Coco (2017) : วันอลวน วิญญาณอลเวง
" เมื่อเรื่องราวระหว่างความฝัน ครอบครัว และความตายมาบรรจบกัน "
ช่วงนี้มีหนังที่พูดถึงความตายถึง 2 เรื่องเข้าฉายพร้อมกัน เรื่องแรก
Die Tomorrow ของคุณเต๋อ นวพล อันนี้ผมยังไม่ได้ดู ที่จะมาพูดถึงวันนี้คือแอนิเมชันสุดประทับใจที่มีชื่อว่า
Coco
Coco (2017) เป็นหนังที่เซอร์ไพร์สสำหรับผมมากจริงๆ สารภาพว่าในตอนแรกที่ผมดูตัวอย่างหนัง ผมแทบไม่ได้สนใจเลย เพราะเห็นสไตล์หนังคิดว่าเป็นหนังแอนิเมชันที่เน้นไปทางเด็กดูมากกว่า จนมาเห็นกระแสวิจารณ์ค่อนข้างดี เลยต้องหันกลับมาดู แล้วก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงชมกันว่าหนังดีมาก รวมทั้งผมยังคิดว่า Coco ถือเป็นตัวเต็งที่แข็งมากในเวทีออสการ์ สาขารางวัลแอนิเมชันยอดเยี่ยม (คิดว่าโอกาสได้สูงมาก !)
Coco แอนิเมชันจาก
Pixar ภายใต้การควบคุมของ
Disney หนังได้รับการกำกับโดย
Lee Unkrich และ Adrian Molina โดย Lee Unkrich เคยได้รับออสการ์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาแล้วครั้งนึงจาก
Toy Story 3 (2010) และเป็นผู้กำกับผลงานชื่อดังอย่าง
Finding Nemo (2003) สำหรับเรื่อง Coco มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
มิเกล เด็กน้อยผู้รักในเสียงดนตรี และมีความฝันอยากจะเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แบบ
เออร์เนสโตร เดอ ลา ครูซ (Ernesto de la Cruz ) แต่ทีนี้ตระกูลของมิเกลดันมีปมกับเรื่องดนตรีซะงั้น ทุกคนต่างเกลียดดนตรีเข้าไส้ ด้วยความที่มิเกลอยากจะเล่นดนตรีเขาจึงตัดสินใจฝืนคำสั่งครอบครัวไปลงแข่งประกวดดนตรี ด้วยความพลิกผันทำให้เขาหลุดไปสู่ในโลกหลังความตาย
และโลกหลังความตายก็มีกฏว่า เขาจะต้องกลับมาที่โลกมนุษย์ให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มิฉะนั้นเขาจะติดอยู่ในโลกหลังความตายไปตลอดกาล
Coco (2017) - เมื่อเรื่องราวระหว่างความฝัน ครอบครัว และความตายมาบรรจบกัน
Coco เป็นหนังที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ตัวหนังผสมผสานประเด็นใหญ่ๆ ถึงสามเรื่องเชื่อมไว้ด้วยกัน คือเรื่อง
"ความฝัน ครอบครัว และความตาย" โดยประเด็นที่หนังเน้นมากที่สุดคือเรื่อง
"ครอบครัว" เล่าถึงสายใยระหว่างครอบครัว ความห่วงใยซึ่งกันและกัน เป็นจุดแข็งหนึ่งของเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก
"ความตาย" อีกจุดที่เตะตาผมและทำให้ผมรู้สึกว่าหนังสร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่ต่างไปจากเรื่องอื่นคือ
การนำเรื่องโลกหลังความตายมาใช้ เรื่องราวความตายเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีคนนำมาใช้สักเท่าไร เพราะใช้ทีไรมักทำให้โทนหนังดูจริงจัง ดูมืด ดูน่ากลัว ยิ่งเป็นแอนิเมชันสายกระแสหลักที่มีฐานผู้ชมเป็นเด็กด้วย ความตายดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะนำมาเสนอให้เด็กดูได้ แต่สำหรับ Coco ไม่ถือว่าเป็นปัญหาเลย หนังสามารถสร้างสรรค์ให้โลกแห่งความตายเป็นโลกที่ไม่น่ากลัว มันก็เหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่คนก็ยังใช้ชีวิตตามปกตินะแหละ แต่อยู่ในรูปโครงกระดูกนั่นเอง (แถมยังน่ารักด้วย 555)
