ตัวหนัง แอ็กชันผจญภัย จริงๆๆครับเมื่อวานนี้ กับฉากขี่ม้า ฉากบนรถไฟ
นี้คือการกลับมาอีกครั้งสำหรับวีรบุรุษหน้ากากดำ เจ้าของสัญลักษณ์ตัว Z หลังจากที่ ภาค 1 The Mask of Zorro เมื่อครั้งปี 1998 ของผู้กำกับคนเดียวกัน
Martin Campbell ชื่อของ แอนโตนิโอ แบนเดอรัส และ แคทเธอรีน ซีต้า- โจนส์ เป็นที่จดจำ ผมไปนานเลยครับ แถมสาว แคทเธอรีน นี้เมื่อก่อน
เป็นสาวในฝันของ หนุ่มๆอย่างผม กับเพื่อน ซะด้วยเลยครับ
แต่ คราวนี้ตัวหนัง Zorro กลับมาอีกครั้งพร้อมครอบครัว นั่นคือ เอเลน่า ศรีภรรยาคนสวยและ วาคีน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัย ที่ดูจะถ่ายทอดลักษณะจากพ่อและแม่มาเด๊ะๆ
หลังจากที่ภาค 1 ออกจะเป็นการผจญภัย และการต่อสู้ของคนวัยหนุ่มผู้ค้นหาตัวเอง และเรื่องราวจะเน้นไปในทางบู๊แอ๊คชั่นซะมากกว่า แต่ในภาค 2 นี้เรื่องราวเน้นไปในเรื่องของครอบครัวมากขึ้น มีความเป็นดราม่ามากขึ้น เพราะตอนนี้ โซโร หรือ ดอน อเลจันโดร เอด เวก้า ไม่ใช่หนุ่มโสดเจ้าสำราญอีกแล้ว เขาเป็นทั้งสามีและคุณพ่อที่ต้องดูแลทั้งเมียและลูกชาย งานหลักของเขาไม่ได้มีแค่เพียงการปกป้องประชาชน หากแต่เขายังต้องดูแลครอบครัว ที่เขาบอกว่าเป็นชีวิตของเขา อันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าการที่สามีภรรยาจะครองรักครองเรือนกันอย่างมีความสุขนั้น ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ที่น่าจะทำให้หลายคนได้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัวกันเลยทีเดียว (หรือถ้าไม่ซึ้ง ก็น่าจะได้หวนนึกถึงบ้างล่ะน่า)
เรื่องราวโดยรวมอาจจะเดาๆ กันได้ แต่ความสนุกเร้าใจก็ยังคงเดิม ถึงแม้อาจจะดูอืดๆ และน่าอึดอัดไปบ้างกับฉากการต่อสู้ในบางช่วงที่ดูจงใจจะยืด แบบโชว์พาวมากไปหน่อย แต่ก็ยังทำให้รู้สึกสนุกไปด้วยอยู่ตลอด นอกจากนี้ยังมีฉากที่ต้อง ทะเลาะ ปะทะคารมของเรื่อง คนเป็นผัวๆเมียๆ ที่เป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่ แล้วยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคู่นี้เหมาะสมกันมากทีเดียว รวมทั้งยังมีฉากตลกน่ารักๆ ระหว่างพ่อลูกที่ทำออกมาได้อย่างอบอุ่น เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้มีครบรสในทุกด้านเลยเชียว ครับ
แอนโตนิโอ แบนเดอรัส เขายังคงเป็น โซโร ได้อย่างดีเยี่ยม ดูไม่มีใครที่จะเหมาะกับบทนี้ไปกว่าเขาอีกแล้ว เขาแสดงได้ดีในทุกบทบาทที่ได้รับ
ผมว่า ในภาค 2 นี้เราจะได้เห็นบทบาทของ โซโร ที่หลากหลายมากขึ้น แล้วก็ดูน่ารักขึ้นด้วยส่วน แคทเธอรีน ก็ดูสวยสมวัยและตัวละครของเธอก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย ด้วยความที่เธอเป็นทั้งแม่และเมีย เธอต้องทำหน้าที่ดูแลสามีที่ต้องรับภารกิจปกป้องประชาชน ในเวลาเดียวกันก็ต้องดูแลลูกชายให้เติบโตขึ้นเป็นคนดี และด้วยความที่เธอก็เป็นลูกสาวของ โซโร คนเก่า เลือดแห่งความเป็นนักสู้จึงไม่เคยเลือนหายไปไหน