ผมเคยได้รับแรงบันดาลใจมา วันนี้จึงขอมาส่งต่อให้กับบางคนที่กำลังต้องการมัน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่อาจเจอกับปัญหาสุขภาพ หรือคนกำลังคิดที่จะเริ่มออกกำลังกาย
โดยหวังว่า เรื่องราวต่อไปนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครได้บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
...................................................................
“หุ่นขี้ยา”
คำๆนี้ที่ผมได้ยินคนเรียกผมตั้งแต่เด็กๆ
ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สูบบุหรี่
แต่ดื่มเหล้าบ่อย เพราะชอบบรรยากาศในวงเหล้า
เมื่อต้นปีที่แล้วผมยังคงใช้ชีวิตอยู่กับร้านเหล้า
เข้าไปดื่มเหล้า ฟังเพลง ดูบอล เกือบทุกวัน
ชีวิตดูมีความสุขดี จนกระทั้งไปร่วมวิ่งงานวิ่งงานหนึ่ง...
ผมไปเที่ยวต่างจังหวัด และบังเอิญไปเจองานวิ่งงานหนึ่ง
จึงนึกสนุก เลยสมัครลงวิ่งไปในระยะ 10 กิโลเมตร
ซึ่งในหัวตอนนั้นคิดเพียงว่า 10 กิโลเมตรก็ไม่ได้ไกลอะไรมาก
เมื่อเริ่มแข่งขัน ผมวิ่งออกตัวอย่างไวตามคนกลุ่มหน้าๆ
แต่เมื่อผ่านไปได้สัก 500 เมตร ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ไหวแล้ว
เด็กๆ ตัวเล็กๆ พากันวิ่งแซงผมไป
ผู้หญิงที่ดูอ่อนแอ พากันวิ่งแซงผมไป
คนแก่ อายุมากๆ พากันวิ่งแซงผมไป
ระหว่างทางผมนึกในใจตลอดทางว่า
“กูมาทำอะไรที่นี่ว่ะเนี่ย”
ผมเดินสลับวิ่งไปเรื่อยๆจนเข้าเส้นชัย
นั่งพัก กินน้ำ กินข้าวจนความเหนื่อยลดลง
ตลอดการเที่ยวในครั้งนั้น ผมปวดขา ปวดตัว เดินแทบไม่ไหว แต่ในหัวผมกลับมีแต่คำถาม
ทำไมเราเหนื่อยง่ายจัง?
ทำไมร่างกายเราอ่อนแอ?
ทำไมถึงแพ้เด็ก แพ้ผู้หญิง แพ้คนแก่?
ทำไมเราวิ่งไม่ได้ตลอดระยะทาง?
ทำไมเรายอมแพ้ง่ายจัง?
ทำไม ทำไม ทำไม
ในหัวมีแต่คำถามลอยขึ้นมาเต็มไปหมด
จนกลับมาได้ไม่นาน ผมเห็นข่าวพี่ตูนหันมาวิ่ง
เห็นข่าวเขาจบฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรก
เห็นข่าวเขาจบมาราธอนครั้งแรก
จนเห็นข่าวเขาเล่นไตรกีฬา
และสุดท้ายเห็นข่าวเขาวิ่ง 400 กิโลเมตร เพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน
ผมนั่งดูการถ่ายทอดสดทุกวัน จนเมื่อสิ้นสุดวันที่ 9
ผมตัดสินใจขับรถจากกรุงเทพฯ ไป บางสะพาน
ไปถึงที่นั้นเวลาตี 4 พอดี และได้ร่วมขบวนวิ่งของโครงการในช่วงเช้า
ผมตั้งใจจะวิ่งให้จบเซ็ทให้ได้
แม้จะทรมานมาก แต่ก็ผ่านไปได้
ผมวิ่งตามขบวน เฝ้ามองแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งจนจบ
แต่หลังจากวิ่งเสร็จ ผมก็กลับไปนอนเจ็บอีกหลายสัปดาห์
ตลอดเวลาที่นอนเจ็บอยู่บ้าน ผมไม่เสียใจ
มันเหมือนผมค้นพบอะไรบางอย่างระหว่างทางในวันนั้น
มันเป็นความเหนื่อย ความเจ็บ ความทรมาน
