สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปครับ
หลังจากที่ไม่ได้เขียนพันทิพย์มากว่าครึ่งปี เพิ่งได้กลับมาเขียน กระทู้ที่สองของตัวเองให้จบกับภาคต่อทริปอินเดียที่ค้างไว้ (นาน)

ขอเล่าเรื่องย่อให้ฟังก่อน
ผมกับน้า 2 คนเดินทางไปอินเดียช่วงประมาณเดือน 4 ปี 2560 แต่ระหว่างการเดินทาง เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น คือ....พาสปอตของผมหาย!!! ทำให้ต้องรีบทำพาสปอตให้ทันก่อนเดินทางกลับ และแผนการเดินทางก็ต้องเปลี่ยนไปเลย
(เที่ยวๆ อยู่พาสปอตหาย >> รีบทำพาสปอต (ชั่วคราว) >> แล้วกลับมาเที่ยวอีกครั้ง)
ผมเลยตัดสินใจแบ่งเรื่องออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ทริปเดินทางก่อนและหลังพาสปอตหาย
2. ช่วงเหตุการณ์ที่พาสปอตหายและขั้นตอนการทำในอินเดีย
ผมได้เล่าเหตุการณ์ช่วงพาสปอตหาย (ข้อ 2) ในอีกกระทู้นึงชื่อว่า
" เมื่อฉันทำ Passport หาย...!!! ในดินแดนสนธยาที่ชื่อว่า ประเทศอิน-ตะ-ระ-เดีย (When I Lost My Passport in India) "
ตามลิ้งด้านล่างนี้เลย
https://pantip.com/topic/36363847
ส่วนอีกอันนึงเรื่องทริปเดินทางในอินเดีย ทีแรกผมลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเอาเรื่องนี้มาเล่าดีไหม เพราะมันเป็นทริปที่ไม่สำเร็จ คนคงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกว่า ทริปที่ไม่สำเร็จนี้ทำให้ผมได้ประสบการณ์ต่างๆ เยอะมาก และมีข้อคิดที่อยากจะมาแชร์ด้วย ผ่านการเดินทางและหน้ากาก 1 ใบ ถ้าไม่ได้มาเล่าคงเสียดายเหมือนกัน
(อาจมีเบลอๆ หรือข้อมูลไม่แม่นบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า เก็บดองไว้นานไปหน่อย)
จบการพูดเกริ่นนำเพียงแค่นี้ดีกว่า แล้วมาลองดูเหตุการณ์ไปพร้อมๆ กันครับ
ขอเริ่มจาก สาเหตุที่เลือกมาอินเดียก่อน!!!
มีแค่ 3 เหตุผลแบบจริงๆเลย
1. อยากเห็นอะไรใหม่ๆ แปลกๆ บ้าง ในอีกความหมายหนึ่งใจลึกๆ อยากเห็นโลกให้กว้างกว่านี้
2. จำได้ลางๆ แค่ 2 เรื่องตอนเรียนม.ปลาย อาจารย์สอนวิชาสังคมเคยเล่าว่า...
(2.1) ทัชมาฮาล เป็นอนุสรณ์แห่งความรักและเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
(2.2) แคว้นแคชเมียร์เป็นแคว้นที่สวยมาก
3. ตอนนั้นเลห์ ลาดัก กำลังเริ่มโด่งดังอยากไปตามกระแส
แล้วถ้าถามต่อว่า " รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศอินเดียมั่ง??"
