ตำนานนรสิงห์ ภาคพิศดาร (กลอนแปด)

ตำนานนรสิงห์ ภาคพิสดาร

....“กล่าวถึง มารตัวกลั่น “หิรัญยักษ์”
เนิ่นนานนัก บำเพ็ญพรต กำหนดหนุน
ด้วยมานะ ตบะ เดชะบุญ
พระพรหมจุน เจือพรกล้า ห้าประการ
   หนึ่ง ไม่ม้วยด้วย เทพ สัตว์ แล มนุษย์
สอง อาวุธ ยุทธกล พ้นประหาร
สาม ห้ามฆ่า ในทิวา ราตรีวาร
สี่  ทนทาน ทั้งนอก และในเรือน
ห้า ไม่สิ้นบนดิน ฟ้า ธารา แหล่ง
   พรสำแดงทุกอย่างไว้ ก็ให้เหมือน
ไม่มีทาง สิ้นชีวี ทุกปีเดือน
จึงถ่อยเถื่อน เกะกะ อันธพาล
   สามโลกพลัน สั่นสะเทือน เหมือนจับเหวี่ยง
เทพล้วนเกี่ยง กันมา อาสาผลาญ
ไร้ทางสู้ รู้แพ้ แต่ก่อนการณ์
จึงแต่งสาส์น ร้องหา พระนารายณ์.......

...ให้ร้อนอาสน์ ผาดแผลง สำแดงฤทธิ์
เนรมิต อวตาร ประมาณหมาย
ตัวเป็นคนขนดกปกร่างกาย
ส่วนหัวคล้าย สิงห์สัตว์ จัดมาวาง
....ทั้งเขี้ยวเล็บ แหลมล้วน ดั่งทวนดาบ
เป็นเงาปลาบ เปลวส่อง สยองสาง
มองฉงน คนไม่ชัด สัตว์ไม่จาง
ละลิ่วร่าง มาประจัญ ในทันใด
......แล้วร้องด่า ว่าเหวย เฮ้ยเจ้ายักษ์
บังอาจนัก ช่างเลว ทำเหลวไหล
เที่ยวเกะกะ ระราน บานตะไท
ไม่เกรงใจ ชาวบ้าน รำคาญเคือง
.......เปิดเซอราวด์ ปาวเป่า เขาหนวกหู
ไม่ปิดบ้าน ปิดประตู ให้แน่นเนื่อง
เลี้ยงหมาไว้ ให้เห่าหอน นอนชำเลือง
ปล่อยมาเปลื้อง ขี้เยี่ยว เที่ยวซุกซน
(อันนี้นอกเรื่อง บ่นคนในซอย แหะๆ)
....เจ้าหิรัญฯ มันยักไหล่ ทำไขสือ
ไม่หืออือ ทำท่า ข้าไม่สน
ได้พรมา ข้าไม่แพ้ แก่ทุกคน
ถึงแปลงตน เป็นสัตว์บ้า หาได้กลัว
....พระสี่กร ตอนเดือด เลือดขึ้นหน้า
ตรงเข้าคว้า ตบพลิก แล้วจิกหัว
ลากไปขวาง กลางประตู ให้ดูตัว
เฮ้ยไอ้ชั่ว จงมองข้า ห้าประการ......
.....ข้าไม่เป็นเช่น เทพ สัตว์ แล มนุษย์
ไร้อาวุธ ยุทธ์โยธา มาประหาร
เมื่อห้ามฆ่า ในทิวา ราตรีราน
ยามนี้วาร สนธยา เวลาเย็น
.....อยู่ระหว่าง ข้างใน และข้างนอก
ทางเข้าออก เรือนเหย้า ที่เจ้าเห็น
หิรัญท้า ข้าเห็นมี  สี่ประเด็น
ถ้ายังเป็น น้ำดินฟ้า ฆ่าไม่ตาย
....พระจิกหัว หิ้วตัวยักษ์ วางตักมั่น
ร้องบอกมัน ว่านี่ ละที่หมาย
ไม่ใช่ฟ้า ชลาสินธุ์ แผ่นดินดาย
ที่สุดท้าย ของชีวิต ก่อนปลิดปลง
.....เอากงเล็บ เหน็บท้องยักษ์ แล้วควักไส้
ควักหัวใจ ขยำแตก แหลกเป็นผง
ชีพยักษา ถึงคราดับ สิ้นลับลง
ไม่ยืนยง ด้วยพร เหมือนก่อนมา
.....กล่าวถึงองค์ อวตาร ในกาลนั้น
เสร็จเรื่องพลัน พระกลับคืน ขึ้นเวหา
ส่วนร่างสิงห์ ทิ้งนอนหลับ กับเวลา
ชาวประชา หามใส่ลัง ไปฝังไว้
.....เป็นตำนาน ขานต่อ “นรสิงห์”
อันร่างจริง ไม่รู้ อยู่ที่ไหน
จะสาธก ยกมากล่าว คราวต่อไป
โปรดอดใจ รออ่าน ไม่นานเกิน......