แต่ทั้งหมดนั้นมันมีความสุขซ้อนอยู่
สิ้นสุดวันปีใหม่ ผมฉลองอย่างเต็มที่
ส่วนหนึ่งคือผมฉลองให้กับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ กับ เป้าหมายใหม่
สิ่งที่ผมจะเริ่มทำมันตั้งแต่วันพรุ่งนี้
นั้นคือผมจะไป “มาราธอน” ก่อนสิ้นปี
1 มกราคม 2560 คือวันที่ผมเริ่มซ้อมวิ่งอย่างจริงจังเป็นวันแรก
ผมเริ่มใส่รองเท้า และออกไปวิ่งแถวบ้าน
ครั้งแรกผมวิ่งได้ 3 กิโลเมตร
ความรู้สึกในตอนนั้น มันเป็น 3 กิโลเมตรที่ไกลที่สุดในชีวิต
ผ่านไป 1 เดือน ผมสามารถวิ่งระยะ 10 กิโลเมตรได้
ผมซ้อมอย่างไม่มีแผน ไม่มีตาราง ไม่มีความรู้อะไรประกอบทั้งสิ้น
สิ้นสุดเดือนที่ 3 โดยการลงแข่งฮาล์ฟมาราธอนแรกได้สำเร็จ พร้อมได้ถ้วยรางวัลติดมือมา
ถ้วยรางวัล กับการพัฒนาอย่างเร็วทำให้ผมหลงระเริง
จนในที่สุด ผมก็ได้รับบาดเจ็บ
ผมเดินลงเต็มเท้าไม่ได้ งานที่สมัครไว้ก็ต้องขายต่อให้คนอื่น
ตลอดเดือนที่ 5 และ 6 เป็นเวลา 2 เดือนเต็มที่ผมเฝ้ามองคนอื่นวิ่ง
ได้แต่นั่งอ่าน นั่งดูเรื่องราวของคนอื่นตามเพจวิ่ง
แต่ 2 เดือนนั้น เรื่องดีๆก็มีมาเหมือนกัน
ผมพยายามหาความรู้มากขึ้น
การยืดเหยียด การดูแลรักษากล้ามเนื้อ
ข้อมูลตารางวิ่ง การฝึกซ้อมอะไร ยังไงบ้าง
ผมใช้เวลา 2 เดือน วางแผนให้ตัวเอง
เรียนรู้การกายภาพ การพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
จนในที่สุด เข้าเดือน 7 ผมก็กลับมาเริ่มวิ่งได้อย่างช้าๆ
ผมมีบทเรียนในการใช้ร่างกายมากไป โดยไม่รู้วิธีการถนอมหรือดูแลมัน
ผมนำสิ่งที่ผมศึกษามา มาประยุกต์ใช้กับตัวเอง
จนวันนี้ ผมสามารถวิ่งได้อย่างมีความสุข
10 เดือนที่ผมได้เปิดรับมันเข้ามาในชีวิต
มันคือ 10 เดือนที่ผมมีความสุขมาก
ผมได้หลายสิ่ง หลายอย่างจากมัน
ทั้งสุขภาพ มิตรภาพ และแนวคิดต่างๆอีกมากมาย
“ใครว่าผมขี้ยา มาวิ่งกับผมไหม”
คำพูดของพี่ตูนนั้น ไม่ใช่เป็นคำท้าทาย
แต่มันแฝงไปด้วยความหวังดี และการเชิญชวน
วันที่ 25 ธันวาคม 2560 นี้ จะเป็นวันที่พี่ตูนพิชิตเป้าหมายในชีวิตของเขา
แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน จะเป็นอีกวันที่ผมจะได้พิชิตเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
ผมไม่รู้หรอกว่า มันจะออกมาดีแค่ไหน
แต่ที่ผมรู้แน่ๆก็คือ ผมจะทำมันให้ดีที่สุด
“แค่ใส่รองเท้า แล้วก้าวออกมา”
" จาก 500 เมตร สู่ 42.195 กิโลเมตร "
ไม่ว่าจะเป็นคนที่อาจเจอกับปัญหาสุขภาพ หรือคนกำลังคิดที่จะเริ่มออกกำลังกาย
โดยหวังว่า เรื่องราวต่อไปนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครได้บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
...................................................................
