10 หนังระทึกขวัญแห่งการ “สอดรู้สอดเห็น” ยอดเยี่ยมตลอดกาล

กระทู้สนทนา

ภาพยนตร์ระทึกขวัญ ภาพยนตร์สยองขวัญ รางวัลออสการ์ ภาพยนตร์ต่างประเทศ ภาพยนตร์ชีวิต

สำหรับลิสต์นี้เป็นหนังแนวระทึกขวัญที่เล่นเนื้อหาเกี่ยวกับตัวละครที่ชอบหมกมุ่น สอดรู้สอดเห็นชีวิตส่วนตัวของคนอื่น ผ่านรูปแบบการดักฟัง ถ้ำมอง สะกดรอยฯ จนกลายเป็นการล่วงล้ำที่เกินขอบเขต

ถ้าพูดถึงแนวทริลเลอร์จึงน่าเสียดายที่หนังอย่าง American Beauty (1999) หรือ The Truman Show (1998) ที่ธีมเรื่องเป็นเเนวดราม่าแม้จะพูดถึงลักษณะการคุกคามดังกล่าวได้ดีเยี่ยมก็จะไม่ถูกใส่เข้ามาในลิสต์

ส่วนหนังที่เข้าข่ายและผมอยากเชียร์เพิ่มเติมก็เช่น Vertigo (1958), Lost Highway (1997), Disturbia (2007), An Ethics Lesson (2013)

ใครมีหนังเรื่องไหนอยากจะเเนะนำเพิ่มเติมมาคอมเม้นท์เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

10. Following (1998)

ผลงานเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมของ Christopher Nolan กับการใช้ทุนสร้างเพียง 6,000 เหรียญ ทำหนังฟิล์มนัวร์ขาวดำ ที่โดดเด่นเรื่องไอเดียกับพล็อตที่พูดถึงหนุ่มตกงาน ที่ฆ่าเวลาโดยการสะกดรอยคนแปลกหน้าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ อีกทั้งตัวเขายังใส่ความลุ่มหลงในตัวของ James Bond ผ่านองค์ประกอบเรื่องคอสตูม และคาแรคเตอร์ตัวละครหญิง ตามฉบับสาวบอนด์ที่สวย เก่ง เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม นอกจากนั้นหนังยังใช้การเล่าเรื่องแบบ non-linear มีการตัดสลับเรื่องราวไปมา ซึ่งดูเป็นกิมมิคที่แปลกใหม่สำหรับหนังสไตล์นี้ และที่สำคัญเพื่อให้คนดูเกิดความจดจ่อ ลุ้นระทึกไปกับเรื่องราวที่หนังได้นำเสนอ

9. Perfect Blue (1997)

อนิเมชั่นคุณภาพดีจากฝีมือ Satoshi Kon ที่หยิบประเด็นความคลั่งไคล้ไอดอลมาตีแผ่ โดยแต่ดั้งเดิมคนจะยึดศาสนา เทพเจ้าเป็นสิ่งแสดงความเคารพ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นถูกลดบทบาทลงโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังค้นหาบางสิ่งมาเป็นแบบอย่างในการเจริญรอยตาม พวกเขาจึงเลือกมองสิ่งที่ดูเป็นรูปธรรม เป็นตัวแทนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ศาสนาถูกลดอำนาจในกลุ่มวัยรุ่น หนังเรื่องนี้จึงมีประเด็นที่สอดคล้องกับยุคสมัยมาก ซึ่งพล็อตพูดถึงนักร้องสาวชื่อดังที่ต้องการผันตัวไปเป็นนักแสดง แต่การตัดสินใจดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากกับเหล่าแฟนคลับบางส่วน ถึงขนาดแอบติดตามเป็นสตอล์กเกอร์และขู่จะเอาชีวิตเธอ

