แค่อยากระบายและอยากทราบวิธีแก้ปัญหาของท่านที่เคยมีประสบการณ์คล้ายกันค่ะ ตอนนี้เราตกงานมาได้ปีนึงแล้ว ไปสัมพาทย์งานที่ไหนก็ไม่เคยผ่านค่ะ ล่าสุดไปสมัครงานที่ชอบ บริษัทโทรมาคอนเฟิร์มให้เริ่มงานแล้วแต่กลับถูกยกเลิกในถายหลังเพราะเขาตรวจเจอประวัติการทำงานที่เก่าค่ะ
ถ้าไม่ถูกยกเลิกวันนี้คงกำลังนั่งทำงานวันแรก
กระทู้ยาวมากค่ะ แต่เรื่องมันยาวจริงๆ
เรื่องมันเริ่มจากทำงานที่บริษัทA เราชอบสังคมที่นั่นมากค่ะ รู้สึกดีใจที่ได้เจอคนที่มีจริตต้องกันทั้งออฟฟิศ เรากะว่าจะทำงานที่นี่ไปจนตาย แต่แล้วเราก็เริ่มทำงานแย่ลงค่ะ เราจดจำและทำความเข้าใจอะไรได้ยาก เรื่องที่ตัวเองยังไม่ได้ทำก็คิดว่าทำแล้ว เรื่องที่ทำก็จำไม่ได้เลยว่าทำ กังวลและขาดความมั่นใจมากค่ะ เราพยายามจดทุกอย่างที่ทำ และสิ่งที่เราต้องทำเพื่อเตือนตัวเอง เหมือนจะดีค่ะ แต่สุดท้ายเราถูกย้ายไปทำงานที่มีความสำคัญน้อยลง เงินเดือนเท่าเดิม
เราเกรงใจบริษัทมาก รู้สึกตัวเองเอาเปรียบบริษัท แต่จะลาออกก็ไม่กล้าค่ะ เรารักคนที่นี่ และเรายังจำเป็นต้องมีงานทำ ประสิทธิภาพเราแย่ลงเรื่อยๆ เราจะง่วงจนแบบควบคุมไม่ได้2รอบต่อวัน 10โมงกับบ่ายสอง จากการทำงานไปสัปงกไปทำให้เราส่งอีเมลล์ผิดจนได้ใบเตือน เราพยายามทำให้ตัวเองตื่นโดยงดกินข้าวเช้าและกลางวัน กินแค่มื้อเย็นมื้อเดียว ได้ผลค่ะ เลิกง่วงแล้ว ที่ไม่กินกาแฟเพราะกินแล้วหลับทันทีค่ะ
พอเลิกง่วงก็ทำงานได้ดูเป็นปกติ แล้วก็มาส่งเมลล์ผิดอีกรอบ เรารู้ว่าอีเมลล์อะไร ต้องส่งให้ใคร ที่อยู่อีเมลล์อะไร แล้วเราก็พิมพ์อีเมลล์ผู้รับ ตรวจทานอีกทีและกดส่ง สรุปอีเมลล์ที่เราพิมพ์ส่งไปคือซัพพลายเออร์ค่ะ และccหัวหน้า แทนที่จะส่งหาหัวหน้าและccเมมลล์กลางบริษัท ซึ่งอีเมลล์นี้เป็นความลับบริษัท ทุกอย่างจบปิ้ง วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ได้ทำงานกับบริษัทAค่ะ
เขาก็ยังเมตตาให้เขียนใบลาออกเอง จะได้ไม่เสียประวัติและให้เงินเดือนเต็ม เราไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง รู้สึกผิดมากๆและยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิมที่บริษัทAเมตตากับเรามาก เราช็อก ไม่กล้าบอกที่บ้าน ในหัวมีแต่เสียงวิ้งยาวๆ เรารีบหางานใหม่ทันทีทั้งที่ยังอึนๆ เราต้องออกจากบ้านทุกวันเหมือนว่าเรายังทำงานปกติ ไปนั่งจับโปเกม่อนทั้งวันบ้าง ไปร้านเน็ต ไปอยู่บ้านเพื่อน
เราทำแบบนี้จนเพื่อนบอกว่าอย่าจะอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะ เพราะการออกจากบ้านมันมีค่าใช้จ่าย ควรจะบอกความจริงที่บ้านและไม่ใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นจนกว่าจะได้งาน เรากัดฟันบอกที่บ้านค่ะ และตามคาด เรากลายเป็นคนไม่เอาไหนแบบคูณสองในสายตาผู้ปกครอง แต่ก็ต้องทนค่ะ เพื่อจะได้ประหยัดจนกว่าจะได้งานใหม่
