หนีเมืองไปออกทะเลกับสามหนุ่ม ทริประนองโอ้ละเห่ จับปูทะเลที่แหลมนาว!!!




| อ่านเรื่องราวแบบเต็มๆ ได้ที่ www.facebook.com/letsmeetthelocals และ www.letsmeetthelocals.com |



เฮลโหล โอ้ละเห่ สามหนุ่มผู้ไร้ความเท่ จะพาทุกคนพุ่งตัวลงใต้สู่จังหวัดที่ได้ชื่อว่าเป็นประตูแรกด่านเริ่มของทะเลอันดามัน!

ตอนนี้ถ้าพูดถึง จ.ระนอง ทุกคนคงนึกถึงเกาะสวยน้ำใสในฝั่งพม่า เกาะแบคแพคเกอร์อย่างเกาะพยาม และฟาร์มสเตย์สุดชิลแบบบ้านไร่ไออรุณ แต่ในเมื่อหลายคนรู้จักที่เที่ยวเหล่านี้กันหมดแล้ว ผมกับเพื่อนเลยเลือกจุดหมายที่ต่างออกไปอีกนิด

ระหว่างเสิร์ชหาที่เที่ยวระนองก็เกิดคำถามว่า "อ่าวเฮ้ยยยย! ระนองมันมีที่เที่ยวแค่นี้จริงๆ เหรอวะ?" ในใจก็คิดว่าไม่! มันต้องมีอะไรมากกว่าที่เราเห็น เลยตั้งหน้าตั้งตาหา จนมาสะดุดกับชื่อ "โฮมสเตย์บ้านแหลมนาว" กับข้อมูลที่ว่านี่คือ "หมู่บ้านไร้ถนน"

ไม่รอช้า พอได้เบอร์ผู้ใหญ่บ้านมา ก็โทรหาทันที พ่อผู้ใหญ่ก็สาธยายสรรพคุณเต็มที่จนเราอดรนทนไม่ไหว จองทริปเที่ยวไปหนึ่งวันเต็ม แม้ว่าใจจริงจะอยากค้างหนึ่งคืน แต่ดันมาเจอหลังจากจองที่พักในเมืองไปหมดแล้วเสียนี่

กระโดดข้ามเวลามาวันเดินทางเลยละกัน!

แก๊งสามหนุ่มเลือกขับรถกันมาเองจากกรุงเทพฯ นอนในตัวเมืองระนองหนึ่งคืน พอเช้าปุ๊บก็หมุนพวงมาลัยมุ่งหน้าสู่ท่าเรืออุทยานแห่งชาติแหลมสน ซึ่งใช้เวลาขับมาจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมง

ถนนทางเข้าท่าเรืออุทยานฯ ผ่านทั้งป่าชายเลน ทุ่งหญ้า และแนวต้นสนสวยๆ ก่อนจะเจอวิวสุดอลังการยามเช้าของอ่าวเล็กๆ จุดจอดเรือประมงของชาวบ้านตรงท่าเรือ

ที่ท่าเรือ “จ๊ะมีนา” หรือพี่มีนา ไกด์สาวชาวเลเดินยิ้มมาแต่ไกล พาเราลงเรือหัวโทงลำโต แล้ว Let’s go มุ่งหน้าออกทะเล โดยมีบังดุลราห์มานสุดเท่ สามีของจ๊ะมีนาเป็นกัปตันพาซิ่ง


แค่สิบห้านาทีเราก็มาถึงจุดที่ปักธงไว้บอกตำแหน่งลอบดักปลาหมึก พอถึงที่ปุ๊บ..หนึ่งในสมาชิกแก๊งก็ได้รับเลือกให้ไปยืนประจำตำแหน่งหัวเรือทันที คลื่นโยนเรือขึ้นๆ ลงๆ นี่ถ้าใครทรงตัวไม่เก่งรับรองว่าได้ลงไปว่ายน้ำเล่นแน่ จากนั้นก็เอามือยาวๆ สาวเชือกที่ผูกไว้กับลอบดักหมึกซึ่งจมอยู่ใต้น้ำ ดูตอนแรกเหมือนจะง่าย แต่แอบหนักใช้ได้ เพราะชาวเลจะเอาหินถ่วงไว้ให้ลอบจมน้ำ

