COCO ความอิ่มเอมใจจากการกล้าเสี่ยงอีกครั้งของ Pixar
...และความดีงามจาก Disney
ดูจากหน้าหนังแล้วถือเป็นความเสี่ยงขาดทุนระดับมโหฬารจากหลายสาเหตุ
1. ตัวละครไม่ได้ดูน่ารักเหมือนของค่ายแม่อย่าง Disney
2. ถิ่นกำเนิดเรื่องก็ไม่ใช่แบบฝรั่งนิยม
3. เนื้อเรื่องเน้นเกี่ยวกับความตาย ซึ่งเป็นของต้องห้ามเน้นในการ์ตูนดิสนีย์มาช้านาน
แต่ ความกล้าเสี่ยงครั้งนี้ สร้างผลงานระดับ Master Piece อีกชิ้นของ Pixar ที่ยังไม่มี Animation Studios ไหนทำได้
โปรเจคต์นี้ประกาศครั้งแรกชื่อว่า Los Dias de los Muertos หรือ Day of the Dead หรือภาษาไทยคือ เทศกาลวันแห่งความตาย ของชาวแมกซิโก ก็จินตนาการไม่ออกว่า จะทำเรื่องออกมาแนวไหน สุดท้าย มาเปลี่ยนชื่อเรื่องว่า COCO และเล่นสีกับโลโก้ให้ดูมีสีสันเป็นมิตรกับเด็กๆ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรเรื่องเลย (ต้องดูหนังจบถึงจะเข้าใจว่า COCO สำคัญอย่างไร) ดังนั้นเพื่อการ Play Safe ดิสนีย์เลยเอา Olaf’s Frozen Adventure แปะไว้ที่เขานิยามว่าเป็น “หนังสั้น” ซึ่งสั้นบ้าไปถึง 30 นาที อัดเพลงเพราะๆมาให้ถึง 4 เพลง ซึ่งทำให้รู้สึกเสียดายนิดๆว่า คราวนี้อดดูหนังสั้นแปะหัวของคุณภาพของ Pixar แฮะ (แต่ Olaf ก็ทำผมน้ำตาซึมเลยนะ ดังนั้น เข้าโรงเร็วๆล่ะ)
เนื้อเรื่องจากเทรลเลอร์ เกี่ยวกับมิเกลที่อยากเป็นนักดนตรีเหมือนไอดอลเขา Ernesto de la Cruz แต่ครอบครัวเขาเกลียดดนตรีซะงั้น ในวัน Dias de los Muertos มิเกลจึงไปยืมเครื่องดนตรีจากหลุมศพของ Ernesto de la Cruz ทำให้มิเกลเดินทางไปสู่โลกหลังความตายและเจอบรรพบุรุษของเขา เพื่อทราบสาเหตุของการที่ครอบครัวเกลียดดนตรี และพาเขากลับก่อนที่เขาจะกลายเป็นวิญญาณไปด้วย ....จากเนื้อเรื่อง ก็ดูน่าสนใจแล้วแหละ
พอดูจบ บอกเลยว่าหาคำบรรยายไม่ได้ที่จะบอกถึงความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้รับจากเรื่องนี้ ส่วนของภาพหรือ CG ในหนังของค่ายนี้เรียกว่าแยกแทบไม่ออกว่าของจริงหรือ CG ทุกอย่างเหมือนโลกจริงมาก ยกเว้นตัวละครที่ยังคงทำให้เป็นการ์ตูนอยู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Pixar มาโดยตลอด ในหนังพูดถึงความเป็นความตายถ้าดูทึมๆก็จะกลายเป็นหนังสยองขวัญได้ ก็เลยเล่นสีแรงฉูดฉาดเพื่อให้ความน่ากลัวของตัวละครที่เป็นวิญญาณและโครงกระดูกดูลดลง คนไทยอาจจะเข้าถึงได้ เพราะเรามีการกราบไหว้รำลึกถึงบรรพบุรุษใกล้เคียงกัน