......ล่วงเวลา ห้าพันปี ที่เรื่องเล่า
ถึงยุคเรา แม้เติมต่อ ก็ห่างเหิน
แต่ค้นขุด จุดที่ฝัง โดยบังเอิญ
ผู้เผชิญ  ล้วนอนาถ ถึงฆาตตาย
.....พบคาถา ว่าให้ลุก ปลุกให้ตื่น
เมื่อสิงห์ฟื้น คืนกลับ แล้วลับหาย
กลุ่มผู้พบ ประสบร่าง ล้วนวางวาย
คนสุดท้าย เล่าให้ยิน ก่อนสิ้นลม
.....ว่าเทือกแถว แนวเขา ลำเนาป่า
ในอาณา เขตแดน แคว้นอัสสม
ล้วนเถื่อนถ้ำ อำไพ  ชวนให้ชม
ผู้นิยม เที่ยวท่อง ต้องแวะมา
......มีเรื่องเล่า เก่าแก่ ไม่แน่ชัด
ขุมสมบัติ เพชรทอง น่าลองหา
ซ่อนในถ้ำ ล้ำลึกไป ในพนา
นานนักหนา มิได้พบ ประสบกัน
.......จนกระทั่ง ฝรั่ง ชาวอังกฤษ
พร้อมเพื่อนมิตร  อีกห้า มาล่าฝัน
จ้างพวกแขก แบกหาม ตามทางชัน
จนสามวัน ล่วงสบ พบช่องทาง
.......พุ่มหนามกว้าง ขวางถ้ำ ทำไม่เห็น
เช้าจรดเย็น  แหวกช่อง  ต้องถากถาง
ทางคดเคี้ยว เลี้ยวเร้น เห็นลางลาง
จุดไฟพร่าง สว่างไสว ไปต่อพลัน
.......สักชั่วโมง ถึงโถงใหญ่ กลางใจถ้ำ
ว่าสมคำ ลือเล่า เขาเสกสรร
ที่กลางโถง โลงหินใหญ่ อำไพพรรณ
สีน้ำมัน วาดล้อมฝา น่าสะพรึง
.......รูปสิงห์ร้าย กายเป็นคน มีขนปก
มือแหวะอกยักษา หน้าถลึง
นายฝรั่ง สั่งแขก ให้แยกดึง
ชั่วโมงหนึ่ง งัดฝาหิน จนสิ้นแรง
......ไม่เขยื้อน เลื่อนเผย เลยสักนิด
ชาวอังกฤษ จึงสำรวจ ตรวจสิ่งแฝง
พบคาถา ฝาข้าง วางแสดง
จึงได้แจ้ง  ผู้ชำนาญ ลองอ่านดู
.......คาถานั้น มันโบราณ แต่อ่านได้
แต่อ่านไป พอพัก ชั่วสักครู่
เหมือนถ้ำไกว ไหวสั่น ให้พรั่นพรู
แล้วจู่จู่ ก็จบ สงบลง......
......๒.............