พอสาวพ้นขึ้นมาอันแรกนี่เกือบจะได้ดีใจ แต่ดันไม่มีปลาหมึกติดซักตัว ไม่เป็นไร ออกเรือมุ่งหน้าหาอันใหม่ต่อ พอมาถึงจุดที่สองก็ลงมือทำเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่คราวนี้มีหมึกกระดองผู้โชคร้ายติดขึ้นมาหนึ่งตัวคร้าบ


ดีใจอยู่ไม่นาน คลื่นลมที่เริ่มแรงก็ทำให้ต้องเบนหัวเรือเข้าสู่อ่าวด้านในแหลมนาว ภาพแรกพอเรือพ้นหัวแหลมคือหมู่บ้านเล็กๆ บนชายหาด บ้านไม้สร้างง่ายๆ เรียงรายขนาบข้างมัสยิดหลังน้อย กับเรือหัวโทงจอดเรียงราย


อ่าวหน้าหมู่บ้านนี่แหล่ะคือจุดที่เราจะมาดึงอวนจับปูม้ากัน บังดุลจอดเรือตรงตำแหน่งธงที่ปักไว้ ใต้น้ำแถวนี้แทบทั้งแถบคือจุดวางอวนดักปู พอได้ตำแหน่งปุ๊บ สมาชิกแก๊งก็เข้าประจำที่หัวเรือ จ๊ะมีนาเป็นเทรนเนอร์คอยกำกับจังหวะดึงอวนขึ้นจากน้ำ ดึงอยู่ไม่นานก็ได้จ๊ะเอ๋กับน้องปูม้าหน้าตาดีแต่สิ่งที่ยากสุดคือ แกะตัวปูออกจากอวนโดยไม่เผลอโดนปูหนีบ เพราะหนึ่งในสมาชิกแก๊งก็โดนไปหนึ่งทีเบาะๆ แต่ก็เล่นเอาเลือดไหลกันเลยทีเดียว


กู้อวนไปแต่ได้แค่สองปาก..ช่างภาพตัวดำก็ดันเมาเรือซะนี่ ขนาดบังดุลพามาจอดหลบลมแล้วก็ยังไม่รอด แต่เอาวะ! อย่างน้อยก็ได้ปูมาครึ่งเข่ง จ๊ะบอกถ้าตัวใหญ่ๆ นี่ขายได้กิโลละสามร้อยบาท ส่วนตัวไหนมี “ไข่นอก” คือ ไข่ฟูๆ สีเข้มๆ ที่อยู่ใต้ท้อง ต้องปล่อยหรือเอาไปไว้ที่ธนาคารปูของหมู่บ้าน เตรียมทำคลอดแล้วปล่อยลูกปูให้โตในธรรมชาติต่อไป เป็นการสร้างสมดุล และไม่เบียดเบียนธรรมชาติจนเกินพิกัด

ระหว่างบังดุลพาเรากลับเข้าหมู่บ้าน จ๊ะมีนาก็จัดการกับปลาใบปอ และปลากระเบนที่ติดสอยห้อยตามมากับอวน โดยเฉพาะปลากระเบนนี่ถ้าจับไม่เป็นหรือจับไม่ดี มีสิทธิ์โดนเงี่ยงพิษที่หางทิ่มได้ จ๊ะบอกถ้าโดนนี่ปวดสุดๆ เลยต้องรีบจัดการตัดหางทิ้งซะก่อน


พอเรือเทียบท่าปุ๊บ ผู้ใหญ่โกบ หรือ ผู้ใหญ่บ้านแห่งบ้านแหลมนาวก็เดินยิ้มฟันข้าวมาต้อนรับ พร้อมกับพาตรงดิ่งไปที่ศาลาไม้ริมทะเล ลมโกรกเย็นสบายช่วยให้หายเหนื่อยหายเมาเรือได้ชะงัดนัก แค่แป๊บเดี๋ยวพี่สาวหน้าคมใต้ผ้าคลุมฮิญาบ ก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟ นี่แหล่ะคือแม่ครัวตัวฉกาจแห่งบ้านแหลมนาว เป็นพี่สาวของผู้ใหญ่ ชื่อว่า พี่ยะห์ หรือ จ๊ะยะห์


ตอนแรกจ๊ะยะห์ก็จัดโต๊ะไว้ให้เพราะกลัวว่าเราสามคนจะไม่ถนัดนั่งพื้น แต่ดูจากบรรยากาศและปริมาณอาหารแล้ว เลยต้องของสาด(เสื่อ)สีสดกระแทกจอตา มาปูพื้นล้อมวงกินทันที!