พูดถึงเนื้อเรื่องกันบ้าง จากความกล้าเสนอเรื่องเกี่ยวกับความตายตรงๆ ทำให้เนื้อเรื่องน่าสนใจ เต็มไปด้วยจินตนาการและเนื้อหาที่กินใจ รวมถึงการกัดจิกผู้ใหญ่กับเด็กตามสไตล์ค่ายนี้(เหมือนจะสอนพ่อแม่ไปในตัว) และความประทับใจของเนื้อเรื่อง ที่นับตั้งแต่ Toy Story 3 ก็น้ำตาแตกกับหนังค่ายนี้หลายเรื่อง
ที่ผ่านมา Pixar ยังไม่มีเพลงประกอบภาพยนต์ที่ตรึงใจผู้ชมได้เท่าไร จนกระทั่งได้คู่ Kristen Anderson-Lopez & Rebert Lopez จากฝั่ง Disney (บางคนถาม ใครหรอ ...ก็คนที่แต่งเพลง Let it go ให้ราชินีเอลซ่าอันโด่งดังนั่นแหละ)มาแต่งเพลง Remember me เพลงนี้เพราะมากกกก ถ้าใครดูหนังแล้วมาฟังอีก ลึกซึ้งกินใจน้ำตาไหลเลยล่ะ
Coco จึงเป็นความกล้าเสี่ยงของ Pixar ที่นำสิ่งที่ดีงามของ Disney และ Pixar มาผสานกันได้อย่างน่าประทับใจ ยากที่จะหาเรื่องไหนเทียบได้อีก (ตอนนั้นก็คิดอย่างงี้กับ Toy Story 3 แล้วก็มาเจอ Inside Out ก็คิดงี้อีก มาเจอเรื่องนี้อีกที)
อย่าลืม เตรียมทิชชู่เข้าไปด้วยนะครับ...
#RememberMe #Coco
ชอบฝากกด Like เพจ Share โพสต์ให้กำลังใจกันด้วยเน้อ
หรือมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/bornincity
[CR] COCO ความอิ่มเอมใจจากการกล้าเสี่ยงอีกครั้งของ Pixar
...และความดีงามจาก Disney
ดูจากหน้าหนังแล้วถือเป็นความเสี่ยงขาดทุนระดับมโหฬารจากหลายสาเหตุ
1. ตัวละครไม่ได้ดูน่ารักเหมือนของค่ายแม่อย่าง Disney
2. ถิ่นกำเนิดเรื่องก็ไม่ใช่แบบฝรั่งนิยม
3. เนื้อเรื่องเน้นเกี่ยวกับความตาย ซึ่งเป็นของต้องห้ามเน้นในการ์ตูนดิสนีย์มาช้านาน
แต่ ความกล้าเสี่ยงครั้งนี้ สร้างผลงานระดับ Master Piece อีกชิ้นของ Pixar ที่ยังไม่มี Animation Studios ไหนทำได้
โปรเจคต์นี้ประกาศครั้งแรกชื่อว่า Los Dias de los Muertos หรือ Day of the Dead หรือภาษาไทยคือ เทศกาลวันแห่งความตาย ของชาวแมกซิโก ก็จินตนาการไม่ออกว่า จะทำเรื่องออกมาแนวไหน สุดท้าย มาเปลี่ยนชื่อเรื่องว่า COCO และเล่นสีกับโลโก้ให้ดูมีสีสันเป็นมิตรกับเด็กๆ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรเรื่องเลย (ต้องดูหนังจบถึงจะเข้าใจว่า COCO สำคัญอย่างไร) ดังนั้นเพื่อการ Play Safe ดิสนีย์เลยเอา Olaf’s Frozen Adventure แปะไว้ที่เขานิยามว่าเป็น “หนังสั้น” ซึ่งสั้นบ้าไปถึง 30 นาที อัดเพลงเพราะๆมาให้ถึง 4 เพลง ซึ่งทำให้รู้สึกเสียดายนิดๆว่า คราวนี้อดดูหนังสั้นแปะหัวของคุณภาพของ Pixar แฮะ (แต่ Olaf ก็ทำผมน้ำตาซึมเลยนะ ดังนั้น เข้าโรงเร็วๆล่ะ)
