๛ อุบาสก โทษของท่านไม่มี ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษของวัฏฏะ ๛

ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

------------------

๑๐. เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว


ข้อความเบื้องต้น
               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระชื่อติสสะ ผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว(หมายความถึง ผู้สนิทสนมกับสกุล ได้รับอุปการะจากสกุลนั้น) ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ" เป็นต้น.


พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งแก้วให้นายช่างเจียระไน
               
               พระเถระนั้นฉัน (ภัต) อยู่ในสกุลของนายช่างเจียระไนผู้หนึ่งเป็นประจำอยู่ ๑๒ ปี
               ภริยาและสามีในสกุลนั้น ก็ปฏิบัติต่อพระเถระเหมือนตนเป็นมารดาบิดา
               อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นายช่างกำลังนั่งหั่นเนื้ออยู่ข้างหน้าพระเถระ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงส่งแก้วมณีดวงหนึ่งไป รับสั่งให้ขัดและเจียระไนแก้วมณีนี้แล้วส่งกลับไป
               นายช่างรับแก้วนั้น ด้วยมือทั้งเปื้อนโลหิต วางไว้บนเขียง แล้วก็เข้าไปข้างในเพื่อล้างมือ


แก้วมณีหาย นายช่างสืบหาคนเอาไป
               
               นกกะเรียนตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้ในบ้าน ได้กลืนกินแก้วมณีนั้น ด้วยคิดว่าเป็นชิ้นเนื้อเพราะได้กลิ่นโลหิต และพระเถระก็มองเห็นอยู่
               เมื่อนายช่างกลับมาแล้วไม่เห็นแก้วมณี จึงถามภริยา ธิดาและบุตรว่า ใครเอาแก้วมณีไป
               เมื่อคนเหล่านั้นตอบว่า ไม่ได้เอาไป เขาจึงคิดว่า พระเถระเอาไป จึงปรึกษากับภริยา แต่ภริยาไม่เชื่อว่าท่านเอาไป               
               นายช่างถามพระเถระว่าท่านเอาไปหรือไม่ ท่านตอบว่า ท่านไม่ได้เอาไป
               แต่นายช่างแก้วไม่เชื่อที่ท่านพูด  เพราะว่าในบ้านไม่มีใครอีกแล้ว เขาจะบีบคั้นทรมานถามท่าน ภริยาได้พยายามห้ามปรามแต่ไม่สำเร็จ

               
ช่างแก้วทำโทษพระติสสเถระเพราะเข้าใจผิด
               
               นายช่างเอาเชือกพันศีรษะพระเถระ ขันด้วยท่อนไม้ โลหิตไหลออกจากศีรษะหูและจมูกของพระเถระ หน่วยตาทั้งสองได้ถึงอาการทะเล้นออก ท่านเจ็บปวดมาก แล้วล้มลงบนพื้นดิน นกกะเรียนเมื่อได้กลิ่นโลหิต ก็มาดื่มกินโลหิตนั้น


ช่างแก้วเตะนกกะเรียนตายแล้วจึงทราบความจริง
               
               นายช่างกำลังโกรธอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้เตะนกตายด้วยการเตะทีเดียวเท่านั้น
               พระเถระเห็นดังนั้น จึงให้นายช่างผ่อนเชือกพันศีรษะของท่านให้หย่อนก่อน แล้วถามว่านกนั้นตายแล้วหรือยัง
               นายช่างกล่าวว่า "แม้ท่านก็จักตายเช่นนกนั่น"
               พระเถระตอบว่า
               "อุบาสก แก้วมณีนั้น นกนี้ได้กลืนกินเข้าไป หากนกนี้ยังไม่ตาย อาตมาภาพแม้จะตาย ก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับท่าน"


ช่างแก้วได้แก้วมณีคืนแล้วขอขมาพระติสสเถระ
               
               เขาจึงแหวะท้องนกนั้นดู ก็พบแก้วมณีอยู่ในนั้นจริงๆ เลยเกิดอาการงกงัน มีใจสลด หมอบลงใกล้เท้าของพระเถระ และกล่าวขอมาต่อท่าน พร้อมกล่าวว่า ตนทำไปด้วยความไม่รู้
               พระเถระตอบว่า อุบาสก โทษของท่านไม่มี ของเราก็ไม่มี มีแต่โทษของวัฏฏะเท่านั้น เรายกโทษให้ท่าน
               นายช่างจึงพูดว่า เมื่อท่านยกโทษให้แล้ว ก็นิมนต์ท่านมารับบิณฑบาตในบ้านเขาเหมือนเดิม


พระเถระเห็นโทษของการเข้าชายคาเรือน

               พระเถระกล่าวว่า ต่อไปนี้ท่านจะไม่เข้าไปในบ้านของใครอีก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ก็เพราะท่านเข้าไปในชายคาเรือน               
               "เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตูเรือนเท่านั้น รับภิกษา"
               ดังนี้แล้ว สมาทานธุดงค์กล่าวคาถานี้ว่า
ภัตในทุกสกุลๆ ละนิดหน่อย อันเขาหุงไว้เพื่อมุนี
เราจักเที่ยวไปด้วยปลีแข้ง กำลังแข้งของเรายังมีอยู่

               ต่อมาไม่นาน ท่านก็ปรินิพพานด้วยอาการเจ็บป่วยจากการถูกทรมานคราวนั้นนั่นเอง

"
"
"

คนทำบาปกับคนทำบุญมีคติต่างกัน
               
               นกกะเรียนได้ถือปฏิสนธิในท้องของภริยาของนายช่างแก้ว
               นายช่างแก้วเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ก็บังเกิดในนรก
               ภริยาของนายช่างแก้วได้บังเกิดในเทวโลก เพราะความเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนในพระเถระ

               ภิกษุทั้งหลายทูลถามอภิสัมปรายภพของชนเหล่านั้นกะพระศาสดา
               พระศาสดาตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ ย่อมเกิดในครรภ์
บางจำพวกทำกรรมลามก ย่อมเกิดในนรก
บางจำพวกทำกรรมดีแล้ว ย่อมเกิดในเทวโลก
ส่วนผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน"


                         ดังนี้แล้ว
                เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ        นิรยํ ปาปกมฺมิโน            
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ        ปรินิพฺพนฺติ อนาสวา.

ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์, ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก,
ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์, ผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.


              
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น




๑๐. เรื่องพระติสสเถระผู้เข้าถึงสกุลนายช่างแก้ว
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=10

อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=587&Z=617






แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่