[หนังโรงเรื่องที่ 210] Pitch Perfect 3 - ปิดฉากเวทีสุดท้าย ; (Trish Sie, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: หนังพาเราไปตามติดชีวิตเหล่าสาวๆ อดีต "เบลล่าส์" ทั้งหลายที่ตอนนี้กลายเป็นวัยทำงานกันไปหมดแล้ว และพวกเธอก็ได้ตระหนักว่าชีวิตจริงนั้นมันวุ่นวายและยุ่งยากยิ่งกว่าการขึ้นเวทีไปร้องเพลงเสียอีก!
และในขณะที่ทุกคนกำลังถวิลหาโอกาสที่จะได้ร้องเพลงร่วมกันอีกครั้ง ก็สบจังหวะที่กองทัพสหรัฐกำลังคิดจัดงานสันทนาการให้เหล่าทหารที่ประจำตามประเทศต่างๆ เหล่าเบลล่าส์เลยได้มีโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะขึ้นโชว์อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน
.
.
เอาจริงๆ นะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าติดตามดูหนังเรื่องนี้มาจนครบ 3 ภาคได้ยังไง (หัวเราะ) แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าภาคแรกมันเป็น "ปรากฏการณ์" อย่างนึงเลยล่ะ และหนังก็เตะตัดขาตัวเองตายในภาคสองไปอย่างน่าเอน็จอนาถ ส่วนถ้าถามว่าในภาคสามนี้หนังกลับมาปังเหมือนเดิมมั้ย? อลังการน่าจดจำเหมือนเดิมรึเปล่า? ... ก็ต้องตอบว่า "ไม่เลย"
.
เหมือนที่กล่าวไว้ในเรื่องย่อว่า เหล่าเบลล่าส์จะต้องเดินสายไปตามค่ายทหารต่างๆ ถึง 4 ประเทศเพื่อไปจัดงานสันทนาการ และไฮไลต์ของงานก็คือมีแขก Super VIP อย่าง "ดีเจคาห์เลด" มาเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์นี้ด้วย และในบรรดาวงดนตรีทั้งหลายที่มาร่วมงานสันทนาการนี้ จะมีเพียงวงเดียวที่ดีเจคาห์เลดจะเลือกไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตระดับโลกกับเขา "การแข่งขัน" จึงบังเกิดขึ้นอีกแล้ว
.
แต่ความน่าสนใจก็คือในการแข่งขันรอบนี้ ไอ้วงคู่แข่งที่ว่ามันไม่ใช่วง "อะแคปเปลลา" (Acappella) เหมือนที่ผ่านมาน่ะสิ แต่พวกเขาเป็นวงดนตรีชนิด full band ที่จัดหนักจัดเต็มทั้งเครื่องดนตรีและแสงสีเสียง แถมวงเบลล่าส์ยังไปแสดงความ "สะเหร่อ" ด้วยการไปท้าดวลเสียงล้วนๆ กับคนอื่นอีก แล้วก็ทึกทักเข้าข้างว่าตัวเองเจ๋งที่สุดแล้วตามระเบียบ
.
มันเป็นสัญญะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า "เบลลาส์" ยังคงยึดติดกับอดีตและความสำเร็จเดิมๆ ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็น "สุดยอดของวงการอะแคปเปลลา" แต่พอก้าวเข้าสู่โลกของชีวิตจริงที่ได้เล่นตามกฎของพวกเธอเสมอไปก็ถึงกับดับอนาถ ลองนึกสภาพดูว่าบรรยากาศงานสันทนาการในค่ายทหารที่ทุกคนกระหายความมันส์กัน ระหว่างวงดนตรีเรกเก้, ฮิปฮอป, ร็อก และวงประสานเสียงหญิงล้วน ... ใครจะดับ ใครจะปัง?
.
แม้แต่ตัวละครในวงเองก็พูดอยู่หลายครั้งว่ายุคนี้ไม่ใช่ยุคของอะแคปเปลลาแล้ว มันอาจจะดูยอดเยี่ยมและตื่นตาในช่วงเวลาและสถานที่หนึ่ง แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้มันก็ไม่ได้ปังแบบนั้นอีกแล้ว ... เป็นการบ่งบอกถึงสภาวะของหนัง "Pitch Perfect" ในตอนนี้ที่มันหมดยุคไปแล้ว
จริงอยู่ที่ว่าเนื้อเรื่องของภาคแรกมันทั้งดูแซ่บจากสีสันของสาวๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย กอปรกับการประสานเสียงเพลงป๊อปเท่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนั้น ทำให้หนังมันทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว แต่พอผ่านไปสองภาค สามภาค มันก็กลายเป็นอะไรที่ "เฉยๆ" ไปซะแล้ว ผู้เขียนแทบไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับโชว์เพลงในภาคนี้เลยแม้แต่น้อย คือมีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร
.