มื้อนี้จ๊ะยะห์จัดให้แบบเต็มพิกัด ปูม้านึ่งตัวเบ้งวางมาในถาดหนึ่งกอง เคียงข้างด้วยน้องหอยชักตีนที่หาได้จากสันทรายหน้าหมู่บ้าน ตามมาด้วยกุ้งต้ม แกงเหลือง ปลาทอด ไข่เจียว น้ำพริกกะปิ และน้ำจิ้มซีฟู๊ดเผ็ดแซบถึงกระเดือก
เดอะแก๊งไม่รอช้าคว้าปูคนจะตัว บรรจงแกะเนื้อเป็นลิ่มๆ มาโรยข้าว ราดน้ำจิ้มคลุกเคล้าแล้วตักเข้าปาก โอ๊ยยย ฟินไปถึงลิ้นปี่! แถมรอบขอบซอกกระดองปูยังมีมันสีส้มสวยเพิ่มดีกรีความอร่อยเข้าไปอี๊กกกกก


ต่อกันด้วยหอยชักตีนที่ยื่นตีนแหลมๆ ออกมาให้ชักกันได้แบบไม่ยั้งมือ แต่บางตัวก็หดตีนหลบลี้หนีหายเข้าไปในหลืบเปลือก จนต้องเรียกกองกำลังเสริมไม้จิ้มฟันกับไม้เสียบลูกชิ้นมาช่วยควักเนื้อ ขอบอกว่าหอยชักตีนที่นี่สดเป๊ะ เนื้อไม่แข็งกระด้าง หวานแบบไม่จิ้มน้ำจิ้มก็ยังอร่อย แถมกินเท่าไหร่ก็ไม่มีกลิ่นคาวกลิ่นดินมาเตะจมูกสักนิด เรียกได้ว่าตั้งแต่เคยกินมาหลายครั้งหลายจังหวัด หอยชักตีนที่นี่อร่อยสุด!


จัดการกองทัพอาหารทะเลกันจนอิ่มแปล้ พอพุงตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ผู้ใหญ่เลยชวนไปเดินดูหมู่บ้าน เพราะที่นี่มีโฮมสเตย์แบบที่นักท่องเที่ยวสามารถมาค้างคืนได้ อยู่ไม่ไกลจากศาลาที่เรากินข้าว เป็นบ้านไม้โถงกว้าง ผนังเปิดโล่งรับลมทะเลสามด้าน ให้นักท่องเที่ยวได้นอนกางมุ้งสูดความสดชื่นของทะเล พร้อมตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เพราะหน้าบ้านที่ยื่นไปบนชายหาดเป็นวิวด้านทิศตะวันออกพอดิบพอดี


พวกเราบ่นตัวเอง นึกเสียดาย ถ้าไม่ได้จองที่พักในเมืองไว้ จะค้างให้หนำใจซักคืน เพราะมีกิจจกรรมให้ทำเยอะมาก จับปู จับปลาหมึก หาหอยชักตีน เที่ยวทุ่งดอกหญ้า ดูควายทะเล หาจั๊กจั่นทะเล พายเรือคายัค ฯลฯ แถมราคาต่อหัวยังโคตรคุ้ม

พอเดินดูหมู่บ้านเสร็จก็มานั่งพักคุยเล่น จิบชากาแฟยามบ่ายกันที่บ้านของบังดุล กับ พี่มีนา


ก่อนจะชวนเด็กๆ เกือบทั้งหมู่บ้านไปถ่ายรูปเล่นกัน ตอนแรกแต่ละคนก็เขินกล้อง แต่พอเริ่มกดชัตเตอร์เท่านั้นแหล่ะ ยกโขยงเรียกเพื่อนมาถ่ายกันยกใหญ่


พอเข้าช่วงบ่ายปุ๊บก็ได้เวลาออกเดินทางไปดูทุ่งดอกหญ้าใจกลางแหลมนาว แต่ผู้ใหญ่โกบบอกปีนี้ดอกไม้บานน้อย อาจไม่ได้เห็นอดดุสิตา ดอกหญ้าจิ๋วสีม่วง เพราะไฟไหม้ทุ่งไปเมื่อกลางปี แต่ปีหน้าช่วงเดือน พ.ย. - ม.ค. น่าจะกลับมาสวยเหมือนเดิม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่