  จากซ้าย วิ่งไปฝั่งขวาของสุวรรณภูมิ  

นาทีนั้นเรียกว่าวิ่งกันจนขาขวิด เลย หายใจไม่ทัน หอบสุดๆ เหงื่อท่วม และแล้ว ก็เป็น 3 คนสุดท้ายที่ไปถึงเกจ ตอนวิ่งไปนี่เหมือน แข่งกีฬาสามัคคีมาก คือแบบเราหมดแรง เพื่อนวิ่งนำ เพื่อนหมดแรงเราวิ่งนำ ขอแค่ใครคนไดคนหนึ่งไปถึงประตูเกจก่อนก็พอ  

และแล้วเครื่องก็ออก เราบินกับ สายการบิน มาเก๊า  ขอบอกว่าประทับใจมากกกกกกก  แอร์สวยมากกกกกก อาหารอร่อย จนตอนนี้ ยังไม่มี สายการบินไหน ชนะได้เลยในความรู้สึก  การบินครั้งแรกตื่นเต้นมาก ถ่ายรูปรัวๆ ผมเอากล้องถ่ายรูปขึ้นไปถ่ายวิว ตอนขึ้นบิน

และก็หลับตื่นมา อีกทีเกือบถึงมาเก๊าแล้ว เราจะมีเวลาพัก 3 ชมก่อนบินต่อ ระหว่างนั้นก็ เตรียมชาทแบต และเชคอินตามประสา ตอนนั้นเพื่อนไปไหน ผมไปด้วย เพราะ พูด eng ไม่ได้เลย  

และแล้วก็ถึงเวลาบินต่อไป osaka  ผมก็ขึ้นเครื่อง ยังเจอแอร์ ชุดเดิม เราออกจาก กทม เช้ามืด ถึง osaka ตอนเกือบๆ สี่โมง  ไปถึงอากาศกำลังดีมากครับ  แต่เวลาไม่คอยท่า  เราต้องรีบไปให้ทันรถบัส เที่ยวสุดท้ายที่จะไป outlet เพื่อไปช๊อบปิ้ง ตาม plan ของเพื่อน สิ่งที่เห็นคือ คนเป็นระเบียบมาก ไม่ต้องแย่งกันขึ้นรถ มีการต่อแถวชัดเจน  

เราก็นั่งกันไปจนถึง outlet ตรงนี้จะเหมือน เวนิว บ้านเรา ทางเดินจะเป็น outdoor  ร้านค้าจะเป็นห้องๆ ในร้านก็จะอุ่นๆ เพราะข้างนอกเริ่มหนาวแล้ว เราใช้การ เดินหลบหนาวในร้าน เวลาลมแรงๆ  ที่นี่ จะมองเห็น ชิงช้าสวรรค อันใหญ่ๆ สวยงามมาก ถ่ายรูปสวยมากครับ

สิ่งที่เห็นจาก outlet ที่ osaka คือ ของถูกแต่ส่วนมากเป็นของ รุ่นเก่าๆ ไม่ใช่รุ่นใหม่ รู้สึกผิดหวังเล็กๆ แต่ก็ได้ติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง  โดยการซื้อของผมขอร้องเพื่อน เป็นคนต่อรองราคา และถามรายละเอียดให้ทั้งหมด ( รู้สึกเกรงใจเพื่อนมาก เพราะต้องมาคอยอธิบายเรา)

หลังจากนั้นเวลาประมาณ​ 19.00 น. เราเดินทางต่อด้วย รถไฟฟ้าใต้ดิน ไปยังห้องพัก  เราพักแถวๆ ปราสาท โอซาก้า แต่.... เราทั้งสามคน ขึ้นรถไฟใต้ดินไม่เป็น 55555  แบบว่างงกับเส้นสีมาก สีชมพู สีม่วง สีเหลือง สีเขียว งงไปหมด  เราใช้เวลาอยู่ใน ใต้ดินกันนานมาก  เพื่อนก็ถามวิธีใช้งาน กับคนท้องที่ ส่วนมากก็จะพูด eng กันไม่ได้   เราก็เริ่มช่วยลุ้น พยายามอธิภายเป็นภาษา eng แบบง่ายๆ มั่วกันไปมา บางคนตอบมาเป็นภาษา ญี่ปุ่นเลย
(ตัวอย่าง ภาพแผนที่ รถไฟใต้ดินโอซาก้า )
เราใช้เวลางมกันนานมาก เลยได้ ทริกเล็กๆ คือ  การใช้ google map >///< ข้อดีของ google map ที่ญี่ปุ่นคือ เวลาหาแผนที่แล้วเลือกเดินทางโดยรถไฟ จะมีสีของ สายที่ต้องขึ้นบอก ทำให้ เราเข้าใจง่ายขึ้นมากกกกกก  

เช่น ขึ้นสีชมพู ไปลงที่ไหน แล้วต่อ สีฟ้าไปลงที่ไหน    สำหรับคนที่ไปญี่ปุ่นครั้งแรก ช่วยได้เยอะจริงๆ

เราไปถึง โรงแรมตอนเกือบ สี่ทุ่ม   ที่ญี่ปุ่นบางโรงแรมมีเวลาให้ check in ด้วยนะครับ แบบว่า ต้อง check in ก่อน กี่โมงไม่งั้น อดเข้าพัก โหดมากกก
พอไปถึง เราก็ได้ เก็บของและลงมา หาของกิน กันแถว 7-11 ใกล้ๆ โรงแรม    ( เรานอนห้องเดียวกัน 3 คน แยกเตียงกันเพื่อประหยัดค่าที่พัด และเพื่อนผมจะได้ไม่เฟ้งฟ้าง )

สิ่งที่เจอคือ  น้ำปล่าวแพงมากกกกกก  ไม่เคยซื้อแพงขนาดนี้  เลยตัดสินใจ กินเบียร์แทน ราคาพอๆกันเลย 5555   และได้ลอง ซื้อน้ำผลไม้มา หน้ากล่อง เหมือนน้ำส้ม สีแดงๆ    น้ำนี้ผมตั้งชื่อว่า น้ำส้ม นรก กระชากวิญญาน ใครเคยพลาดซื้อกินจะรู้เลยว่า รสชาตินรกมากกกก ไม่มีใครกินได้เลย ราคามันจะถูกที่สุดในน้ำผลไม้


หลังจาก ดื่มเบียร์ ต่างน้ำกัน  ก็ภาพตัด  จบ วันแรกใน Japan  ด้วยดี

ขอกดส่งก่อนนะครับ เดี๋ยวมันจะยาวไปกำลังทะยอยพิมพ์ เรื่อยๆนะครับผม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่