“หุ่นขี้ยา”
คำๆนี้ที่ผมได้ยินคนเรียกผมตั้งแต่เด็กๆ
ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่สูบบุหรี่
แต่ดื่มเหล้าบ่อย เพราะชอบบรรยากาศในวงเหล้า
เมื่อต้นปีที่แล้วผมยังคงใช้ชีวิตอยู่กับร้านเหล้า
เข้าไปดื่มเหล้า ฟังเพลง ดูบอล เกือบทุกวัน
ชีวิตดูมีความสุขดี จนกระทั้งไปร่วมวิ่งงานวิ่งงานหนึ่ง...
ผมไปเที่ยวต่างจังหวัด และบังเอิญไปเจองานวิ่งงานหนึ่ง
จึงนึกสนุก เลยสมัครลงวิ่งไปในระยะ 10 กิโลเมตร
ซึ่งในหัวตอนนั้นคิดเพียงว่า 10 กิโลเมตรก็ไม่ได้ไกลอะไรมาก
เมื่อเริ่มแข่งขัน ผมวิ่งออกตัวอย่างไวตามคนกลุ่มหน้าๆ
แต่เมื่อผ่านไปได้สัก 500 เมตร ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ไหวแล้ว
เด็กๆ ตัวเล็กๆ พากันวิ่งแซงผมไป
ผู้หญิงที่ดูอ่อนแอ พากันวิ่งแซงผมไป
คนแก่ อายุมากๆ พากันวิ่งแซงผมไป
ระหว่างทางผมนึกในใจตลอดทางว่า
“กูมาทำอะไรที่นี่ว่ะเนี่ย”
ผมเดินสลับวิ่งไปเรื่อยๆจนเข้าเส้นชัย
นั่งพัก กินน้ำ กินข้าวจนความเหนื่อยลดลง
ตลอดการเที่ยวในครั้งนั้น ผมปวดขา ปวดตัว เดินแทบไม่ไหว แต่ในหัวผมกลับมีแต่คำถาม
ทำไมเราเหนื่อยง่ายจัง?
ทำไมร่างกายเราอ่อนแอ?
ทำไมถึงแพ้เด็ก แพ้ผู้หญิง แพ้คนแก่?
ทำไมเราวิ่งไม่ได้ตลอดระยะทาง?
ทำไมเรายอมแพ้ง่ายจัง?
ทำไม ทำไม ทำไม
ในหัวมีแต่คำถามลอยขึ้นมาเต็มไปหมด
จนกลับมาได้ไม่นาน ผมเห็นข่าวพี่ตูนหันมาวิ่ง
เห็นข่าวเขาจบฮาล์ฟมาราธอนครั้งแรก
เห็นข่าวเขาจบมาราธอนครั้งแรก
จนเห็นข่าวเขาเล่นไตรกีฬา
และสุดท้ายเห็นข่าวเขาวิ่ง 400 กิโลเมตร เพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน
ผมนั่งดูการถ่ายทอดสดทุกวัน จนเมื่อสิ้นสุดวันที่ 9
ผมตัดสินใจขับรถจากกรุงเทพฯ ไป บางสะพาน
ไปถึงที่นั้นเวลาตี 4 พอดี และได้ร่วมขบวนวิ่งของโครงการในช่วงเช้า
ผมตั้งใจจะวิ่งให้จบเซ็ทให้ได้
แม้จะทรมานมาก แต่ก็ผ่านไปได้
ผมวิ่งตามขบวน เฝ้ามองแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งจนจบ
แต่หลังจากวิ่งเสร็จ ผมก็กลับไปนอนเจ็บอีกหลายสัปดาห์
ตลอดเวลาที่นอนเจ็บอยู่บ้าน ผมไม่เสียใจ
มันเหมือนผมค้นพบอะไรบางอย่างระหว่างทางในวันนั้น
มันเป็นความเหนื่อย ความเจ็บ ความทรมาน
แต่ทั้งหมดนั้นมันมีความสุขซ้อนอยู่