ด้วยความสัตย์จริง ผมรู้น้อยมากกกก!! จริงๆ เคยได้ยินคนไปแสวงบุญบ้างนิดหน่อย
สมัยเรียนก็ไม่ได้โดดเด่นวิชาสังคมอยู่แล้ว ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ศึกษามาก่อน ศาสนาอะไรไม่แน่ใจ น่าจะฮินดูหรืออิสลามอะไรนี่แหละ
รู้แต่เป็นเมืองแขก อยู่ในเอเชีย อากาศร้อน ขึ้นชื่อเรื่องความไม่สะอาด กลิ่นตัวคน (ได้ยินจากคนอื่น) มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
อาหารหลักเป็นพวกแป้งแผ่นๆ มีหนังบอลีวูดที่ชอบมีฉากโอเว่อๆ และมีคนคนมาเต้น พระเอกวิ่งไล่นางเอก อะไรทำนองนี้
[ ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลก่อนเดินทางที่ผมมี และมันทำให้รู้ตอนหลังว่า ผมคิดผิด...!!! (ในหลายๆเรื่อง) ]
และพอตัดสินใจจะไป โดยคุยกับญาติไม่นาน ช่วงนั้นมีตั๋วโปรการบินไทย จองประมาณช่วงธันวาคม 2559 ไป-กลับนิวเดลี หมื่นเศษๆ ก็จองเลย
แต่เวลาเจอคนรู้จักถาม แล้วบอกว่าจะไปอินเดีย ส่วนใหญ่จะมี feedback กลับมา 2 อย่างคือ " ไปทำไม?? /กับอี๊...(เสียงอุทาน) "
ส่วนแผนเดินทางคร่าวๆตอนแรกที่วางไว้ก็ประมาณนี้
6 Apr : ออกจากกรุงเทพ ถึงนิวเดลี แล้วต่อเครื่องไปพาราณสี ถึงประมาณ 17.40
7 Apr : เที่ยวเล่นในเมืองพาราณสี แล้วกลับนิวเดลี ประมาณ 7.50 PM
8 Apr : เที่ยวทัชมาฮาลกับป้อมอัครา ฟอร์ดแล้ว กลับมาพักที่นิวเดลี
9 Apr : ออกไฟล์เช้าไปเลย์ เดินเล่นในเมืองเลย์, ติดต่อ Agency เรื่องการเดินทาง, ปรับสภาพร่างกาย เข้าที่พัก Leh
10 Apr : Khardung La pass (เป็นจุดแวะไปก่อนถึง Nubra valley อยู่แล้ว ถนนที่สูงสุดในโลก) แวะถ่ายรูป , Turtuk (หมู่บ้านเล็กๆ ห่างจาก Nubra valley ไม่ไกล ไว้สำหรับแวะเดินเล่น) , Nubra valley (เป็นหมู่บ้านเหมือนกัน วิวสวย) >> ค้างคืนที่ Nubra valley
11 Apr : แวะเที่ยว Hunder Sand Dunes ตอนเช้าขี่อูฐเดินเล่นถ่ายรูป อยู่ห่างจาก Nubra valley แปปเดียว
แล้วเลยไป Pangong Lake ผ่านจุดตรวจ Chang La Pass ไปถึงน่าจะบ่ายๆแก่ๆ แล้วเดินชิวๆ แถวทะเลสาป >> พักที่ Pangong Lake
12 Apr : Pangong Lake (morning) แล้วไปต่อที่ Tsomoriri Lake แล้วกลับ Leh คงถึงหัวค่ำหน่อย
หรือแผน2คือ จะพัก Tsomoriri Lake ก็ได้ ถ้าพัก Tsomoriri แผนที่เที่ยวแคชเมียก็ลดไปวันนึง
13 Apr : Magnetic hill, Sangam viewpoint, Alchi, Luma Yuru (พวกนี้เป็นจุดทางผ่านไปเมือง Kargil) แล้วแวะพักที่ Kargil
14 Apr : ออกจาก Kargil ไปเมืองแคชเมีย Srinagar แต่ระหว่างทางมันมีเมืองชื่อ Sonamarg อยู่น่าจะแวะได้นะหรือถ้าไม่แวะ ก็เดินเล่นในแคชเมียตอนบ่ายๆ >> นอนบ้านเรือที่แคชเมีย
15 Apr : อาจไปเที่ยว Sonamarg แบบ one day trip หรือขึ้นไป เล่นสกีก็ได้แล้วแต่ >> พักที่แคชเมียอีกคืน
16 Apr : มีเวลาถึงเย็นๆ ในแคชเมีย เพราะเครื่องออก 18.40 ถึงเดลีประมาณ2ทุ่มกว่า >> พักที่เดลี
17 Apr : นอนเอาแรงหรืออาจซื้อของฝากนิดหน่อยตอนเช้า เครื่องออกจากเดลี 11.40 AM
ทริปนี้ถือโอกาสได้ลองใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ รวมถึงหน้ากากที่เพิ่งซื้อมาด้วย 55+

หลังจากผ่านขั้นตอนการทำวีซ่าอินเดียทั่วไปแล้ว เผลอแปปๆ ก็ถึงวันที่จะบิน รู้ตัวก็มาโผล่สนามบินแล้ว

ต้องเล่าก่อนว่า จริงๆ ตอนนั้นตั้งใจถ่ายให้ตลกๆ เฉยๆ เพราะรู้สึกว่าหน้ากากนี้มันใส่แล้วดูตลกดี จริงๆ มันก็คือ ที่ครอบหัวที่ขายในออนไลด์เอาไว้งีบตอนทำงานนี่เอง ซื้อมาก่อนเดินทางแค่วันสองวันเอง กะว่าจะเอาไว้ใส่ตอนไปเลห์ ลาดัก เพราะได้ยินว่าหนาวมากช่วงนั้น ใส่นอนคงอุ่นสบาย
ยังพอมีเวลาเหลือนิดหน่อยที่สนามบินนึกได้ว่า มาอินเดียครั้งแรก ข้อมูลก็ไม่ค่อยแน่น เตรียมตัวมาไม่ค่อยเท่าไหร่
รู้สึกหวั่นๆ ใจชอบกล เลยขอซื้อประกันการเดินทางไว้สักหน่อย (ปกติไม่ค่อยได้ซื้อเลย)

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ไปกันโลด.....