แม้เธอจะเป็นแม่บ้าน แต่ก็พร้อมที่จะยืนหยัดเคียงขางสามี แม้อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างในบางครา ถึงแม้ว่าเธอจะน้อยอกน้อยใจ ที่เขาไม่ยอมเลิกเป็นโซโร เพื่อมาทำหน้าที่พ่อที่ดีอย่างเต็มเวลา แต่เธอก็เข้าใจในตัวของสามีเป็นอย่างดี ส่วนดาราหน้าใหม่ที่เป็นสีสันของหนังก็คือ เด็กน้อย Adrian Alonso ที่มารับบท วาคีน ลูกชายแสนฉลาดของ ดอน อเลจันโดร และ เอเลน่า ที่หน้าตาน่ารักมากๆ แล้วแสดงได้อย่างน่ารักน่าชังเป็นที่สุด
ใครที่คาดหวังที่จะดูหนังแนวแอคชั่นแบบพะบู๊เต็มที่อาจจะต้องผิดหวัง เพราะเรื่องนี้มีความเป็นครอบครัวมากขึ้นมีความเป็นดราม่ามายิ่งขึ้น แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนโซโร และรักโซโร (เอ หรือชอบ เอเลน่า) ก็น่าจะชอบ The Legend of Zorro ที่ทำให้เราได้เห็นการเติบโตขึ้นของทั้งคู่ ที่ไม่ได้มีเพียงกันและกัน หรือการดูแลประชาชนเท่านั้น หากแต่ยังต้องดูแลชีวิตครอบครัวของพวกเขาอีก
เรื่องนี้ Martin Campbell กำกับตามเคยครับ จึงไม่ต้องห่วงในเรื่องของ Action
แต่ใจจริง ผมยังชอบ GoldenEye 007 ปี 1995 ที่เค้าเคยทำฉากAction มากกว่าอยู่ครับ มันพอเหมาะพอดี แต่ไม่เป็นไร ในขณะที่ด้านบทมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อะไรมาก แต่ ความชอบก็เดิมนะ ยังรู้สึกเรื่อยๆ เหมือนเดิม แล้วทุกท่านละคิดว่าอย่างไรครับ
เมื่อวานดูThe Legend of Zorro ปี2005 ช่องMono 29...Martin Campbellผมว่าเค้าน่าจะทำภาค3ต่อนะครับ
นี้คือการกลับมาอีกครั้งสำหรับวีรบุรุษหน้ากากดำ เจ้าของสัญลักษณ์ตัว Z หลังจากที่ ภาค 1 The Mask of Zorro เมื่อครั้งปี 1998 ของผู้กำกับคนเดียวกัน
Martin Campbell ชื่อของ แอนโตนิโอ แบนเดอรัส และ แคทเธอรีน ซีต้า- โจนส์ เป็นที่จดจำ ผมไปนานเลยครับ แถมสาว แคทเธอรีน นี้เมื่อก่อน
เป็นสาวในฝันของ หนุ่มๆอย่างผม กับเพื่อน ซะด้วยเลยครับ
แต่ คราวนี้ตัวหนัง Zorro กลับมาอีกครั้งพร้อมครอบครัว นั่นคือ เอเลน่า ศรีภรรยาคนสวยและ วาคีน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนวัย ที่ดูจะถ่ายทอดลักษณะจากพ่อและแม่มาเด๊ะๆ
หลังจากที่ภาค 1 ออกจะเป็นการผจญภัย และการต่อสู้ของคนวัยหนุ่มผู้ค้นหาตัวเอง และเรื่องราวจะเน้นไปในทางบู๊แอ๊คชั่นซะมากกว่า แต่ในภาค 2 นี้เรื่องราวเน้นไปในเรื่องของครอบครัวมากขึ้น มีความเป็นดราม่ามากขึ้น เพราะตอนนี้ โซโร หรือ ดอน อเลจันโดร เอด เวก้า ไม่ใช่หนุ่มโสดเจ้าสำราญอีกแล้ว เขาเป็นทั้งสามีและคุณพ่อที่ต้องดูแลทั้งเมียและลูกชาย งานหลักของเขาไม่ได้มีแค่เพียงการปกป้องประชาชน หากแต่เขายังต้องดูแลครอบครัว ที่เขาบอกว่าเป็นชีวิตของเขา อันจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเห็นว่าการที่สามีภรรยาจะครองรักครองเรือนกันอย่างมีความสุขนั้น ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ที่น่าจะทำให้หลายคนได้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัวกันเลยทีเดียว (หรือถ้าไม่ซึ้ง ก็น่าจะได้หวนนึกถึงบ้างล่ะน่า)