ส่วนประเด็นเรื่อง
"ความฝัน (และดนตรี)" เป็นปมสำคัญของเรื่องปมหนึ่ง แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่ากับสองประเด็นที่กล่าวไป เหมือนเป็นตัวนำเรื่องที่โยงเข้าสู่แก่นหนังที่แท้จริง หนังนำเสนอเรื่องราวของเด็กที่มีความฝัน และอยากเป็นอย่างซูเปอร์สตาร์ในดวงใจ ทว่าด้วยความฝันและความคลั่งไคล้กลับทำให้เขาได้พบกับครอบครัวอีกฝั่งที่เขาไม่มีโอกาสได้พบเจอและยังเป็นโอกาสอันดีที่จะตามหาไอดอลในฝันอย่าง เออร์เนสโตร เดอ ลา ครูซ อีกด้วย ถ้าไม่ได้ผ่านโลกหลังความตายมา เขาคงไม่มีโอกาสแบบนี้
ประเด็นสุดท้ายเรื่อง
ดนตรี ดนตรีในเรื่องนี้มีความสำคัญในแง่ที่ว่า
เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกสองโลกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมันได้ทำให้คนเป็นและคนตายได้สื่อถึงกันและกัน แม้จะไม่ได้พบหน้าผ่านเสียงท่วงทำนองดนตรีนั่นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ โดยเฉพาะเพลง Remember Me คิดว่าหลายคนที่ประทับใจและน้ำตาไหลก็เพราะเพลงนี้นี่แหละ
Remember Me (Lullaby) (From "Coco"/Audio Only)
" ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นการย้ายที่อยู่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง "
Dia de los Muertos - วันแห่งความตาย
Dia de los Muertos (Day of the Dead) คือธีมหลักที่หนังนำมาใช้บอกเล่าเรื่องราวของหนัง วันแห่งความตายนี้ เป็นวันหนึ่งในรอบปีที่ชาวเม็กซิกันเชื่อว่า บรรพบุรุษญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะเดินทางข้ามสะพานดอกไม้จากโลกแห่งความตายกลับมาสู่โลกแห่งคนเป็น เพื่อพบหน้ากับเหล่าญาติคนรู้จักอีกครั้งหนึ่ง
ในวันนี้เหล่าครอบครัวจะมาพบหน้ากันและจัดพิธีโรยกลีบดอกไม้เป็นเส้นทางเพื่อให้ผู้ตายเดินกลับมาได้ถูกทาง
ผมชอบในไอเดียนี้นะที่หนังนำเรื่องเทศกาล
Dia de los Muertos มาเล่า ความเชื่อเรื่องการส่งความปราถนาดีต่อผู้ที่ตายไปแล้ว หรือคนที่ตายไปแล้วกลับมาให้พรกับลูกหลาน เป็นความเชื่อที่มีอยู่ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก
ในหนังพูดถึงเม็กซิกัน แต่ผมคิดว่าเราก็สามารถเข้าใจในเทศกาลนี้ได้ไม่ยาก เพราะอย่างในบ้านเรา คนไทยเชื้อสายจีนก็มีการไหว้บรรพบุรุษกันในช่วงเชงเม้ง หรือแม้กระทั่งเผากระดาษเงินกระดาษทองก็เกี่ยวกับประเด็นนี้ ส่วนชาวไทยแท้ๆก็มีงานบุญ การกรวดน้ำอุทิศแด่บรรพบุรุษที่ล่วงลับมาแล้ว เทศกาลเหล่านี้ยังมีอีกในหลายประเทศใครสนใจลองไปอ่านในนี้ละกัน
เหมียวพาชม ความเชื่อและที่มาของ 10 เทศกาลแห่ง ‘ความตาย’ จากรอบโลก!!!