วันแรก (6/4/60)

ตามแผนวันแรกไม่มีไรมาก ถึงสนามบินที่นิวเดลีโดยสวัสดิภาพ ก็รอเปลี่ยนเครื่องไปพาราณสีตอนเย็นๆ ระหว่างเปลี่ยนเครื่องก็ กินข้าว เดินเล่นแล้วก็นั่งๆ นอนๆ รอเวลาบิน มีเวลาตั้งประมาณ 5-6 ชั่วโมง ดูๆ แล้วเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ง่ายอย่างนั้นแฮะ...-_-'

หลังจากขั้นตอนทั่วไป ลงเครื่องแล้ว เข้าคิวผ่านตม ไปเอากระเป๋าสัมภาระเสร็จ ก็ไป Check in สายการบินที่จองไว้ รอบนี้ผมจองของ Indigo Airline เป็นสายการบินในประเทศ แต่ปัญหาคือ Terminal ของสายการบินในประเทศ มันไม่เชื่อมต่อกับสนามบินระหว่างประเทศนี่สิ ทีแรกก็งงๆ อยู่ถามเจ้าหน้าที่เขาบอกแค่ว่า ให้เดินตามป้ายไป Domestic Transfer ไปแล้วต้องไปขึ้นรถบัสอีก Terminal นึงคนละอาคาร ผมนี่งงเลย เพิ่งเคยเห็น Terminal ที่แยกจากกันแบบนี้ สุดท้ายก็เดินตามป้ายไป ออกมาจากประตู แล้วก็หาเจอป้ายจุดรอรถบัสไปส่งอีก Terminal นึง

นั่งสักพักประมาณ 15-20 นาทีก็ถึงอีก Terminal นึง พอมาถึงจะเห็นป้ายที่จุดเดียวกัน สามารถนั่งกลับไปที่เดิม คือ Terminal 3 ได้

ออกมาก็จะเห็นป้ายที่จะไปสายการบินทั้ง 3 นี้ ต้องขึ้นลิฟต์ไปอีก เพราะอยู่ชั้นบน โดยลิฟต์มีอยู่ 2 ตัว คนก็จะเยอะหน่อย พอขึ้นไปต้องตรวจกระเป๋าก่อนเข้าอีก รอคิวต่อไป

ด้านในสนามบินบางคนก็ใส่ชุดพื้นเมือง บางคนก็ชุดธรรมดา หลังจาก Check in เสร็จก็ตรวจสัมภาระติดตัวทั่วไป แต่ที่นี่จะแบ่งเพศชัดเจน แถวนึงสำหรับผู้ชาย แถวนึงสำหรับผู้หญิง และตรวจละเอียดมาก สัมภาระผ่านไปสักพักละ ยังตรวจไม่เสร็จเลย กลัวของหายจัง...-_-'
บรรยากาศภายในสนามบินก็ประมาณนี้

ที่นี่จะมีร้านค้าขายของ ร้านอาหารข้างใน แต่ที่นั่งรอต้องนั่งรอด้านนอก เพราะจะมีประตูกั้นอีกทีนึง ต้องรอให้ใกล้ๆ เวลาของเที่ยวบินตัวเอง ถึงจะใช้ Boarding pass ผ่านเข้าไปได้ สงสัยเพราะที่นั่งแต่ละสายการบินก็ใช้รวมกันอีก ที่นั่งเลยไม่พอ ไม่เหมือนสนามบินทั่วไปที่จะมีพื้นที่นั่งแยกแต่ละ gate ให้เลย ไม่รู้จะกินอะไรระหว่างรอ เลยจัด KFC ที่สนามบิน ข้าวน่องไก่ รสชาติไม่เลวเลยสำหรับมื้อแรก

กินข้าวเสร็จแปปๆ ก็ถึงเวลากว่าจะได้เข้าเกท แต่เครื่องเจ้ากรรมก็ดันดีเลย์ชั่วโมงนึงอีก กว่าจะได้ขึ้นเครื่อง....เฮ้อ
แต่ระหว่างรอเครื่องอยู่ๆ ผมก็นึกไอเดียบางอย่างขึ้นมาได้ คือ อยากจะถ่ายรูปตัวเองใส่หน้ากากนี้ไว้ระหว่างทริป
