ฉันรู้จักบรรณาธิการ “Cycling Plus” คนสุดท้ายมากกว่าเดิม ในวันที่ “หนังสือถูกปิด”

ห้องพันทิปวันนี้เหน็บหนาวกว่าเมื่อวาน

แสงแดดอุ่นอาบไล้จอคอมพิวเตอร์ ลามเลียตกกระทบยังปลายนิ้วมือขณะฉันรัวพิมพ์แป้นคีย์บอร์ดนำเรื่องที่อยู่ในก้อนความทรงจำออกมาบอกเล่าเรื่องราวบรรณาธิการคนสุดท้ายของนิตยสาร Cycling Plus Thailand ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาบริษัทโพสต์อินเตอร์ฯ มีเดีย ย่านคลองเตย ผ่านกระทู้พันทิป

ก่อนอื่นฉันขอแนะนำตัวสักนิดว่า ฉันเป็นเพียงนักอยากเล่าเรื่องคนหนึ่งที่ติดตามอ่านงานเพื่อนๆ ชาวพันทิปมานาน วันนี้ขอนำเรื่องราวคนทำนิตยสารจักรยานในยุคที่สื่อสิ่งพิมพ์ทยอยจากเราไปทีละเล่ม สองเล่ม ในปีเดียวกันที่มีนิตยสารประมาณ 6 เล่ม ปิดตัว จากเราไป...




ฉันมีโอกาสได้พบกับบรรณาธิการ Cycling Plus Thailand  ในช่วงสายวันหนึ่ง ภายหลังจาก 2 วันที่ฉันได้รับฟังการไลฟ์สด แจ้งเป็นทางการในเพจเฟซบุ๊ก Cycling Plus Thailand  ว่านิตยสารกำลังจะถูกปิด

ฉันรู้จักเขาในฐานะผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่ชื่นชอบการปั่นจักรยานเป็นชีวิตจิตใจ ลุยได้ทุกที่

... เป็นผู้ชายที่พูดคุยเฮฮา สบายๆ ไม่ถือตัว และพร้อมจะถ่ายทอดเรื่องราวจักรยานให้แก่ผู้ที่สนใจได้ฟังอย่างเปิดเผย

คุณไกด์-อภิคุปต์ ประสพทรัพย์ บรรณาธิการคนสุดท้ายของนิตยสาร Cycling Plus Thailand คือคนที่เรากำลังพูดถึง

และในวันนี้เอง...ฉันได้ขอปอกเปลือกชีวิตของเขาทั้งหมด

...ปลดเปลือยชีวิตผู้ชายบ้าพลังคนหนึ่งที่มีจักรยานเป็นเสมือนอวัยวะที่ 34 และมีความหลงใหลในการทำนิตยสารจักรยานให้ออกมาดีที่สุด



ย้อนกลับไปในวัย 13 ปี คุณไกด์สนใจจักรยานตั้งแต่ยังเด็ก ปั่นเที่ยวเล่นตามประสาเด็กผู้ชาย เมื่อโตขึ้นนำเงินเก็บที่ได้จากการทำงานพิเศษไปซื้อจักรยานคันละเป็นแสนขี่ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ ในวัยเกือบ 40 ปี ระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดได้อยู่กับสิ่งที่รักและผูกพัน ถึงตอนนี้น่าจะ 25 ปีแล้วที่เขาคลุคลีอยู่กับจักรยานมาโดยตลอด

“พอเริ่มโตขึ้นผมเริ่มขี่จักรยานเที่ยวกับชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพของ “อาจารย์ธงชัย” (ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์) เน้นปั่นท่องเที่ยวทั้งเสือหมอบ เสือภูเขา จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มีปั่นไปเรียนบ้าง”

คุณไกด์จบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนั้นวิถีชีวิตอาจห่างไกลจากการปั่นจักรยานไปบ้าง แต่พอมีเวลาว่างเมื่อไร ก็จะจับจักรยานออกปั่นสบายๆ อยู่เรื่อยๆ กระทั่งปี พ.ศ. 2549 ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น