มุมมองต่อหนัง

พูดถึงการดำเนินเรื่องหนัง หนังดำเนินเรื่องได้ฉับไว สนุกลื่นไหล มีกลิ่นอายตามสูตรสไตล์แอนิเมชันสายกระแสหลักคือ ต้องมีช็อตฮา ช็อตซึ้ง ช็อตเศร้า ช็อตหักมุม ตรงนี้ผมว่าเราก็คุ้นเคยกันอยู่แล้วล่ะ บางส่วนก็พอเดาได้บ้างหรือเดินตามสูตรหนัง แต่มันกลับทำได้สนุก ที่ประทับใจที่สุดและรู้สึกว่าหนังทำได้ดีมากคือ
การบีบอารมณ์อย่างเป็นธรรมชาติ
ทั้งๆที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่หนังก็ยังบีบอารมณ์ให้เราน้ำตาคลอหน่วยได้ โดยไม่ดูจงใจ ไม่เสแสร้งอะไรเลย ทำให้เรารู้สึกอินแนบแน่น ผูกพันไปกับตัวละคร
" หนังที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี " ผมคิดว่าถ้าให้เด็กดูแบบสนุกๆคงดูได้ แต่จะให้เข้าใจลึกซึ้งถึงประเด็นต่างๆที่ผมกล่าวไป คงยากหน่อย เหตุผลหนึ่งที่ผมว่าทำให้ผู้ใหญ่อินกว่า น่าจะเป็นเพราะ ผู้ใหญ่ได้สัมผัสถึงประสบการณ์ต่างๆมามากกว่าเด็ก จึงทำให้มีอารมณ์ร่วมมากกว่า เช่น ญาติเราเสียหรือใครก็ตามเสีย หากเราก็มีความผูกพันกับผู้ตาย เราย่อมสัมผัสกับความเจ็บปวดนี้ได้ หรือเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ว่าจะทะเลาะกัน คืนดีกัน หัวเราะ ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ร่วมที่ทุกคนเคยผ่านมา และคิดว่าผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจได้ดีกว่าเด็ก
ด้านโปรดักชันหนังก็ทำออกมาได้สวยงาม ภาพสวย สีสวยสด เรื่องดนตรีออกมาในสไตล์ทำนองแบบลาตินอเมริกา เพราะดี เพลงมีกลิ่นอายแนวดิสนีย์อยู่หน่อยๆ เห็นว่า
Coco เป็นแอนิเมชันเรื่องแรกของ
Pixar ด้วยที่เป็นหนังเพลง โดยเพลงธีมหลักของเรื่องนี้คือ เพลง
Remember Me
Benjamin Bratt - Remember Me (Ernesto de la Cruz) (From "Coco"/Audio Only)
Anthony Gonzalez, Gael García Bernal - Un Poco Loco (From “Coco”/Audio Only)
หนังสั้น : Olaf's Frozen Adventure (2017)
Olaf's Frozen Adventure (2017) หนังสั้นที่ดิสนีย์แถมให้ก่อนเข้าเรื่อง Coco ผมว่าเป็นหนังสั้นที่ทำได้ดีนะ โดยเฉพาะการส่งเสริมบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เทศกาลคริสต์มาสต์ บรรยากาศความอบอุ่น
Ring in the Season - Olaf's Frozen Adventure
โมเมนต์หนังตอนดูก็เป็นแบบตอนดู Frozen นะแหละ มีช็อตฮา ช็อตประทับใจ มีการเชื่อมโยงเรื่องกับหนังใหญ่ เพลงก็เพราะดี ดูง่าย เข้าใจง่ายแบบไม่ต้องคิดมาก (อันนี้แหละเด็กดูเข้าใจแน่นอน น่าจะชอบด้วย 555) ที่สำคัญคือ
" หนังทำให้เห็นว่าช่วงคริสต์มาสต์นี่แหละคือช่วงที่เราควรอยู่ข้างๆคนที่เรารัก และเผื่อแผ่ความสุขให้แก่กันและกัน "
อย่างสุดท้ายที่ชอบก็หนีไม่พ้นโอลาฟ โผล่ออกมาทุกทีก็สร้างความเปิ่น สร้างอมยิ้มได้ทุกที น่ารักมากกกก
When We 're Together - Olaf's Frozen Adventure
สรุป
สำหรับผม
Coco (2017) ผมให้
8.5/10 (เป็นหนังที่อบอุ่นและน่าประทับใจ) หนังสอดแทรกประเด็นเรื่องสายใยครอบครัวได้ลึกซึ้งหนักแน่น ตัวหนังมีความเป็นธรรมชาติ ดูสนุก น่าประทับใจ ภาพสวย เป็นหนังที่สามารถดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (สอดคล้องกับสไตล์