และเหมือนหนังจะรู้ว่าลำพังดนตรีของตัวเองมันขายไม่ได้แล้ว ก็เลยพยายามเพิ่มเส้นเรื่องหลักเรื่องครอบครัวของแต่ละคนเข้ามาเพื่อให้หนังมันครบชั่วโมงครึ่งได้ ซึ่งก็เป็นประเด็นเดิมอีกนั่นแหละที่ว่ามันไม่น่าสนใจเอาซะเลย การใส่ดีเจคาห์เลดเข้ามาก็ให้อารมณ์เป็น cameo เสียมากกว่า เพราะเฮียแกไม่ได้ต้องเพลงสักท่อน (เอามาทำไม๊)
ในแง่มุกตลกมันก็พอถูไถแหละ อารมณ์ขันบางอย่างที่เคยเป็นเสน่ห์ของ Pitch Perfect มันก็เข้าท่าอยู่ โดยเฉพาะมุกเสียดสีและสองแง่สองง่ามสไตล์ของสาวๆ ก็ยังพอเรียกเสียงหัวเราะได้ (แต่คนดูก็ต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับสแลงอเมริกันพอสมควรเลยล่ะ) แต่ผู้เขียนคิดว่าด้วยความที่มันไม่มีองค์ประกอบอย่าง "วงผู้ชาย" ที่เคยเป็นคู่รับมุกตบมุกมาตลอดสองภาคแล้วมันส่งผลให้หนังจืดไปเยอะเลย ทำให้เรารู้ได้เลยว่าลำพังแค่สาวๆ ในเรื่องก็แบกตรงนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ
.
แต่ในท้ายที่สุดผู้เขียนก็ยังชอบข้อความที่หนังพยายามจะสื่อ ที่ว่าด้วย "การก้าวไปสู่เวทีถัดไป" เพราะทั้งวงเบลลาส์และตัวหนังเองก็มาถึงทางตันแล้ว มันไม่สนุก--ไม่ปังอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นก็อาจจะถึงเวลาอันสมควรที่จะทิ้งหนังเรื่องนี้ไว้ข้างหลัง แล้ว move on ไปสร้างสรรค์ผลงานใหม่กัน.
.
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ
[หนังโรงเรื่องที่ 210] Pitch Perfect 3 - ปิดฉากเวทีสุดท้าย by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 210] Pitch Perfect 3 - ปิดฉากเวทีสุดท้าย ; (Trish Sie, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
*ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ: หนังพาเราไปตามติดชีวิตเหล่าสาวๆ อดีต "เบลล่าส์" ทั้งหลายที่ตอนนี้กลายเป็นวัยทำงานกันไปหมดแล้ว และพวกเธอก็ได้ตระหนักว่าชีวิตจริงนั้นมันวุ่นวายและยุ่งยากยิ่งกว่าการขึ้นเวทีไปร้องเพลงเสียอีก!
และในขณะที่ทุกคนกำลังถวิลหาโอกาสที่จะได้ร้องเพลงร่วมกันอีกครั้ง ก็สบจังหวะที่กองทัพสหรัฐกำลังคิดจัดงานสันทนาการให้เหล่าทหารที่ประจำตามประเทศต่างๆ เหล่าเบลล่าส์เลยได้มีโอกาสครั้งสุดท้ายที่จะขึ้นโชว์อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน
.