“ผมกลับมาปั่นจักรยานอีกครั้ง ครั้งนี้เริ่มปั่นจริงจังมากขึ้น มีการฝึกซ้อม เข้าร่วมกลุ่ม ร่วมทีมปั่นกับนักแข่งสมัครเล่นในระบบของอเมริกา และวันนั้นเองที่ผมพบว่า เราไม่มีสื่อเรื่องจักรยานเป็นภาษาไทยมากนัก ตอนนั้นทุกคนคุยกันบนเว็บบอร์ดที่ thaimtb ผมในตอนนั้นซึ่งเข้าห้องสมุดสาธารณะที่เมืองนอก รวมกับที่ถามจากนักแข่งฝรั่ง รู้อะไรเพิ่ม ก็มาตอบคำถาม เป็นการแลกเปลี่ยนกัน”

ด้วยความที่มีนิสัยชอบถ่ายทอดองค์ความรู้ คุณไกด์จึงไปเป็นวิทยากร สอนดนตรีควบคู่กับการปั่นจักรยานเป็นกิจวัตร ทำให้มีนิสัยชอบสอน และเรียบเรียงการสอนเป็นพื้นฐานเดิม ผสมผสานกับความรู้ที่ได้ ค่อยๆ ตอบคำถามในบอร์ดมาเรื่อยๆ จนเริ่มมีคนรู้จัก จดจำได้ เรียกว่าเป็นเนิร์ดของบอร์ดเลยก็ว่าได้

“ผมไม่ใช่คนเก่ง  มีคนรู้มากกว่าผมอีกเยอะมาก แต่เขาไม่มีเวลามาสอน มาอธิบาย ผมก็แค่รู้เท่าที่บอก มีผิดบ้างถูกบ้างศึกษากันต่อไป ถ้าจะเรียกให้ถูกมันคือการแบ่งปันกันมากกว่า เพราะทุกครั้งที่มีการถามและตอบ เราจะเกิดคำถามต่อเนื่องอีกมากมายให้ไปหาคำตอบ ผมจะไปหาคำตอบมาจนได้สิ่งที่ต้องการแล้วนำมาบอกต่อ วนไปเรื่อยๆ แบบนี้ เป็นการกำเนิดตัวตนของผมในวงการจักรยาน”


ต่อมาคุณไกด์ได้กลับมายังประเทศไทย มีโอกาสเฉียดๆ วงในธุรกิจจักรยานไทย ได้ไปเห็นอุตสาหกรรมจักรยานจีน ที่ช่วงนั้นเริ่มแข็งแรงขึ้น สร้างเป็นพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่ ประกอบกับสิ่งใหม่ๆ “อยู่ดีๆ ผมก็ถูกคนเรียกว่า ‘อาจารย์’ บ้าง ‘กูรู’ บ้าง แต่ผมมักบอกเสมอว่า ‘กูไม่รู’ (หัวเราะ)”

กระทั่งจักรยานเริ่มดังเป็นพลุแตก กลายเป็นกระแสขึ้นมา หลายคนออกมาปั่นตามท้องถนน มีกลุ่ม มีชมรมปั่นผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ดารา นักแสดงหันมาปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ วันดีคืนดีคุณไกด์จูงเจ้าจักรยานคันโปรดออกมาปั่นบนท้องถนน พบผู้คนกำลังทำในสิ่งเดียวกับที่เขาหลงใหลมาตลอด 25 ปี ทุกอย่างจึงดูเหมือนโลกในฝันไปโดยปริยาย  

“ผมเอาจักรยานออกไปปั่นบนถนน พบว่าทำไมคนปั่นเยอะจัง เฟซบุ๊กผมก็เล่นในวงแคบๆ ไม่ตามข่าวดารา มารู้ตัวอีกที อ้าวดารามาปั่นเพียบเลย และก็พบว่าเพื่อนๆ สมัยเรียนก็มาปั่นจักรยานเต็มไปหมด โฆษณาทุกอย่างต้องมีจักรยาน เป็นโลกในฝันของผมเลยครับ เกิดสนามเขียวที่รอบๆ สุวรรณภูมิ ผมไปปั่นครั้งแรกแบบงงๆ นี่คืออะไร”