...ในพริบตา ฝาหิน ก็บินร่อน
หมุนมานอน ข้างโลงลัง ดั่งประสงค์
ฝรั่งแขก แตกตื่น ต่างยืนงง
แล้วพุ่งตรง เอาไฟส่อง ก้มมองดู
....กลิ่นคลื่นเหียน เอียนสาบ อาบไปทั่ว
ในสลัว เครื่องเพชรทอง ล้วนผ่องหรู
งามวิจิตร พิสดาร งานชั้นครู
รายเรียงอยู่ คล้ายบูชา ใต้ผ้าแดง
......ที่ใต้ผ้า น่าสงสัย ต่างใคร่ทราบ
เป็นศพสาบ ผู้ใด ไยซ่อนแฝง
ดูใหญ่โต โอฬาร มีการแปลง
เอาไม้แต่ง  สลักคลุม หุ้มหรือไร
.......เปิดผ้าปะ ผงะหงาย ใจหายหล่น
เป็นร่างคน ปนสัตว์ป่า น่าหวั่นไหว
นอนยาวเหยียด เบียดโลงหงาย ไม่หายใจ
แปลกไฉน ไม่เปื่อยป่น ช่างทนทาน
......เมื่อผู้รู้ ดูภาษา ท่องจารึก
ที่ผนึก ข้างเคียง เสียงฉาดฉาน
แล้วกล่าวแปล แก่หมู่ ผู้ร่วมงาน
“อวตาร พระสี่กร ผู้รอนยักษ์”
.....จารึกว่า อย่าอ่าน จารทั้งหมด
เป็นเกณฑ์กฎ แห่งองค์ พระทรงจักร
“จากนี้ไป ให้นอน เพื่อผ่อนพัก
ถ้าใครชัก นำตื่น ฟื้นเป็นภัย
......หากดุร้าย กระหายเลือด จะเดือดร้อน
ดั่งไฟฟอน สุมโลก ให้โศกไหม้
กำหนดตื่น หมื่นปี จากนี้ไกล
ฝากร่างไว้ กำราบ ปราบศัตรู
.....หมื่นปีนั้น หิรัญยักษ์ จักมาเกิด
ให้กำเนิด มวลมาร เกินหาญสู้
จึงค่อยอ่าน จารปลุก ให้ลุกรู้
หักหาญหมู่ มารทมิฬ ให้สิ้นไป”
......มีจารต่อ ข้อความ ที่ห้ามอ่าน
สีแดงฉาน แปดวรรค ประจักษ์ไข
สัปดน คนเรา ไม่เข้าใจ
เขาห้ามให้ อยากทำ รายำจริง
......เสียงไหว้วาน ให้อ่านดู จนรู้แน่
ในคำแปล อาจซ่อนเรื่อง เบื้องหลังสิงห์
แม้อ่านลุก ปลุกนั่ง ดั่งอ้างอิง
มัดเป็นลิง สวนสัตว์ จัดแสดง
.......คงทำเงิน เพลินนับ กลับออกป่า
ถึงแม้ว่า อาละวาด อาจกำแหง
เจอปืนหนัก จักหาย หงายตีแปลง
โปรดอ่านแจ้ง ให้หมู่ รู้ทั่วกัน
......ไม่ประมาท คาดเชือกมัด ตวัดแน่น
ทั้งรอบแขน รอบขา ดูท่ามั่น
จึงสวดอ่าน จารแดง แจงจำนรรจ์
อัศจรรย์ ช่างไพเราะ เสนาะตรึง
.......ดนตรีขับ รับคลอ ล้ออึงอื้อ
เหมือนจะสื่อ ว่าสรวง รู้ล่วงถึง
จบวรรคสี่ ที่โลง เริ่มโคลงคลึง
เหมือนประหนึ่ง อสูรร้าย เริ่มหายใจ
......ชาวฝรั่ง ตั้งปืน ยืนจังก้า
แม้ผวา หวาดเหลือ เหงื่อกาฬไหล
บรรดาแขก แตกตระหนก ดั่งตกไฟ
ต่างหลบไป หลังฝรั่ง กำบังตน
......จบวรรคแปด เสียงแผดร้อง ดังก้องกู่
คำรามขู่ ฟาดฟ่อง สยองขน
เชือกที่มัด สลัดขาด ไม่อาจทน
ยืนให้ยล ร่างประหลาด น่าหวาดกลัว
......รกรุ่มร่าม ตามตน ล้วนขนปก
สูงกว่าหก ศอกกึ่ง เท้าถึงหัว (ประมาณสามเมตรกว่า)
แยกเขี้ยวขาว วาววับ ขยับตัว
เสียงปืนรัว เข้าปะทะ ไม่ระคาย
......กางกงเล็บ เหน็บแฝง แสดงออก
ดั่งทวนหอก ยาวสั้น ชวนขวัญหาย
ก้าวจากโลง โย่งย่าง อย่างท้าทาย
ตะลึงคลาย สลายเกลือก ตาเหลือกลาน
......เหมือนขาแข้ง แรงหมด ระทดย่อ
บ้างหัวคอ หลุดขาด เลือดสาดฉาน
ผู้เล่านั้น ถูกฟันหลัง แอบบังคลาน
แต่ไม่นาน สลบพับ วูบดับไป...
.
.......๓.........