8. Caché (2005)

เมื่อพูดถึงส่วนพล็อตเรื่องที่ว่าด้วย พิธีกรชื่อดังที่ถูกใครบางคนส่งม้วนวิดีโอที่บันทึกภาพชีวิตประจำวันของครอบครัว พร้อมกับรูปวาดประหลาดในเชิงขู่ขวัญ เรียกเลยว่าพล็อตลักษณะดังกล่าว ดูคล้ายคลึงกับหนังจิตวิทยาชั้นเยี่ยมเรื่องหนึ่งที่ถูกสร้างก่อนเพียงไม่กี่ปี และเหตุผลสำคัญที่ Caché ถูกเลือกเข้ามาไว้ในลิสต์แทนที่ ไม่เพียงเพราะความเรียบง่ายในการเล่าที่ไม่ซับซ้อนเหมือน Lost Highway แต่จุดสำคัญคือการต่อยอดพล็อตเรื่อง ที่เข้าไปสำรวจเบื้องหลังของตัวละคร เหตุผลอะไรถึงถูกคุกคาม และความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนอยู่คือะไร?

7. The Lives of Others (2006)

การเปิดตัวอันน่าตกตะลึงของ Florian Henckel. ในฐานะผู้กำกับและมือเขียนบทในหนังยาวเรื่องแรกของตัวเขา ที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดคว้าออสการ์หนังต่างประเทศมาครอง โดยโยงประเด็นเกี่ยวกับชาติ สายลับ และคนทรยศ ที่ส่วนใหญ่เวลากลายเป็นหนังจะถูกทำออกมาในเชิงไล่ล่า หรือแอคชั่นหักเหลี่ยม แต่เรื่องนี้ถูกสร้างเชิงหนังสืบสวนที่ค่อนข้างละเมียดละไม กับพล็อตที่ว่าด้วยสายลับเยอรมันที่ถูกสั่งการให้ซ่อนกล้อง ติดเครื่องดัก เพื่อทำการเฝ้าระวัง ติดตามความเคลื่อนไหวของคนที่คาดว่าจะเป็นผู้ทรยศชาติ

6. Body Double (1984)

ผู้กำกับ Brian De Palma สร้างคาแรคเตอร์ตัวเอกของเรื่องให้มีความเป็น 'สตอล์กเกอร์' และ 'นักถ้ำมอง' ซึ่งคล้ายคลึงกับไอเดียหนังสองเรื่องดังของ Hitchcock ทั้ง Rear Window ที่เล่นไอเดียการสอดแนม ความหมกมุ่นกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น จนตัวเองต้องพบกับความยากลำบาก และอีกเรื่องคือ Vertigo ที่สร้างคาแรคเตอร์ตัวละครที่มีปมความกลัวบางอย่าง รวมถึงพล็อตในลักษณะการสืบเสาะและตามติดชีวิตของคนๆหนึ่ง ซึ่งองค์ประกอบของ 2 เรื่องนี้ถูก Brian De Palma ปรุงแต่งด้วยสไตล์เฉพาะตัว ใส่ความวาบหวิวและความรุนแรงเข้าไปอย่างเต็มที่ โดยพล็อตว่าด้วยหนุ่มนักแสดงตกอับที่ถูกว่าจ้างให้มาเฝ้าหอคอยแห่งหนึ่ง จนกลายเป็นพยานปากสำคัญในเหตุการณ์ฆาตกรรมนักแสดงสาว ที่เขาคอยติดตามและเฝ้ามองเธอผ่านกล้องส่องทางไกลอยู่ทุกๆวัน