สนามเขียวจึงกลายเป็นสถานที่อันน่าตื่นตาตื่นใจราวกับสนามเด็กเล่นของคุณไกด์พาจักรยานพุ่งทะยานไปบนเส้นทางอย่างอิสระ  ไปปั่นอย่างเดียวเห็นจะไม่สนุก คุณไกด์จึงชักชวนแฟนสาวไปด้วยกัน แต่ไม่ได้ไปแบบธรรมดา เพราะมีแฟนสาวไปนั่งขายน้ำอยู่แถวนั้นด้วย หอบกำไรกลับบ้านไปพอสมควร

“ผมซ้อมปั่นตั้งแต่สนามปิด เราไปกันตั้งแต่ตี 4 และกลับบ้าน 11 โมงหลังจากที่ผมปั่นไปแล้วร้อยกว่าโลเป็นแบบนี้ตลอดจนเขาไล่ ยังดีที่ไม่เคยต้องแบกของหนีตำรวจหรือเทศกิจนะ (หัวเราะ) แต่จากการขายของที่ร้านนี่แหละที่ทำให้ผมค้นพบบางสิ่ง คือการได้ยิน ได้ฟังเรื่องคนที่มาปั่นที่สนามเขียวเหมือนเป็นแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน”

ช่วงนั้นคุณไกด์เข้าสู่ชีวิตบล็อกเกอร์เต็มตัว เริ่มทำเพจเฟซบุ๊กของตัวเองขึ้นมา และหาสปอนเซอร์ซึ่งเป็นเงินทุนจากเพื่อนรักที่สนับสนุนกันเอง นั่นจึงทำให้มีเวลาเขียนงานได้อย่างเต็มที่ควบคู่ไปกับการขายเสื้อจักรยานไปด้วย จากนั้นเป็นต้นมาชีวิตคุณไกด์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะได้ก้าวเข้าสู่วงการสื่อจักรยานแบบเต็มตัว

“thaimtb ซื้อตัวผมไปทำคอนเทนต์ให้เขาอย่างเป็นทางการ กระทั่งนิตยสาร Cycling Plus Thailand โทร.มาชวนผมมาทำ ผมตัดสินใจอยู่พักหนึ่ง น่าจะเดือนกว่าๆ ถึงตอบตกลงมาทำ เป็นการย้ายจากออนไลน์มาสู่ print สวนกระแสทิศทางอย่างมาก”

ย่างก้าวแห่งการเข้าสู่หัวเรือใหญ่ของคนทำหนังสือในฐานะบรรณาธิการ ที่ต้องกำหนดเนื้อหา และควบคุมทิศทางการทำคอนเทนต์ให้ออกมามีคุณภาพ ควรค่าแก่การจ่ายเงินซื้อเก็บ การเข้ามาทำงานในวันแรกจึงเป็นโจทย์ใหญ่อันท้าทาย


“ผมชื่นชอบ Bikeradar เป็นการส่วนตัว ซึ่งเป็นสื่อจักรยานไอดอลของผมเลย เมื่อผมเข้ามารับหน้าที่บรรณาธิการ ทิศทางของผมชัดเจนว่า Cycling Plus Thailand จะไม่ใช่หนังสือแปล หรือซื้อลิขสิทธิ์เรื่องราวมาทำ แต่เราคือนิตยสารที่ซื้อวิธีทำงาน มาสร้างในแบบเดียวกับที่กองบรรณาธิการที่อังกฤษ Cycling Plus ทำงานนั่นเอง”