.....ทิวาวาร  ผ่านสามวน คนมาพบ
เกลื่อนด้วยศพ มากจน ขนไม่ไหว
อสูรร้าย หายจากพร้อมพรากไป
ซึ่งผู้ไข คาถาปลุก ให้ลุกฟื้น
.....ผู้ให้การ เพียงหนึ่ง ซึ่งเหลืออยู่
พอเล่าสู่ เวียนวน ไม่ทนฝืน
สิ้นใจเพียง เตียงไข้ ในสามคืน
ไร้ผู้อื่น รู้เช่น เป็นพยาน
....ข่าวราชา แห่งแคว้น อีกแดนหนึ่ง
ซื้อเพชรซึ่ง ราคา มหาศาล
จากฝรั่ง ฟังคล้าย ชายอ่านจาร
ถูกจ้างวาน จาก”เจ้า”แขก หน้าแปลกตา
.......ด้วยรูปงาม นามใหม่ ไม่เคยพบ
อ้างเพิ่งจบ ไกลย่าน การศึกษา
พูดผ่านล่าม ฝรั่ง ที่ฟังมา
ล้วนวาจา ภาษาเก่า เกินเข้าใจ
.....ขอเช่าเหมา เรือออก ไปนอกท่า
แจ้งบอกว่า อยากท่องถิ่น แผ่นดินใหม่
เรือเทียบท่า ซีลอน ก่อนหายไป (“ซีลอน” ชื่อเดิมของ ศรีลังกา)
ไม่มีใคร ได้ประสบ พบอีกเลย
.......ผู้วิเศษ เวทย์ดำ ประจำแหล่ง
ได้แจกแจง ความฝาก อยากเฉลย
เจ้าชายแขก แปลกหน้า ที่ว่าเอย
คือร่างเคย อวตาร บันดาลดล
......จะเที่ยวท่อง ล่องไป ไร้แหล่งหลัก
เพียงแวะพัก จรจำแลง บางแห่งหน
คืนวันเพ็ญ เป็นร่างโหด โปรดเลือดคน
บำรุงตน รอเวลา ห้าพันปี
......ตราบจนวัน หิรัญยักษ์ จักมาสู่
เมื่อต่อสู้ ล้างผลาญ ผ่านวิถี
จึงสลาย กายเป็น เช่นธุลี
ส่วนฤดี กลับลิบ ทิพย์พิมาน
.....รูปจำแลง แปลงไป ไม่ซ้ำหน้า
กิริยา ซุกซ่อน ในอ่อนหวาน
เมื่อถูกปลุก ในยุคใหม่ ไม่เชี่ยวชาญ
จึงต้องการ ใช้ล่าม ติดตามไป
......แม้ฝรั่ง ดังกล่าว ด่าวดิ้นชีพ
อาจไม่รีบ หาล่าม ติดตามใหม่
แปดสิบปี ที่ผ่านเล่า คงเข้าใจ
ไปที่ไหน ได้กระมัง ลำพังตน
.....อาจเวียนวน จนใกล้เรา เข้าก็ได้
ลองมองใคร แปลกหน้า ท่าฉงน
ให้ระวัง ยั้งคิด อาจปลิดชนม์
ไปแก้บน คืนเพ็ญ เซ่นสังเวย
......ที่น่ากลัว กว่าตัว นรสิงห์
คือเรื่องจริง รอบตัวเรา นะเจ้าเอ๋ย
ล้วนโจรภัย ใจทราม ตามข่าวเคย
คอยเปิดเผย ชาติต่ำ ทำร้ายคน
.....แม้ประมาท พลาดพลั้ง ทั้งชีวิต
อาจถูกปลิด ปลงดับ ที่ลับหน
หรือหิรัญฯ มันซ่อนหลาน มารผจญ
เอาไว้บน โลกก่อน ตัวย้อนมา
......เขียนเรื่องยาว กล่าวโม้ โชว์สัมผัส
ตามถนัด ไว้ในการ งานภาษา
เกรงกลอนยาว ถึงคราวลับ กับเวลา
แม้เห็นค่า ช่วย  “แท็ก” “แชร์” เผยแพร่ เอย”


(จบภาคพิสดาร)
ตำนาน นรสิงห์นี้ ได้แรงบันดาลใจจากเค้าโครงเรื่องนิยาย "สาบนรสิงห์"
ของ จินตวีร์ วิวัธน์
...ความดีความงามจากกลอนยาวเรื่อง “ตำนานนรสิงห์” นี้
หากก่อให้เกิดกุศลบ้าง ขออุทิศกุศลนั้น
ให้แก่ดวงวิญญาณ ของ “จินตวีร์ วิวัธน์” ผู้เป็นเจ้าของเค้าโครงเรื่อง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่