เพราะต้องการจะสื่อความหมายบางอย่างจากหน้ากากนี้
(ถ่ายรูปแอร์ซะหน่อย)

ในที่สุดก็ถึงสนามบิน ใช้เวลาชั่วโมงเดียว แต่พอมาถึงจะไปเอากระเป๋าต้องระวังจะมีพวกไหนไม่รู้ จับรถเข็นสัมภาระ รอใกล้ๆ ประตูทางเข้าที่จะไปเอาสัมภาระ บางคนเข้าใจผิดคิดว่าเขาบริการก็รับจากเขา เขาก็จะเรียกให้จ่ายตัง เพราะงั้นถ้าเจอก็เดินผ่านมาเลย มันมีรถเข็นบริการฟรีอยู่แล้ว ใกล้ๆ จุดเอากระเป๋านั่นแหละ (หากินง่ายดีเนอะ....-_-')
[CR] ความทรงจำอันเลือนลางที่อิน-ตะ-ระ-เดีย : ภารกิจที่ไม่สำเร็จกับหน้ากากหนึ่งใบ (My memory with a Mask in India)
หลังจากที่ไม่ได้เขียนพันทิพย์มากว่าครึ่งปี เพิ่งได้กลับมาเขียน กระทู้ที่สองของตัวเองให้จบกับภาคต่อทริปอินเดียที่ค้างไว้ (นาน)
ขอเล่าเรื่องย่อให้ฟังก่อน
ผมกับน้า 2 คนเดินทางไปอินเดียช่วงประมาณเดือน 4 ปี 2560 แต่ระหว่างการเดินทาง เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น คือ....พาสปอตของผมหาย!!! ทำให้ต้องรีบทำพาสปอตให้ทันก่อนเดินทางกลับ และแผนการเดินทางก็ต้องเปลี่ยนไปเลย
(เที่ยวๆ อยู่พาสปอตหาย >> รีบทำพาสปอต (ชั่วคราว) >> แล้วกลับมาเที่ยวอีกครั้ง)
ผมเลยตัดสินใจแบ่งเรื่องออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ทริปเดินทางก่อนและหลังพาสปอตหาย
2. ช่วงเหตุการณ์ที่พาสปอตหายและขั้นตอนการทำในอินเดีย
ผมได้เล่าเหตุการณ์ช่วงพาสปอตหาย (ข้อ 2) ในอีกกระทู้นึงชื่อว่า
" เมื่อฉันทำ Passport หาย...!!! ในดินแดนสนธยาที่ชื่อว่า ประเทศอิน-ตะ-ระ-เดีย (When I Lost My Passport in India) "
ตามลิ้งด้านล่างนี้เลย
https://pantip.com/topic/36363847
ส่วนอีกอันนึงเรื่องทริปเดินทางในอินเดีย ทีแรกผมลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเอาเรื่องนี้มาเล่าดีไหม เพราะมันเป็นทริปที่ไม่สำเร็จ คนคงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกว่า ทริปที่ไม่สำเร็จนี้ทำให้ผมได้ประสบการณ์ต่างๆ เยอะมาก และมีข้อคิดที่อยากจะมาแชร์ด้วย ผ่านการเดินทางและหน้ากาก 1 ใบ ถ้าไม่ได้มาเล่าคงเสียดายเหมือนกัน
(อาจมีเบลอๆ หรือข้อมูลไม่แม่นบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า เก็บดองไว้นานไปหน่อย)
จบการพูดเกริ่นนำเพียงแค่นี้ดีกว่า แล้วมาลองดูเหตุการณ์ไปพร้อมๆ กันครับ
ขอเริ่มจาก สาเหตุที่เลือกมาอินเดียก่อน!!!
