อาบูดะยา สวัสดีความสุขที่บ้านลุกข้าวหลาม

การให้สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ความสุขของผู้รับคือ ความยินดีที่ได้รับสิ่งที่มอบให้ ในขณะที่ผู้ให้นั้น สุขใจที่ได้ช่วยเหลือและแบ่งเบาความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ปีนี้ได้มีโอกาศเดินทางร่วมกับคาราวานความสุขสีเขียวของ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ อีกครั้ง ในโครงการไทยเบฟร่วมใจต้านภัยหนาวปีที่ 18 ไปยัง ชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง บ้านลุกข้าวหลาม จ.แม่ฮ่องสอน ที่ห่างไกลจากความเจริญและขาดอุปกรณ์เพื่อการศึกษาและการดำรงชีพที่จำเป็น

บ้านลุกข้าวหลามตั้งอยู่บนดอยลุกข้าวหลาม ห่างจาก อ.ปางมะผ้าประมาณ 20 กิโลเมตร เราเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยเครื่องบินมายัง จ.เชียงใหม่ และขับรถต่อมายัง แม่ฮ่องสอน ในช่วงที่เดินทางมาถึงบรรยากาศช่วงนี้กำลังเย็นสบาย สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ โดยเฉพาะในช่วงเช้า จะมีหมอกปกคลุมเป็นทะเลหมอก โดยเฉพาะบ้านจาโบ่ ที่เราสามารถนั่งถ่ายภาพห้อยขาที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ซึ่งราคาก๋วยเตี๋ยวที่นี่ราคาเพียงแค่หลัก สิบ แต่ราคาวิวหลักล้านโดยบ้านจาโบ่ไม่ไกลจากจุดแจกผ้าห่มมากนัก

บริเวณจุดชมวิวบ้านลุกข้าวหลามจะมีร้านกาแฟ ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางผ่านไปมา ซึ่งจะมีสินค้าทั้งอาหาร ผลไม้ตามฤดูกาล ข้าวสารชนิดต่าง ๆสินค้าของที่ละลึกจากชนเผ่า ร่วมทั้งเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน
วันที่ 25 ธันวาคม 2560 พวกเราตื่นตั้งแต่เวลาเช้ามืด ขับรถจาก อ.ปางมะผ้า มารอขบวนคาราวาน ผ้าห่มผืนเขียวที่ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน บ้านลุกข้าวหลาม ซึ่งประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน เดิมทีชาวบ้าน บ้านลุกข้าวหลาม อาศัยอยู่ที่ห้วยยาว อำเภอปางมะผ้า เหตุที่อพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านลุกข้าวหลาม เนื่องจากหมู่บ้านห้วยยาวมีโรคระบาดและมีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงอพยพเข้ามาอยู่บริเวณถ้าผักกูด และ มีชาวป่าตึงอพยพมาสมทบอีก ประชากรอาศัยอยู่ที่ถ้าผักกูด 11 ปี และได้ประสบปัญหาต่าง ๆมากมาย เช่น การคมนาคม และเมื่อปี พ.ศ. 2530 ได้มีหน่วยงานราชการและเจ้าหน้าที่โครการพัฒนาพื้นที่สูง ไทย - เยอรมัน ซึ่งทราบปัญหาของหมู่บ้านจึงได้ปรึกษากับชาวบ้าน ในการหาทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านใหม่ และได้บริเวณที่เหมาะสมคือบริเวณบ้านลุกข้าวหลามปัจจุบัน

เมื่อเราได้เดินทางมาถึง ก็ได้รับการต้อนรับจากนักเรียนและทีมงานของไทยเบฟที่เริ่มทยอยเดินทางมาถึงอย่างดี น้องคนนึงวิ่งมาทักและบอกเราว่าอะบูดะยาๆ เราก็งง จนครูคนนึงเดินมาบอกว่คำว่าอะบูดะยาเป็นภาษามูเซอแปลว่าสวัสดี โดยปีนี้นอกจากผ้าห่มสีเขียวแล้ว ไทยเบฟได้แจกอาหารเช้าให้กับชาวบ้านที่มารับผ้าห่ม และมอบทุนการศึกษา อาหารกลางวัน สมทบทุนสร้างห้องสมุดมอบโน็ตบุ๊ค พร้อมการตรวจสุขภาพ โดยผู้ที่มาส่วนใหญ่จะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่
จุดกำเนิด การแจกผ้าห่มมาจากแนวคิดของคุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เมื่อ 18 ปีที่แล้ว คำว่า ซีเอสอาร์ ยังไม่เกิดขึ้น ช่วงนั้นในภาคเหนือและอีสานต้องผจญกับภัยหนาวอย่างหนัก จึงมีแนวคิดที่จะช่วยให้คนไทยที่ยากจนในพื้นที่หนาวเย็นได้รับความอบอุ่น ก็ได้คิดถึงการแจกผ้าห่ม โดยการร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยแจกผ้าห่มในปีแรกจำนวน 2 แสนผืน