Pixar) เด็กสามารถดูเอาสนุกได้ มีการผจญภัยต่างๆ และช็อตฮาๆระหว่างการเดินทางให้เด็กหัวเราะ ส่วนผู้ใหญ่สามารถดูได้ในแง่การขบคิดประเด็นต่างๆที่หนังสอดแทรกไว้ รวมทั้งเสพความสร้างสรรค์ของหนังตามสไตล์ฉบับผู้ใหญ่ดู หนังมีโครงเรื่องบางส่วนคล้าย Spirited Away ที่ผจญภัยในมิติลี้ลับ ตัวหนังอาจจะมีเดินไปตามสูตรที่พอเดาทางได้ (อารมณ์สูตรแอนิเมชันยอดนิยมยุคหลังๆ) แต่เรื่องการทำอารมณ์ผมว่าใช้ได้เลยแหละ
อีกทั้งยังมีหนังสั้น Olaf's Frozen Adventure แถมให้ดูส่งท้ายปีด้วย ก็แนะนำนะครับอยากให้ได้ดูกัน เป็นแอนิเมชันครอบครัวที่ดีจริงๆ และคาดว่าเป็นตัวเต็งออสการ์แอนิเมชันประจำปี 2017 อย่างแน่นอน
" ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต แต่เป็นการย้ายที่อยู่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง "
8.5/10

----------------------------------------------------------------------
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน
[CR] (Review) Coco (2017) - เมื่อเรื่องราวระหว่างความฝัน ครอบครัว และความตายมาบรรจบกัน
ช่วงนี้มีหนังที่พูดถึงความตายถึง 2 เรื่องเข้าฉายพร้อมกัน เรื่องแรก Die Tomorrow ของคุณเต๋อ นวพล อันนี้ผมยังไม่ได้ดู ที่จะมาพูดถึงวันนี้คือแอนิเมชันสุดประทับใจที่มีชื่อว่า Coco
Coco (2017) เป็นหนังที่เซอร์ไพร์สสำหรับผมมากจริงๆ สารภาพว่าในตอนแรกที่ผมดูตัวอย่างหนัง ผมแทบไม่ได้สนใจเลย เพราะเห็นสไตล์หนังคิดว่าเป็นหนังแอนิเมชันที่เน้นไปทางเด็กดูมากกว่า จนมาเห็นกระแสวิจารณ์ค่อนข้างดี เลยต้องหันกลับมาดู แล้วก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงชมกันว่าหนังดีมาก รวมทั้งผมยังคิดว่า Coco ถือเป็นตัวเต็งที่แข็งมากในเวทีออสการ์ สาขารางวัลแอนิเมชันยอดเยี่ยม (คิดว่าโอกาสได้สูงมาก !)
Coco แอนิเมชันจาก Pixar ภายใต้การควบคุมของ Disney หนังได้รับการกำกับโดย Lee Unkrich และ Adrian Molina โดย Lee Unkrich เคยได้รับออสการ์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาแล้วครั้งนึงจาก Toy Story 3 (2010) และเป็นผู้กำกับผลงานชื่อดังอย่าง Finding Nemo (2003) สำหรับเรื่อง Coco มีเนื้อหาเกี่ยวกับ มิเกล เด็กน้อยผู้รักในเสียงดนตรี และมีความฝันอยากจะเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แบบ เออร์เนสโตร เดอ ลา ครูซ (Ernesto de la Cruz ) แต่ทีนี้ตระกูลของมิเกลดันมีปมกับเรื่องดนตรีซะงั้น ทุกคนต่างเกลียดดนตรีเข้าไส้ ด้วยความที่มิเกลอยากจะเล่นดนตรีเขาจึงตัดสินใจฝืนคำสั่งครอบครัวไปลงแข่งประกวดดนตรี ด้วยความพลิกผันทำให้เขาหลุดไปสู่ในโลกหลังความตาย
และโลกหลังความตายก็มีกฏว่า เขาจะต้องกลับมาที่โลกมนุษย์ให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มิฉะนั้นเขาจะติดอยู่ในโลกหลังความตายไปตลอดกาล
Coco (2017) - เมื่อเรื่องราวระหว่างความฝัน ครอบครัว และความตายมาบรรจบกัน
Coco เป็นหนังที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ตัวหนังผสมผสานประเด็นใหญ่ๆ ถึงสามเรื่องเชื่อมไว้ด้วยกัน คือเรื่อง "ความฝัน ครอบครัว และความตาย" โดยประเด็นที่หนังเน้นมากที่สุดคือเรื่อง "ครอบครัว" เล่าถึงสายใยระหว่างครอบครัว ความห่วงใยซึ่งกันและกัน เป็นจุดแข็งหนึ่งของเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก
"ความตาย" อีกจุดที่เตะตาผมและทำให้ผมรู้สึกว่าหนังสร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่ต่างไปจากเรื่องอื่นคือ การนำเรื่องโลกหลังความตายมาใช้ เรื่องราวความตายเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีคนนำมาใช้สักเท่าไร เพราะใช้ทีไรมักทำให้โทนหนังดูจริงจัง ดูมืด ดูน่ากลัว ยิ่งเป็นแอนิเมชันสายกระแสหลักที่มีฐานผู้ชมเป็นเด็กด้วย ความตายดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะนำมาเสนอให้เด็กดูได้ แต่สำหรับ Coco ไม่ถือว่าเป็นปัญหาเลย หนังสามารถสร้างสรรค์ให้โลกแห่งความตายเป็นโลกที่ไม่น่ากลัว มันก็เหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่คนก็ยังใช้ชีวิตตามปกตินะแหละ แต่อยู่ในรูปโครงกระดูกนั่นเอง (แถมยังน่ารักด้วย 555)
ส่วนประเด็นเรื่อง "ความฝัน (และดนตรี)" เป็นปมสำคัญของเรื่องปมหนึ่ง แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่ากับสองประเด็นที่กล่าวไป เหมือนเป็นตัวนำเรื่องที่โยงเข้าสู่แก่นหนังที่แท้จริง หนังนำเสนอเรื่องราวของเด็กที่มีความฝัน และอยากเป็นอย่างซูเปอร์สตาร์ในดวงใจ ทว่าด้วยความฝันและความคลั่งไคล้กลับทำให้เขาได้พบกับครอบครัวอีกฝั่งที่เขาไม่มีโอกาสได้พบเจอและยังเป็นโอกาสอันดีที่จะตามหาไอดอลในฝันอย่าง เออร์เนสโตร เดอ ลา ครูซ อีกด้วย ถ้าไม่ได้ผ่านโลกหลังความตายมา เขาคงไม่มีโอกาสแบบนี้
ประเด็นสุดท้ายเรื่อง ดนตรี ดนตรีในเรื่องนี้มีความสำคัญในแง่ที่ว่า เป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกสองโลกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมันได้ทำให้คนเป็นและคนตายได้สื่อถึงกันและกัน แม้จะไม่ได้พบหน้าผ่านเสียงท่วงทำนองดนตรีนั่นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Dia de los Muertos - วันแห่งความตาย
Dia de los Muertos (Day of the Dead) คือธีมหลักที่หนังนำมาใช้บอกเล่าเรื่องราวของหนัง วันแห่งความตายนี้ เป็นวันหนึ่งในรอบปีที่ชาวเม็กซิกันเชื่อว่า บรรพบุรุษญาติที่ล่วงลับไปแล้ว จะเดินทางข้ามสะพานดอกไม้จากโลกแห่งความตายกลับมาสู่โลกแห่งคนเป็น เพื่อพบหน้ากับเหล่าญาติคนรู้จักอีกครั้งหนึ่ง
ในวันนี้เหล่าครอบครัวจะมาพบหน้ากันและจัดพิธีโรยกลีบดอกไม้เป็นเส้นทางเพื่อให้ผู้ตายเดินกลับมาได้ถูกทาง
ผมชอบในไอเดียนี้นะที่หนังนำเรื่องเทศกาล Dia de los Muertos มาเล่า ความเชื่อเรื่องการส่งความปราถนาดีต่อผู้ที่ตายไปแล้ว หรือคนที่ตายไปแล้วกลับมาให้พรกับลูกหลาน เป็นความเชื่อที่มีอยู่ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก
ในหนังพูดถึงเม็กซิกัน แต่ผมคิดว่าเราก็สามารถเข้าใจในเทศกาลนี้ได้ไม่ยาก เพราะอย่างในบ้านเรา คนไทยเชื้อสายจีนก็มีการไหว้บรรพบุรุษกันในช่วงเชงเม้ง หรือแม้กระทั่งเผากระดาษเงินกระดาษทองก็เกี่ยวกับประเด็นนี้ ส่วนชาวไทยแท้ๆก็มีงานบุญ การกรวดน้ำอุทิศแด่บรรพบุรุษที่ล่วงลับมาแล้ว เทศกาลเหล่านี้ยังมีอีกในหลายประเทศใครสนใจลองไปอ่านในนี้ละกัน