มีแค่ 3 เหตุผลแบบจริงๆเลย
1. อยากเห็นอะไรใหม่ๆ แปลกๆ บ้าง ในอีกความหมายหนึ่งใจลึกๆ อยากเห็นโลกให้กว้างกว่านี้
2. จำได้ลางๆ แค่ 2 เรื่องตอนเรียนม.ปลาย อาจารย์สอนวิชาสังคมเคยเล่าว่า...
(2.1) ทัชมาฮาล เป็นอนุสรณ์แห่งความรักและเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
(2.2) แคว้นแคชเมียร์เป็นแคว้นที่สวยมาก
3. ตอนนั้นเลห์ ลาดัก กำลังเริ่มโด่งดังอยากไปตามกระแส
แล้วถ้าถามต่อว่า " รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศอินเดียมั่ง??"
ด้วยความสัตย์จริง ผมรู้น้อยมากกกก!! จริงๆ เคยได้ยินคนไปแสวงบุญบ้างนิดหน่อย
สมัยเรียนก็ไม่ได้โดดเด่นวิชาสังคมอยู่แล้ว ประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ศึกษามาก่อน ศาสนาอะไรไม่แน่ใจ น่าจะฮินดูหรืออิสลามอะไรนี่แหละ
รู้แต่เป็นเมืองแขก อยู่ในเอเชีย อากาศร้อน ขึ้นชื่อเรื่องความไม่สะอาด กลิ่นตัวคน (ได้ยินจากคนอื่น) มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
อาหารหลักเป็นพวกแป้งแผ่นๆ มีหนังบอลีวูดที่ชอบมีฉากโอเว่อๆ และมีคนคนมาเต้น พระเอกวิ่งไล่นางเอก อะไรทำนองนี้
[ ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลก่อนเดินทางที่ผมมี และมันทำให้รู้ตอนหลังว่า ผมคิดผิด...!!! (ในหลายๆเรื่อง) ]
และพอตัดสินใจจะไป โดยคุยกับญาติไม่นาน ช่วงนั้นมีตั๋วโปรการบินไทย จองประมาณช่วงธันวาคม 2559 ไป-กลับนิวเดลี หมื่นเศษๆ ก็จองเลย
แต่เวลาเจอคนรู้จักถาม แล้วบอกว่าจะไปอินเดีย ส่วนใหญ่จะมี feedback กลับมา 2 อย่างคือ " ไปทำไม?? /กับอี๊...(เสียงอุทาน) "
ส่วนแผนเดินทางคร่าวๆตอนแรกที่วางไว้ก็ประมาณนี้
6 Apr : ออกจากกรุงเทพ ถึงนิวเดลี แล้วต่อเครื่องไปพาราณสี ถึงประมาณ 17.40
7 Apr : เที่ยวเล่นในเมืองพาราณสี แล้วกลับนิวเดลี ประมาณ 7.50 PM
8 Apr : เที่ยวทัชมาฮาลกับป้อมอัครา ฟอร์ดแล้ว กลับมาพักที่นิวเดลี
9 Apr : ออกไฟล์เช้าไปเลย์ เดินเล่นในเมืองเลย์, ติดต่อ Agency เรื่องการเดินทาง, ปรับสภาพร่างกาย เข้าที่พัก Leh