ประมาณ 8.00 น. ชาวบ้านที่ได้ลงทะเบียนไว้ได้เริ่มเดินทางมาถึงจุดแจกผ้าห่ม โดยมีคุณประจวบ อาจารพงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้เกียรติรับมอบผ้าห่มกันหนาวในโครงการ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว” ปีที่ 18 จำนวน 12,000 ผืน ถือว่าเป็นจุดกำเนินของโครงการไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาว จาก คุณสมชัย สุทธิกุลพานิช ประธานคณะที่ปรึกษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมนำไปแจกจ่ายให้พี่น้องชาวแม่ฮ่องสอนในอำเภอต่างๆ ประกอบไปด้วย อ.ปางมะผ้า ซึ่งเป็นจุดแจกแรก อ.ปาย อ.เมืองแม่ฮ่องสอน อ.ขุนยวม อ.แม่ลาน้อย อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย รวมทั้งสิ้น 7 อำเภอ โดยมีแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยราชการ หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องและให้การสนับสนุน ร่วมพิธีส่งมอบ ณ อาคารเอนกประสงค์ ศูนย์การเรียนรู้ตำรวจตระเวนชายแดน พล.อ อรชุน พิบูลนครินทร์ บ้านลุกข้าวหลาม อ.ปางมะผ้า

ชาวบ้านส่วนใหญ่เดินทางมาในชุดประจำชนเผ่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาว มูเซอดำ ซึ่งชุดประจำเผ่าของผู้หญิงเป็นเสื้อคลุมสีดำ มีแถบสีขาวตรงกลางตัว ส่วนบริเวณแขนจะมีแถบ น้ำเงิน แดง ขาว สลับกัน ส่วนชุดประจำเผ่าของผู้ชาย จะเป็นเสื้อคลุมสีดำ แถบขาว ซึ่งฉันเห็นแล้ว ก็อยากจะได้มาใส่เองสักชุด หลังจากพิธีการเริ่มต้น เด็ก ๆ ในศูนย์การเรียนรู้ ก็ได้ออกมาในชุดประจำเผ่า พร้อมชื่อการแสดงชุด “ด้วยรักและภัคดี” ซึ่งเป็นโชว์ที่น่ารักมาก ๆ นอกจากการมอบผ้าห่มกันหนาวในครั้งนี้แล้ว โครงการได้ส่งมอบอุปกรณ์กีฬา คอมพิวเตอร์ สื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ รวมถึงน้ำดื่มสะอาด ขนม ในกิจกรรม “ให้น้องจากใจไทยเบฟ” อีกทั้งการให้บริการตรวจรักษาสุขภาพจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ รพ.สต.ปางมะผ้า และชาวบ้านก็ได้รับการส่งมอบผ้าห่ม เครื่องกีฬา อุปกรณ์การเรียน โดยทางไทยเบฟหวังว่าสิ่งของเหล่านี้จะช่วยให้ชาวบ้านในบ้านลุกข้าวหลาม ได้มีความเป็นอยู่และคลายความหนาวได้บ้าง เราก็ได้เห็นรอยยิ้มของชาวที่มารอรับผ้าห่ม และเครื่องอุปโภคบริโภค จากความสุขที่ได้รับและรอยยิ้มจากความสุขที่ได้ให้ของทีมงานไทยเบฟ