เอาจริงๆ นะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเองว่าติดตามดูหนังเรื่องนี้มาจนครบ 3 ภาคได้ยังไง (หัวเราะ) แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าภาคแรกมันเป็น "ปรากฏการณ์" อย่างนึงเลยล่ะ และหนังก็เตะตัดขาตัวเองตายในภาคสองไปอย่างน่าเอน็จอนาถ ส่วนถ้าถามว่าในภาคสามนี้หนังกลับมาปังเหมือนเดิมมั้ย? อลังการน่าจดจำเหมือนเดิมรึเปล่า? ... ก็ต้องตอบว่า "ไม่เลย"
เหมือนที่กล่าวไว้ในเรื่องย่อว่า เหล่าเบลล่าส์จะต้องเดินสายไปตามค่ายทหารต่างๆ ถึง 4 ประเทศเพื่อไปจัดงานสันทนาการ และไฮไลต์ของงานก็คือมีแขก Super VIP อย่าง "ดีเจคาห์เลด" มาเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์นี้ด้วย และในบรรดาวงดนตรีทั้งหลายที่มาร่วมงานสันทนาการนี้ จะมีเพียงวงเดียวที่ดีเจคาห์เลดจะเลือกไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตระดับโลกกับเขา "การแข่งขัน" จึงบังเกิดขึ้นอีกแล้ว
แต่ความน่าสนใจก็คือในการแข่งขันรอบนี้ ไอ้วงคู่แข่งที่ว่ามันไม่ใช่วง "อะแคปเปลลา" (Acappella) เหมือนที่ผ่านมาน่ะสิ แต่พวกเขาเป็นวงดนตรีชนิด full band ที่จัดหนักจัดเต็มทั้งเครื่องดนตรีและแสงสีเสียง แถมวงเบลล่าส์ยังไปแสดงความ "สะเหร่อ" ด้วยการไปท้าดวลเสียงล้วนๆ กับคนอื่นอีก แล้วก็ทึกทักเข้าข้างว่าตัวเองเจ๋งที่สุดแล้วตามระเบียบ
มันเป็นสัญญะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า "เบลลาส์" ยังคงยึดติดกับอดีตและความสำเร็จเดิมๆ ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็น "สุดยอดของวงการอะแคปเปลลา" แต่พอก้าวเข้าสู่โลกของชีวิตจริงที่ได้เล่นตามกฎของพวกเธอเสมอไปก็ถึงกับดับอนาถ ลองนึกสภาพดูว่าบรรยากาศงานสันทนาการในค่ายทหารที่ทุกคนกระหายความมันส์กัน ระหว่างวงดนตรีเรกเก้, ฮิปฮอป, ร็อก และวงประสานเสียงหญิงล้วน ... ใครจะดับ ใครจะปัง?
แม้แต่ตัวละครในวงเองก็พูดอยู่หลายครั้งว่ายุคนี้ไม่ใช่ยุคของอะแคปเปลลาแล้ว มันอาจจะดูยอดเยี่ยมและตื่นตาในช่วงเวลาและสถานที่หนึ่ง แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้มันก็ไม่ได้ปังแบบนั้นอีกแล้ว ... เป็นการบ่งบอกถึงสภาวะของหนัง "Pitch Perfect" ในตอนนี้ที่มันหมดยุคไปแล้ว
จริงอยู่ที่ว่าเนื้อเรื่องของภาคแรกมันทั้งดูแซ่บจากสีสันของสาวๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย กอปรกับการประสานเสียงเพลงป๊อปเท่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนนั้น ทำให้หนังมันทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว แต่พอผ่านไปสองภาค สามภาค มันก็กลายเป็นอะไรที่ "เฉยๆ" ไปซะแล้ว ผู้เขียนแทบไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับโชว์เพลงในภาคนี้เลยแม้แต่น้อย คือมีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร
และเหมือนหนังจะรู้ว่าลำพังดนตรีของตัวเองมันขายไม่ได้แล้ว ก็เลยพยายามเพิ่มเส้นเรื่องหลักเรื่องครอบครัวของแต่ละคนเข้ามาเพื่อให้หนังมันครบชั่วโมงครึ่งได้ ซึ่งก็เป็นประเด็นเดิมอีกนั่นแหละที่ว่ามันไม่น่าสนใจเอาซะเลย การใส่ดีเจคาห์เลดเข้ามาก็ให้อารมณ์เป็น cameo เสียมากกว่า เพราะเฮียแกไม่ได้ต้องเพลงสักท่อน (เอามาทำไม๊)
ในแง่มุกตลกมันก็พอถูไถแหละ อารมณ์ขันบางอย่างที่เคยเป็นเสน่ห์ของ Pitch Perfect มันก็เข้าท่าอยู่ โดยเฉพาะมุกเสียดสีและสองแง่สองง่ามสไตล์ของสาวๆ ก็ยังพอเรียกเสียงหัวเราะได้ (แต่คนดูก็ต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับสแลงอเมริกันพอสมควรเลยล่ะ) แต่ผู้เขียนคิดว่าด้วยความที่มันไม่มีองค์ประกอบอย่าง "วงผู้ชาย" ที่เคยเป็นคู่รับมุกตบมุกมาตลอดสองภาคแล้วมันส่งผลให้หนังจืดไปเยอะเลย ทำให้เรารู้ได้เลยว่าลำพังแค่สาวๆ ในเรื่องก็แบกตรงนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ
แต่ในท้ายที่สุดผู้เขียนก็ยังชอบข้อความที่หนังพยายามจะสื่อ ที่ว่าด้วย "การก้าวไปสู่เวทีถัดไป" เพราะทั้งวงเบลลาส์และตัวหนังเองก็มาถึงทางตันแล้ว มันไม่สนุก--ไม่ปังอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นก็อาจจะถึงเวลาอันสมควรที่จะทิ้งหนังเรื่องนี้ไว้ข้างหลัง แล้ว move on ไปสร้างสรรค์ผลงานใหม่กัน.
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้