สิ้นสุดวันปีใหม่ ผมฉลองอย่างเต็มที่
ส่วนหนึ่งคือผมฉลองให้กับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ กับ เป้าหมายใหม่
สิ่งที่ผมจะเริ่มทำมันตั้งแต่วันพรุ่งนี้
นั้นคือผมจะไป “มาราธอน” ก่อนสิ้นปี
1 มกราคม 2560 คือวันที่ผมเริ่มซ้อมวิ่งอย่างจริงจังเป็นวันแรก
ผมเริ่มใส่รองเท้า และออกไปวิ่งแถวบ้าน
ครั้งแรกผมวิ่งได้ 3 กิโลเมตร
ความรู้สึกในตอนนั้น มันเป็น 3 กิโลเมตรที่ไกลที่สุดในชีวิต
ผ่านไป 1 เดือน ผมสามารถวิ่งระยะ 10 กิโลเมตรได้
ผมซ้อมอย่างไม่มีแผน ไม่มีตาราง ไม่มีความรู้อะไรประกอบทั้งสิ้น
สิ้นสุดเดือนที่ 3 โดยการลงแข่งฮาล์ฟมาราธอนแรกได้สำเร็จ พร้อมได้ถ้วยรางวัลติดมือมา
ถ้วยรางวัล กับการพัฒนาอย่างเร็วทำให้ผมหลงระเริง
จนในที่สุด ผมก็ได้รับบาดเจ็บ
ผมเดินลงเต็มเท้าไม่ได้ งานที่สมัครไว้ก็ต้องขายต่อให้คนอื่น
ตลอดเดือนที่ 5 และ 6 เป็นเวลา 2 เดือนเต็มที่ผมเฝ้ามองคนอื่นวิ่ง
ได้แต่นั่งอ่าน นั่งดูเรื่องราวของคนอื่นตามเพจวิ่ง
แต่ 2 เดือนนั้น เรื่องดีๆก็มีมาเหมือนกัน
ผมพยายามหาความรู้มากขึ้น
การยืดเหยียด การดูแลรักษากล้ามเนื้อ
ข้อมูลตารางวิ่ง การฝึกซ้อมอะไร ยังไงบ้าง
ผมใช้เวลา 2 เดือน วางแผนให้ตัวเอง
เรียนรู้การกายภาพ การพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ
จนในที่สุด เข้าเดือน 7 ผมก็กลับมาเริ่มวิ่งได้อย่างช้าๆ
ผมมีบทเรียนในการใช้ร่างกายมากไป โดยไม่รู้วิธีการถนอมหรือดูแลมัน
ผมนำสิ่งที่ผมศึกษามา มาประยุกต์ใช้กับตัวเอง
จนวันนี้ ผมสามารถวิ่งได้อย่างมีความสุข
10 เดือนที่ผมได้เปิดรับมันเข้ามาในชีวิต
มันคือ 10 เดือนที่ผมมีความสุขมาก
ผมได้หลายสิ่ง หลายอย่างจากมัน
ทั้งสุขภาพ มิตรภาพ และแนวคิดต่างๆอีกมากมาย
“ใครว่าผมขี้ยา มาวิ่งกับผมไหม”
คำพูดของพี่ตูนนั้น ไม่ใช่เป็นคำท้าทาย
แต่มันแฝงไปด้วยความหวังดี และการเชิญชวน
วันที่ 25 ธันวาคม 2560 นี้ จะเป็นวันที่พี่ตูนพิชิตเป้าหมายในชีวิตของเขา
แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน จะเป็นอีกวันที่ผมจะได้พิชิตเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
ผมไม่รู้หรอกว่า มันจะออกมาดีแค่ไหน
แต่ที่ผมรู้แน่ๆก็คือ ผมจะทำมันให้ดีที่สุด
“แค่ใส่รองเท้า แล้วก้าวออกมา”