5. Blow-Up (1966)

หนึ่งในหนังที่ถูกยกย่องว่ามีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 โดยตัวหนังแฝงด้วยแรงบันดาลใจและเอกลักษณ์ของยุคสมัยมากมาย อย่างที่ปรากฏชัดเจนในวัฒนธรรมและแฟชั่น เทรนด์เสื้อผ้า หน้าผม และที่สำคัญภาพลักษณ์ของตัวเอกซึ่งเป็นช่างภาพ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์แห่งศิลปิน หมกมุ่นกับการถ่ายรูป จนบางครั้งได้มองข้ามขอบเขตและสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับบุคคลที่ถูกเรียกว่า 'ปาปารัสซี่' ในยุคปัจจุบัน และนั่นจึงกลายเป็นที่มาของปมเรื่อง เมื่อตัวเอกไปแอบถ่ายรูปคู่รักคู่หนึ่งในสวนสาธารณะ แต่หลังจากนำม้วนฟิล์มไปล้างกลับพบความผิดปกติบางอย่าง ที่ตัวเขาคิดว่านั่นคือเหตุการณ์ฆาตกรรม?

4. The Conversation (1974)

หลังจากได้รับชม Blow-Up ประจวบกับผุดแนวคิดบางอย่าง ทางผู้กำกับ Francis Ford Coppola จึงไม่รีรอที่จะนำไอเดียนั้นมาต่อยอด และสร้างหนังสืบสวนสอดแนม ที่มีการล้วงข้อมูลโดยใช้ “การดักฟัง” มาเป็นหัวใจสำคัญ แล้วเซ็ทท้องเรื่องในสภาวะที่มีการแข่งขันทางการเมืองอย่างเข้มข้น ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับฝั่งตรงข้ามจึงมีความสำคัญในการฉกฉวยผลประโยชน์ และเปลี่ยนทิศทางทางการเมือง กับพล็อตที่พูดถึงตัวเอกซึ่งเป็นนักดักฟังมืออาชีพที่บังเอิญไปพบข้อมูลสำคัญของลูกค้า ที่อาจเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมที่ว่าด้วยผลประโยชน์ทางการเมือง

3. Blue Velvet (1986)

คงต้องขอบคุณโปรดิวเซอร์ Richard Roth ที่ช่วยจุดประกายไอเดียเขียนบทหนังเรื่องนี้ จนกลายเป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีชของ David Lynch กับที่โทนค่อนข้างเรียลลิสติกหากเทียบกับผลงานอย่าง Mulholland Dr. หรือ Lost Highway โดยเน้นการเล่าผ่านมุมมองตัวเอกตามแบบฉบับหนังฟิล์มนัวร์ ซึ่งตัวหนังได้จำลองภาพสังคมอเมริกันในเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม ความรุนแรง และการสอดรู้สอดเห็นที่ตรงกับลักษณะนิสัยตัวเอกซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่บังเอิญไปพบชิ้นส่วนหูมนุษย์ แล้วคิดว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในเมือง และพยายามสืบหาต้นตอของเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง

2. Peeping Tom (1960)

ตามชื่อเรื่อง 'Peeping Tom' ที่หมายถึง บุคคลที่ชอบถ้ำมอง โดยชื่อดังกล่าวสื่อตัวตนแท้จริงของหนังได้ชัดเจนมากๆ อย่างวิธีการถ่ายทำที่เน้นบอกเล่าเรื่องราว สื่ออารมณ์ แสดงการล่วงล้ำผ่านกล้องของตัวเอก ให้ความรู้สึกเสมือนผู้ชมเป็นนักถ้ำมอง ทั้งสมจริงและชวนอึดอัดเป็นอย่างมาก ซึ่งตัวเอกเป็นคนที่ชอบหมกมุ่นกับถ่ายวิดีโอชีวิตเรื่องราวรอบๆตัว และชีวิตส่วนตัวของผู้อื่น นั่นจึงเป็นส่วนผลักดันด้านมืดและความชั่วร้ายให้เข้ามาครอบงำจนถึงขั้นที่สามารถฆ่าผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น ซึ่งน่าเสียดายที่หนังไม่ประสบความสำเร็จนัก ผิดกับ Psycho หนังที่ถูกฉายปีเดียวกันและเล่นธีมคล้ายๆกัน(ถ้ำมองและฆาตกรโรคจิต) แต่ถูกเล่าในรูปแบบหนังสยองขวัญเชิงสืบสวน ที่ดูจะเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ง่ายกว่า