เนื้อเรื่องจากเทรลเลอร์ เกี่ยวกับมิเกลที่อยากเป็นนักดนตรีเหมือนไอดอลเขา Ernesto de la Cruz แต่ครอบครัวเขาเกลียดดนตรีซะงั้น ในวัน Dias de los Muertos มิเกลจึงไปยืมเครื่องดนตรีจากหลุมศพของ Ernesto de la Cruz ทำให้มิเกลเดินทางไปสู่โลกหลังความตายและเจอบรรพบุรุษของเขา เพื่อทราบสาเหตุของการที่ครอบครัวเกลียดดนตรี และพาเขากลับก่อนที่เขาจะกลายเป็นวิญญาณไปด้วย ....จากเนื้อเรื่อง ก็ดูน่าสนใจแล้วแหละ
พอดูจบ บอกเลยว่าหาคำบรรยายไม่ได้ที่จะบอกถึงความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้รับจากเรื่องนี้ ส่วนของภาพหรือ CG ในหนังของค่ายนี้เรียกว่าแยกแทบไม่ออกว่าของจริงหรือ CG ทุกอย่างเหมือนโลกจริงมาก ยกเว้นตัวละครที่ยังคงทำให้เป็นการ์ตูนอยู่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ Pixar มาโดยตลอด ในหนังพูดถึงความเป็นความตายถ้าดูทึมๆก็จะกลายเป็นหนังสยองขวัญได้ ก็เลยเล่นสีแรงฉูดฉาดเพื่อให้ความน่ากลัวของตัวละครที่เป็นวิญญาณและโครงกระดูกดูลดลง คนไทยอาจจะเข้าถึงได้ เพราะเรามีการกราบไหว้รำลึกถึงบรรพบุรุษใกล้เคียงกัน
พูดถึงเนื้อเรื่องกันบ้าง จากความกล้าเสนอเรื่องเกี่ยวกับความตายตรงๆ ทำให้เนื้อเรื่องน่าสนใจ เต็มไปด้วยจินตนาการและเนื้อหาที่กินใจ รวมถึงการกัดจิกผู้ใหญ่กับเด็กตามสไตล์ค่ายนี้(เหมือนจะสอนพ่อแม่ไปในตัว) และความประทับใจของเนื้อเรื่อง ที่นับตั้งแต่ Toy Story 3 ก็น้ำตาแตกกับหนังค่ายนี้หลายเรื่อง
ที่ผ่านมา Pixar ยังไม่มีเพลงประกอบภาพยนต์ที่ตรึงใจผู้ชมได้เท่าไร จนกระทั่งได้คู่ Kristen Anderson-Lopez & Rebert Lopez จากฝั่ง Disney (บางคนถาม ใครหรอ ...ก็คนที่แต่งเพลง Let it go ให้ราชินีเอลซ่าอันโด่งดังนั่นแหละ)มาแต่งเพลง Remember me เพลงนี้เพราะมากกกก ถ้าใครดูหนังแล้วมาฟังอีก ลึกซึ้งกินใจน้ำตาไหลเลยล่ะ
Coco จึงเป็นความกล้าเสี่ยงของ Pixar ที่นำสิ่งที่ดีงามของ Disney และ Pixar มาผสานกันได้อย่างน่าประทับใจ ยากที่จะหาเรื่องไหนเทียบได้อีก (ตอนนั้นก็คิดอย่างงี้กับ Toy Story 3 แล้วก็มาเจอ Inside Out ก็คิดงี้อีก มาเจอเรื่องนี้อีกที)
อย่าลืม เตรียมทิชชู่เข้าไปด้วยนะครับ...
#RememberMe #Coco
ชอบฝากกด Like เพจ Share โพสต์ให้กำลังใจกันด้วยเน้อ
หรือมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/bornincity