เรื่องราวโดยรวมอาจจะเดาๆ กันได้ แต่ความสนุกเร้าใจก็ยังคงเดิม ถึงแม้อาจจะดูอืดๆ และน่าอึดอัดไปบ้างกับฉากการต่อสู้ในบางช่วงที่ดูจงใจจะยืด แบบโชว์พาวมากไปหน่อย แต่ก็ยังทำให้รู้สึกสนุกไปด้วยอยู่ตลอด นอกจากนี้ยังมีฉากที่ต้อง ทะเลาะ ปะทะคารมของเรื่อง คนเป็นผัวๆเมียๆ ที่เป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่ แล้วยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคู่นี้เหมาะสมกันมากทีเดียว รวมทั้งยังมีฉากตลกน่ารักๆ ระหว่างพ่อลูกที่ทำออกมาได้อย่างอบอุ่น เรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้มีครบรสในทุกด้านเลยเชียว ครับ
แอนโตนิโอ แบนเดอรัส เขายังคงเป็น โซโร ได้อย่างดีเยี่ยม ดูไม่มีใครที่จะเหมาะกับบทนี้ไปกว่าเขาอีกแล้ว เขาแสดงได้ดีในทุกบทบาทที่ได้รับ
ผมว่า ในภาค 2 นี้เราจะได้เห็นบทบาทของ โซโร ที่หลากหลายมากขึ้น แล้วก็ดูน่ารักขึ้นด้วยส่วน แคทเธอรีน ก็ดูสวยสมวัยและตัวละครของเธอก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย ด้วยความที่เธอเป็นทั้งแม่และเมีย เธอต้องทำหน้าที่ดูแลสามีที่ต้องรับภารกิจปกป้องประชาชน ในเวลาเดียวกันก็ต้องดูแลลูกชายให้เติบโตขึ้นเป็นคนดี และด้วยความที่เธอก็เป็นลูกสาวของ โซโร คนเก่า เลือดแห่งความเป็นนักสู้จึงไม่เคยเลือนหายไปไหน แม้เธอจะเป็นแม่บ้าน แต่ก็พร้อมที่จะยืนหยัดเคียงขางสามี แม้อาจจะทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างในบางครา ถึงแม้ว่าเธอจะน้อยอกน้อยใจ ที่เขาไม่ยอมเลิกเป็นโซโร เพื่อมาทำหน้าที่พ่อที่ดีอย่างเต็มเวลา แต่เธอก็เข้าใจในตัวของสามีเป็นอย่างดี ส่วนดาราหน้าใหม่ที่เป็นสีสันของหนังก็คือ เด็กน้อย Adrian Alonso ที่มารับบท วาคีน ลูกชายแสนฉลาดของ ดอน อเลจันโดร และ เอเลน่า ที่หน้าตาน่ารักมากๆ แล้วแสดงได้อย่างน่ารักน่าชังเป็นที่สุด
ใครที่คาดหวังที่จะดูหนังแนวแอคชั่นแบบพะบู๊เต็มที่อาจจะต้องผิดหวัง เพราะเรื่องนี้มีความเป็นครอบครัวมากขึ้นมีความเป็นดราม่ามายิ่งขึ้น แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนโซโร และรักโซโร (เอ หรือชอบ เอเลน่า) ก็น่าจะชอบ The Legend of Zorro ที่ทำให้เราได้เห็นการเติบโตขึ้นของทั้งคู่ ที่ไม่ได้มีเพียงกันและกัน หรือการดูแลประชาชนเท่านั้น หากแต่ยังต้องดูแลชีวิตครอบครัวของพวกเขาอีก
เรื่องนี้ Martin Campbell กำกับตามเคยครับ จึงไม่ต้องห่วงในเรื่องของ Action
แต่ใจจริง ผมยังชอบ GoldenEye 007 ปี 1995 ที่เค้าเคยทำฉากAction มากกว่าอยู่ครับ มันพอเหมาะพอดี แต่ไม่เป็นไร ในขณะที่ด้านบทมันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อะไรมาก แต่ ความชอบก็เดิมนะ ยังรู้สึกเรื่อยๆ เหมือนเดิม แล้วทุกท่านละคิดว่าอย่างไรครับ