มุมมองต่อหนัง
ทั้งๆที่รู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่หนังก็ยังบีบอารมณ์ให้เราน้ำตาคลอหน่วยได้ โดยไม่ดูจงใจ ไม่เสแสร้งอะไรเลย ทำให้เรารู้สึกอินแนบแน่น ผูกพันไปกับตัวละคร
" หนังที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี " ผมคิดว่าถ้าให้เด็กดูแบบสนุกๆคงดูได้ แต่จะให้เข้าใจลึกซึ้งถึงประเด็นต่างๆที่ผมกล่าวไป คงยากหน่อย เหตุผลหนึ่งที่ผมว่าทำให้ผู้ใหญ่อินกว่า น่าจะเป็นเพราะ ผู้ใหญ่ได้สัมผัสถึงประสบการณ์ต่างๆมามากกว่าเด็ก จึงทำให้มีอารมณ์ร่วมมากกว่า เช่น ญาติเราเสียหรือใครก็ตามเสีย หากเราก็มีความผูกพันกับผู้ตาย เราย่อมสัมผัสกับความเจ็บปวดนี้ได้ หรือเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ว่าจะทะเลาะกัน คืนดีกัน หัวเราะ ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ร่วมที่ทุกคนเคยผ่านมา และคิดว่าผู้ใหญ่น่าจะเข้าใจได้ดีกว่าเด็ก
ด้านโปรดักชันหนังก็ทำออกมาได้สวยงาม ภาพสวย สีสวยสด เรื่องดนตรีออกมาในสไตล์ทำนองแบบลาตินอเมริกา เพราะดี เพลงมีกลิ่นอายแนวดิสนีย์อยู่หน่อยๆ เห็นว่า Coco เป็นแอนิเมชันเรื่องแรกของ Pixar ด้วยที่เป็นหนังเพลง โดยเพลงธีมหลักของเรื่องนี้คือ เพลง Remember Me
หนังสั้น : Olaf's Frozen Adventure (2017)
Olaf's Frozen Adventure (2017) หนังสั้นที่ดิสนีย์แถมให้ก่อนเข้าเรื่อง Coco ผมว่าเป็นหนังสั้นที่ทำได้ดีนะ โดยเฉพาะการส่งเสริมบรรยากาศส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เทศกาลคริสต์มาสต์ บรรยากาศความอบอุ่น
โมเมนต์หนังตอนดูก็เป็นแบบตอนดู Frozen นะแหละ มีช็อตฮา ช็อตประทับใจ มีการเชื่อมโยงเรื่องกับหนังใหญ่ เพลงก็เพราะดี ดูง่าย เข้าใจง่ายแบบไม่ต้องคิดมาก (อันนี้แหละเด็กดูเข้าใจแน่นอน น่าจะชอบด้วย 555) ที่สำคัญคือ
อย่างสุดท้ายที่ชอบก็หนีไม่พ้นโอลาฟ โผล่ออกมาทุกทีก็สร้างความเปิ่น สร้างอมยิ้มได้ทุกที น่ารักมากกกก
สรุป
สำหรับผม Coco (2017) ผมให้ 8.5/10 (เป็นหนังที่อบอุ่นและน่าประทับใจ) หนังสอดแทรกประเด็นเรื่องสายใยครอบครัวได้ลึกซึ้งหนักแน่น ตัวหนังมีความเป็นธรรมชาติ ดูสนุก น่าประทับใจ ภาพสวย เป็นหนังที่สามารถดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (สอดคล้องกับสไตล์ Pixar) เด็กสามารถดูเอาสนุกได้ มีการผจญภัยต่างๆ และช็อตฮาๆระหว่างการเดินทางให้เด็กหัวเราะ ส่วนผู้ใหญ่สามารถดูได้ในแง่การขบคิดประเด็นต่างๆที่หนังสอดแทรกไว้ รวมทั้งเสพความสร้างสรรค์ของหนังตามสไตล์ฉบับผู้ใหญ่ดู หนังมีโครงเรื่องบางส่วนคล้าย Spirited Away ที่ผจญภัยในมิติลี้ลับ ตัวหนังอาจจะมีเดินไปตามสูตรที่พอเดาทางได้ (อารมณ์สูตรแอนิเมชันยอดนิยมยุคหลังๆ) แต่เรื่องการทำอารมณ์ผมว่าใช้ได้เลยแหละ
อีกทั้งยังมีหนังสั้น Olaf's Frozen Adventure แถมให้ดูส่งท้ายปีด้วย ก็แนะนำนะครับอยากให้ได้ดูกัน เป็นแอนิเมชันครอบครัวที่ดีจริงๆ และคาดว่าเป็นตัวเต็งออสการ์แอนิเมชันประจำปี 2017 อย่างแน่นอน
ป.ล. สำหรับคนที่ดูแล้วหรือยังไม่ได้ดู ก็สามารถมาคุยกันได้นะครับ ชอบฉากไหน ประทับใจเรื่องใด ก็มาคุยแลกเปลี่ยนกัน