สภาพปัญหาของหมู่บ้านในอดีตในหมู่บ้านไม่โรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษา เด็กขาดเรียนบ่อยมาก ชาวบ้านไม่มีอาชีพหรือรายได้ที่แน่นอน และชาวบ้านที่อายุเกิน 35 อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะมีฐานะยากจนมีรายได้เฉลี่ยครอบครัวปีละ 13,500 บาทต่อปี ซึ่งพวกเราก็หวังว่าการมาเยือนของพวกเราในครั้งนี้ จะทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

หลังจากการส่งมอบความสุขและผ้าห่มผืนเขียวเพื่อคลายความหนาว ทางทีมงานก็ได้เดินทางต่อเข้าไปยังตัวหมู่บ้านเพื่อส่งมอบ ผ้าห่มและเครื่องยังชีพ ให้กับชาวบ้าน ที่มีอายุมากและป่วยจนเดินไม่ได้ โดยมีคุณ สมชัย สุทธิกุลพานิช ตัวแทนผู้บริหารไทยเบฟเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเอง
หลังจากเสร็จพิธีการส่งมอบ เราก็ได้เดินทางต่อไปยัง สะพานซูตองเป้ (สะพานอธิฐานสำเร็จ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ ที่ฉันอยากมาเยือนนานแล้ว สะพานไม้ไผ่ กว้าง 2 เมตร ยาวประมาณ 600 เมตร สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของพระภิกษุ สามเณร และชาวบ้าน โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการท้องถิ่น เสาจากไม้เก่าของชาวบ้านปูพื้นด้วยไม้ไผ่ ทอดยาวจากสวนธรรมภูสมะถึงหมู่บ้านกุงไม้สัก ผ่านลำน้ำแม่สะงา ผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน เพื่อให้พระภิกษุ บิณฑบาต ถือเป็นสะพานไม้แห่งศรัทธา คำว่า “ซูตองเป้” นั้นเป็นภาษาไทยใหญ่ แปลว่า อธิฐานสำเร็จ สะพานแห่งนี้จึงเป็นเหมือนตัวช่วยให้คำอธิฐานสำเร็จ ซึ่งเมื่อเราเดินทางไปถึงก็เป็นเวลาบ่ายโมงกะว่าจะมาใส่
บาตรก็ไม่ทันเสียแล้ว  เราเลยขับรถต่อไปยังปางอุ๋ง ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งในสถานที่ที่อยากไปมานาน พวกเราหยุดพักผ่อนกันที่ปางอุ๋ง โดยเช่าแพไม้ไผ่ 2 ลำ ลำละ 150 บาท โดยมีคนพายให้ พวกเราได้นั่งดื่มด่ำบรรยากาศบนแพ ท่ามกลางสายลมที่เย็นสบาย และแสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดส่องลงมายังอ่างเก็บน้ำ นอกจากบรรยากาศดี ๆ แล้ว ที่ปางอุ๋งแห่งนี้ยังมีหงส์พระราชทานจากสมเด็จพระราชินี เป็นหงส์ดำและหงส์ขาว ในโครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) ว่ายน้ำเล่นไปมาอวดนักท่องเที่ยวในอ่างเก็บน้ำริมป่าสน ก่อนจะเดินทางกลับที่พักเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันถัดไป

ด้วยความอิ่มเอมใจจากการให้ ฉันก็ได้นึกถึง พระราชดำรัส ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาบที่ 9 ด้วยเรื่องของการให้ "คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่า ต่อไปและเดี๋ยวนี้ด้วย เมื่อรับสิ่งใดมาก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้"
รวมในปีนี้ รวมจำนวนผ้าห่มกันหนาวที่ส่งมอบ 3,600,000 ผืน สู่ผู้ประสบภัยใน 45 จังหวัด 579 อำเภอ 4,622 ตำบล และไทยเบฟ ยังคงตั้งมั่นที่จะส่งต่อรอยยิ้มและความอบอุ่นแก่พี่น้องคนไทยต่อไป โดยมุ่งหวังให้เกิดพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในการร่วมกันสร้างสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืนต่อไป

เรื่องและภาพโดย tom | potisit
Changing The World One Image At a Time

#ไทยเบฟ
#รวมใจต้านภัยหนาว
#ไทยเบฟรวมใจต้านภัยหนาวปีที่18
#ร่วมสร้างสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน
#คาราวานผ้าห่มผืนเขียว
#ThaiBev #AlwaysWithYou

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่