สามเดือนแรกของการทำงานจึงเป็นการเรียนรู้วิชาการทำนิตยสารอย่างเข้มข้น ความท้าทายแรกที่เป็นบททดสอบหลังมาทำงานได้ไม่ถึง 7 วัน นั่นคือถูกส่งให้ไปทำงานที่อิตาลีทันที “กว่าจะกลับมาก็กินเวลาเข้าไปในช่วงสัปดาห์แรกของงานแล้ว และไม่นานนับจากการเข้ามานั่งโต๊ะวันแรก ก็เข้าสู่ช่วงเตรียมการวางแผนกรณีเสด็จสู่สวรรคาลัยของรัชกาลที่เก้า ซึ่งสื่อทั้งหมดต้องเตรียมพร้อมในทุกสถานการณ์ น้องใหม่ถูกเรียกประชุมบรรณาธิการทุกเล่ม ไม่กี่วันที่มารับงาน นี่คือโจทย์ยากที่สุด มีรายละเอียดมากมายที่ต้องรับมือให้ได้ ขณะนั้นผมยังมึนๆ กับระบบการทำงานของนิตยสารอยู่เลย ทีมงานก็เพิ่งรู้จักกัน แต่ก็เข็นจนผ่านมาได้”

หัวใจสำคัญของการทำงานนิตยสารที่คุณไกด์บอกกับเรา คือ “Passion” ที่ต้องทำออกมาให้ดีที่สุด “ผมย้ำเสมอว่า นิตยสารนี้ออกมาจากแรงบันดาลใจของเรา มันไม่ใช่คำสวยหรูหรอกครับ ถ้าจะเรียกอีกมุมคือ ‘บ้า’ นั่นแหละ ทุกๆ เล่มเรางัดเอาความบ้าจักรยานออกมาเป็นเนื้อหา เมื่อวางโครงของแต่ละเล่มในหนึ่งปีได้ ผมพยายามหาแนวคิดจากทีมงานทั้งหลาย ตั้งแต่เนื้อหา ไปจนภาพประกอบและการออกแบบกราฟิกในเล่มให้สะท้อนกับโครงของเล่มนั้น ผมพยายามสร้างคอลัมน์ใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงคนอ่าน”

ภาพที่ถ่ายในเล่มทั้งหมดคุณไกด์ยังใส่ใจอย่างพิถีพิถัน แสง ฉากหลัง คุณภาพ ความคม การสื่อความหมายต้องลงตัวทั้งหมด “บ่อยครั้งที่เราต้องลงทุนขนกองออกไปต่างจังหวัดเพื่อไปถ่ายจักรยานประกอบในคอลัมน์ทดสอบ ใช้ทุนไม่น้อย ถึงจะได้ไปปั่นเล่นก็เถอะ (หัวเราะ) อย่าถามผมว่าเราใช้เงินเท่าไรในแต่ละเล่ม แต่ถามผมดีกว่าว่าแต่ละเล่ม เราทุ่มเทแค่ไหน ผมเล่าได้ไม่มีวันจบครับกว่าจะออกมาให้อ่านกัน”

นิตยสาร Cycling Plus Thailand มีทั้งฉบับสิ่งพิมพ์ และปลุกปั้นเว็บไซต์ เพจเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม โดยเฉพาะการไลฟ์สดทุกเย็นวันจันทร์ ที่เราจะพบคุณไกด์มานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวในแวดวงจักรยานอย่างเป็นกันเอง ซึ่งจะมีนักปั่นเข้ามาถาม ตอบในรายการ เป็นที่คุ้นหน้า คุ้นตากันดี ในมุมมองของคนทำสื่อ ฉบับสิ่งพิมพ์กับออนไลน์อาจจะมีความต่างกันอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ไม่ต่างกันมากนักคือ การนำเสนอเนื้อหาเรื่องจักรยานให้ถึงมือผู้เสพ แต่จะเป็นในรูปแบบไหนขึ้นอยู่กับวิธีสร้างสรรค์ออกมา

“ถ้าคุณรักในเรื่องไหนสักเรื่อง คุณจะไม่เบื่อที่จะได้พบ เห็น ดู อ่าน ในเรื่องราวเหล่านั้นโดยที่ไม่ต้องรอให้อยากเห็น อยากรู้ อยากดู อยากอ่าน เว็บคุณจะจัดหน้าให้สวยอย่างไร ภาพจะถ่ายมาเทพแค่ไหน มันก็คือเว็บ เป็นแท่งๆ ท่อนๆ ลงมา