1. Rear Window (1954)

เหตุผลที่ Alfred Hitchcock ถูกยกย่องว่าเป็น “ปรมาจารย์แห่งหนังระทึกขวัญ” ไม่ใช่มาจากความยอดเยี่ยม หรือความสร้างสรรค์ในการเขียนบท(บทหนังกว่า 50% เขาไม่ได้เป็นผู้เขียน) แต่เกิดจากการเป็นผู้เล่าที่ยอดเยี่ยม สร้างสรรค์เทคนิคการถ่ายทำ รู้ว่าพล็อตแบบนี้ควรเล่ายังไงให้เกิดประสิทธิภาพ? รู้ว่าต้องทำยังไงให้คนดูเกิดความลุ้นระทึกตั้งแต่ต้นจนจบ? ซึ่ง Rear Window ก็โชว์ความสามารถเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ แม้จะถูกเล่าภายในห้องเล็กๆ แต่หนังสามารถสร้างบรรยกาศตึงเครียด กระตุ้นความใคร่รู้ได้อย่างดีเยี่ยม ผ่านเรื่องราวและไดอะล็อกที่คมคาย กับพล็อตที่ว่าด้วยตากล้องที่ประสบอุบัติเหตุจนขาหัก และใช้ชีวิตในแต่ละวันกับการส่องกล้องผ่านหน้าต่างเพื่อเฝ้ามองพฤติกรรมของผู้คน กระทั่งได้พบกับพฤติกรรมน่าสงสัยของชายคนหนึ่งที่ส่อแววจะก่อเหตุฆาตกรรม
.
.
.
.
.
.
.

ตัวอย่างลิสต์ที่เคยเขียนไว้
https://pantip.com/profile/672088

10 หนัง"ผมไม่ใช่ฆาตกร?" (Primal Fear style) ที่คุณไม่ควรพลาด
10 หนังตลกร้ายยอดเยี่ยมตลอดกาล
10 หนังที่จบสะเทือนใจคนดูมากที่สุดในศตวรรษที่ 20
10 หนังอีโรติกทริลเลอร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล
10 หนังระทึกขวัญ(ลูปเวลา)แห่งศตวรรษที่ 21
10 หนังรักต้องห้ามยอดเยี่ยมตลอดกาล
10 หนังไซไฟ-ไซเบอร์พังก์ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21
10 หนังระทึกขวัญเเห่งการนอกใจ
10 หนังสยองขวัญเชิงจิตวิทยา ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21
10 หนังที่เข้าถึงบทบาทของความบ้าคลั่ง แห่งศตวรรษที่ 21
10+(1) หนังมือสังหารยอดเยี่ยมเเห่งศตวรรษที่ 21
10 หนังที่หักมุมทำร้ายจิตใจคนดูได้มากที่สุดในศตวรรษที่ 21
10 หนังสืบสวนที่การันตีคุณภาพ ด้วยการเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
10 หนังทริลเลอร์เชิงจิตวิทยาแห่งปี 2017 ที่คุณไม่ควรพลาด
10 หนังแห่งความซับซ้อน ชวนให้ครุ่นคิด
10 หนังสืบสวนไซไฟยอดเยี่ยม
10 หนังอาชญากรรมสมบูรณ์เเบบ
20 หนังทริลเลอร์จิตวิทยายอดเยี่ยมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2012 - 2016)
20 หนังจิตวิตก (Mindbender) ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 21
20 หนังทริลเลอร์จิตวิทยาแห่งศตวรรษที่ 21 ที่คุณไม่ควรพลาด
50 หนังหักมุมยอดเยี่ยมตลอดกาล
50 หนังสืบสวนยอดเยี่ยมเเห่งศตวรรษที่ 21
50 หนังเเนวลึกลับที่คุณไม่ควรพลาด