10 Apr : Khardung La pass (เป็นจุดแวะไปก่อนถึง Nubra valley อยู่แล้ว ถนนที่สูงสุดในโลก) แวะถ่ายรูป , Turtuk (หมู่บ้านเล็กๆ ห่างจาก Nubra valley ไม่ไกล ไว้สำหรับแวะเดินเล่น) , Nubra valley (เป็นหมู่บ้านเหมือนกัน วิวสวย) >> ค้างคืนที่ Nubra valley
11 Apr : แวะเที่ยว Hunder Sand Dunes ตอนเช้าขี่อูฐเดินเล่นถ่ายรูป อยู่ห่างจาก Nubra valley แปปเดียว
แล้วเลยไป Pangong Lake ผ่านจุดตรวจ Chang La Pass ไปถึงน่าจะบ่ายๆแก่ๆ แล้วเดินชิวๆ แถวทะเลสาป >> พักที่ Pangong Lake
12 Apr : Pangong Lake (morning) แล้วไปต่อที่ Tsomoriri Lake แล้วกลับ Leh คงถึงหัวค่ำหน่อย
หรือแผน2คือ จะพัก Tsomoriri Lake ก็ได้ ถ้าพัก Tsomoriri แผนที่เที่ยวแคชเมียก็ลดไปวันนึง
13 Apr : Magnetic hill, Sangam viewpoint, Alchi, Luma Yuru (พวกนี้เป็นจุดทางผ่านไปเมือง Kargil) แล้วแวะพักที่ Kargil
14 Apr : ออกจาก Kargil ไปเมืองแคชเมีย Srinagar แต่ระหว่างทางมันมีเมืองชื่อ Sonamarg อยู่น่าจะแวะได้นะหรือถ้าไม่แวะ ก็เดินเล่นในแคชเมียตอนบ่ายๆ >> นอนบ้านเรือที่แคชเมีย
15 Apr : อาจไปเที่ยว Sonamarg แบบ one day trip หรือขึ้นไป เล่นสกีก็ได้แล้วแต่ >> พักที่แคชเมียอีกคืน
16 Apr : มีเวลาถึงเย็นๆ ในแคชเมีย เพราะเครื่องออก 18.40 ถึงเดลีประมาณ2ทุ่มกว่า >> พักที่เดลี
17 Apr : นอนเอาแรงหรืออาจซื้อของฝากนิดหน่อยตอนเช้า เครื่องออกจากเดลี 11.40 AM
ทริปนี้ถือโอกาสได้ลองใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ รวมถึงหน้ากากที่เพิ่งซื้อมาด้วย 55+
หลังจากผ่านขั้นตอนการทำวีซ่าอินเดียทั่วไปแล้ว เผลอแปปๆ ก็ถึงวันที่จะบิน รู้ตัวก็มาโผล่สนามบินแล้ว
ต้องเล่าก่อนว่า จริงๆ ตอนนั้นตั้งใจถ่ายให้ตลกๆ เฉยๆ เพราะรู้สึกว่าหน้ากากนี้มันใส่แล้วดูตลกดี จริงๆ มันก็คือ ที่ครอบหัวที่ขายในออนไลด์เอาไว้งีบตอนทำงานนี่เอง ซื้อมาก่อนเดินทางแค่วันสองวันเอง กะว่าจะเอาไว้ใส่ตอนไปเลห์ ลาดัก เพราะได้ยินว่าหนาวมากช่วงนั้น ใส่นอนคงอุ่นสบาย
ยังพอมีเวลาเหลือนิดหน่อยที่สนามบินนึกได้ว่า มาอินเดียครั้งแรก ข้อมูลก็ไม่ค่อยแน่น เตรียมตัวมาไม่ค่อยเท่าไหร่
รู้สึกหวั่นๆ ใจชอบกล เลยขอซื้อประกันการเดินทางไว้สักหน่อย (ปกติไม่ค่อยได้ซื้อเลย)
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ไปกันโลด.....