แต่ในนิตยสาร คุณสามารถเห็นคำพูดของคนต้นเรื่อง อยู่ข้างกับแววตาของเขาสื่อความหมายออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ สีสัน และการจัดวางกราฟิก ช่วยถ่ายทอดให้เข้าถึงมันได้มากกว่า นิตยสารเราใช้เพื่อลงลึกไปในอารมณ์ ตอกย้ำความรู้สึก สาระ รับรู้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ส่วนสื่อออนไลน์เราใช้ในการสื่อสารวงกว้าง การแชร์ รวมถึงการลงข่าวเร็ว ฉาบฉวย กระแสต่างๆ ในสังคมนักปั่น”

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป AI ที่กำลังรอเราอยู่ในโลกแห่งอนาคตทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในการรับข่าวสารเน้นความฉับไว และสะดวก เข้าถึงง่าย ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์จึงประคองไปต่อลำบาก ทั้งรายได้โฆษณาก็ถดถอย เมื่อผู้คนหันไปเสพคอนเทนต์ออนไลน์มากขึ้น

“นิตยสารเข้าสู่จุดถดถอยอย่างไม่ต้องสงสัย มันคือสิ่งที่กำลังออกไปจากกระแสหลัก ในขณะที่ตัวมันเองมีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่าแรงของทีมงานขนาดใหญ่ กระดาษ หมึกพิมพ์ ค่าขนส่งและจัดจำหน่าย สวนทางกับรายได้และการยอมรับของผู้บริโภค”

แม้กระทั่งตอนนี้ภาพรวมของ “แฟชั่น” ที่ออกไปห่างจากจักรยาน นักร้องออกมาวิ่ง การหันไปสู่กิจกรรมกีฬาอื่นๆ ของกลุ่มคนในสังคม ความมีสไตล์ของชีวิตจึงไม่ได้สะท้อนที่จักรยานคันงามที่มีติดบ้านอีกต่อไปจึงส่งผลทางตรงกับนิตยสารเล่มนี้

“มันคือฟองเบียร์เป็นหลักครับ ฟองเบียร์ที่ฟู สวยหรูยามกระแสพุ่งขึ้น เมื่อมันยุบตัวลง สิ่งที่หายไปไวกว่าคือตัวฟองมันเอง ผมพยายามจับมันไปอยู่กับเนื้อเบียร์ที่ไม่ได้ยุบตัวลง แต่ก็ไม่ง่ายเพราะกว่าจะเริ่มทำ ฟองเบียร์ก็หายไปเยอะแล้ว”

ท้ายที่สุดแล้วนิตยสาร Cycling Plus Thailand จะมาถึงจุดที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยฉบับที่ 55 เดือนธันวาคม จะเป็นฉบับสุดท้าย แม้จะเรียกว่าถูกปิด แต่อย่างไรแล้วอาจเป็นเพียงแค่การหายไปเท่านั้น

“ความรู้สึกผูกพันของพวกเราทีมงานและผู้อ่าน ในระยะหลังผมพยายามเข้าถึงผู้อ่านมากขึ้น พูดคุย แลกเปลี่ยน ออกปั่นจักรยาน พบกับทุกท่านบ่อยขึ้น ถ้าสำหรับคุณ พวกเราอาจมีตัวตนมากขึ้นให้ได้เห็น แต่สำหรับเรา พวกคุณคือครอบครัวของเราครับ ผมพูดเสมอว่า จักรยานพาให้เราได้มาพบกัน และทำให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน วันนี้ครอบครัวของผมใหญ่ขึ้นมาก จากการที่เราได้พบกัน

ตราบใดที่ยังมีคนอยากอ่าน  ยังมีข้อมูล ข่าวสาร สาระ ความบันเทิงที่สื่อถึงนักปั่น เชื่อมโลกของจักรยานกับชีวิตคุณได้ พวกเราก็จะยังพยายามนำเสนอเนื้อหาต่อไปอย่างแน่นอน”


นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้จักบรรณาธิการ “Cycling Plus” คนสุดท้ายมากกว่าเดิม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่