วันแรก (6/4/60)
ตามแผนวันแรกไม่มีไรมาก ถึงสนามบินที่นิวเดลีโดยสวัสดิภาพ ก็รอเปลี่ยนเครื่องไปพาราณสีตอนเย็นๆ ระหว่างเปลี่ยนเครื่องก็ กินข้าว เดินเล่นแล้วก็นั่งๆ นอนๆ รอเวลาบิน มีเวลาตั้งประมาณ 5-6 ชั่วโมง ดูๆ แล้วเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ง่ายอย่างนั้นแฮะ...-_-'
หลังจากขั้นตอนทั่วไป ลงเครื่องแล้ว เข้าคิวผ่านตม ไปเอากระเป๋าสัมภาระเสร็จ ก็ไป Check in สายการบินที่จองไว้ รอบนี้ผมจองของ Indigo Airline เป็นสายการบินในประเทศ แต่ปัญหาคือ Terminal ของสายการบินในประเทศ มันไม่เชื่อมต่อกับสนามบินระหว่างประเทศนี่สิ ทีแรกก็งงๆ อยู่ถามเจ้าหน้าที่เขาบอกแค่ว่า ให้เดินตามป้ายไป Domestic Transfer ไปแล้วต้องไปขึ้นรถบัสอีก Terminal นึงคนละอาคาร ผมนี่งงเลย เพิ่งเคยเห็น Terminal ที่แยกจากกันแบบนี้ สุดท้ายก็เดินตามป้ายไป ออกมาจากประตู แล้วก็หาเจอป้ายจุดรอรถบัสไปส่งอีก Terminal นึง
นั่งสักพักประมาณ 15-20 นาทีก็ถึงอีก Terminal นึง พอมาถึงจะเห็นป้ายที่จุดเดียวกัน สามารถนั่งกลับไปที่เดิม คือ Terminal 3 ได้
ออกมาก็จะเห็นป้ายที่จะไปสายการบินทั้ง 3 นี้ ต้องขึ้นลิฟต์ไปอีก เพราะอยู่ชั้นบน โดยลิฟต์มีอยู่ 2 ตัว คนก็จะเยอะหน่อย พอขึ้นไปต้องตรวจกระเป๋าก่อนเข้าอีก รอคิวต่อไป
ด้านในสนามบินบางคนก็ใส่ชุดพื้นเมือง บางคนก็ชุดธรรมดา หลังจาก Check in เสร็จก็ตรวจสัมภาระติดตัวทั่วไป แต่ที่นี่จะแบ่งเพศชัดเจน แถวนึงสำหรับผู้ชาย แถวนึงสำหรับผู้หญิง และตรวจละเอียดมาก สัมภาระผ่านไปสักพักละ ยังตรวจไม่เสร็จเลย กลัวของหายจัง...-_-'
บรรยากาศภายในสนามบินก็ประมาณนี้
ที่นี่จะมีร้านค้าขายของ ร้านอาหารข้างใน แต่ที่นั่งรอต้องนั่งรอด้านนอก เพราะจะมีประตูกั้นอีกทีนึง ต้องรอให้ใกล้ๆ เวลาของเที่ยวบินตัวเอง ถึงจะใช้ Boarding pass ผ่านเข้าไปได้ สงสัยเพราะที่นั่งแต่ละสายการบินก็ใช้รวมกันอีก ที่นั่งเลยไม่พอ ไม่เหมือนสนามบินทั่วไปที่จะมีพื้นที่นั่งแยกแต่ละ gate ให้เลย ไม่รู้จะกินอะไรระหว่างรอ เลยจัด KFC ที่สนามบิน ข้าวน่องไก่ รสชาติไม่เลวเลยสำหรับมื้อแรก
กินข้าวเสร็จแปปๆ ก็ถึงเวลากว่าจะได้เข้าเกท แต่เครื่องเจ้ากรรมก็ดันดีเลย์ชั่วโมงนึงอีก กว่าจะได้ขึ้นเครื่อง....เฮ้อ
แต่ระหว่างรอเครื่องอยู่ๆ ผมก็นึกไอเดียบางอย่างขึ้นมาได้ คือ อยากจะถ่ายรูปตัวเองใส่หน้ากากนี้ไว้ระหว่างทริป
เพราะต้องการจะสื่อความหมายบางอย่างจากหน้ากากนี้
(ถ่ายรูปแอร์ซะหน่อย)
ในที่สุดก็ถึงสนามบิน ใช้เวลาชั่วโมงเดียว แต่พอมาถึงจะไปเอากระเป๋าต้องระวังจะมีพวกไหนไม่รู้ จับรถเข็นสัมภาระ รอใกล้ๆ ประตูทางเข้าที่จะไปเอาสัมภาระ บางคนเข้าใจผิดคิดว่าเขาบริการก็รับจากเขา เขาก็จะเรียกให้จ่ายตัง เพราะงั้นถ้าเจอก็เดินผ่านมาเลย มันมีรถเข็นบริการฟรีอยู่แล้ว ใกล้ๆ จุดเอากระเป๋านั่นแหละ (หากินง่ายดีเนอะ....-_-')