เราได้งานใหม่ในอีกสองสัปดาห์ถัดมา และเหมือนเดิม เราจำและทำความเข้าใจอะไรได้ยาก และเสียความมั่นใจยิ่งกว่าเดิม หัวหน้าใหม่เป็นคนใจดีและพยายามกระตุ้นเราค่ะ แต่ไม่รู้กรรมอะไรเราได้ยินเสียวเขาแล้วรู้สึกจี๊ดขึ้นสมองเหมือนตอนที่โมโหจัดๆ เสียงเขาจะแหลมๆและหน้าก็เหมือนเพื่อนคนที่โกงเงินเราไปเป๊ะๆเลยค่ะ เราเลยยิ่งรู้สึกอึดอัดจนต้องแอบไปร้องไห้บ่อยๆ
อยู่ที่นั่นเรานึกว่าเราเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง เราตกใจมากค่ะ มือเท้าเราชา ต้องจิ้มคีย์บอร์ดแรงๆเพราะไม่รู้สึกถึงนิ้วตัวเอง ลิ้นแข็งกดเพดานปากทุกครั้งที่เผลอ น้ำลายก็จะไหลเพราะเหมือนปากปิดไม่แน่น เดินๆอยู่ก็วูบจะล้มเพราะไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ใต้เข้าลงไปค่ะ นั่งเก้าอี้ก็เอียงจนจะล้มเพราะจัดตัวตรงไม่ได้ เราลืมหนักมากด้วย เราจำไม่ได้ว่าเราแสกนบัตรเข้าทำงานรึยัง เราถึงขั้นไปยืนร้องไห้กับHRเพราะจำไม่ได้ว่าตัวเองแสกนบัตรรึยัง ไม่รู้จะร้องไห้ทำไม ร้องแบบหนักมากเหมือนใครตาย มันกลัวแบบไม่มีสาเหตุ น้ำตาไหลก่อนที่จะรู้สึกกลัวซะอีก
จนสุดท้ายเราทนตัวเองในสภาพแวดล้อมนี้ไม่ได้ เราก็ไปขอลาออกทั้งที่เพิ่งทำงานได้แค่2เดือน ลาออกเสร็จปุ๊บเรารีบไปโรงพยาบาลเลย เรากลัวตัวเองตาย ไม่รู้ว่าตัวเองจะวูบล้มให้ตกบันไดหรือให้รถทับตายวันไหน เราโทรบอกแม่ว่าอยู่โรงพยาบาล แม่ก็ตกใจจนเอารถไปจิ้มเสียเงินไปอีกห้าพัน
สรุปหมอวินิจฉัยว่าเครียด เราฟังแล้วก็งงว่าเครียดทำให้เป็นขนาดนี้ได้เลยเหรอ เราก็ขอยืนยันกับหมอว่าไม่ได้เป็นอะไรเกี่ยวกับร่างกายใช่มั้ยคะ หมอยืนยันล้านเปอร์เซนต์ว่าร่างกายเราปกติดี หมอจ่ายยานอนหลับและแก้เครียดให้ แต่เราไม่กินค่ะ เรากลัว วันถัดมาเลยไปโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวชค่ะ สรุปเป็นซึมเศร้าค่ะ เราก็แบบ ฮะ? ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็น เพราะไม่เคยอยากฆ่าตัวตาย เรากลัวเจ็บ เราบอกหมอว่าเราแค่อยากพัก อยากหายไปก่อนแล้วค่อยกลับมาตอนมีเรื่องดีๆ แต่เราพักไม่ได้ เพราะมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ นี่ก็บอกหมอว่า ถ้าวินาทีนี้หนูรวยหนูหายเลยค่ะ ปัญหานี่กังวลเรื่องรายจ่ายล้วนๆ
ป่วยนะ แต่พักไม่ได้ มันเจ็บในใจจี๊ดเลยค่ะ
ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เราได้งานใหม่ในหนึ่งอาทิตย์ และเป็นงานที่ถูกจริตเรามาก ที่ทำงานใกล้บ้าน ชีวิตแฮปปี้มีความสุข รู้สึกดีมากและคิดว่าตัวเองคงจะหายเร็วๆนี้ แต่ก็ดีได้แค่สองเดือนครึ่งมั้งคะ
เราทำงานพลาดและขอให้หัวหน้าใหญ่ช่วย เพราะมันมีความต้องลดกำไร เราเห็นว่าหัวหน้าทีมเรากำลังยุ่งและหงุดหงิดมากค่ะ เราก็ไม่กล้าบอกนาง เรากลัวนางมาก หัวหน้าใหญ่ที่เคยออกตัวว่าถ้ามีอะไรบอกได้เลยนะ หัวหน้าทีมยูค่อนข้างยุ่ง อย่างน้อยก็ยังมีไอช่วยเหลือตรงนี้ได้ เราไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้าขอความช่วยเหลือหัวหน้าใหญ่ทันที
กลายเป็นว่า พฤติกรรมนี้ของเราเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เป็นการข้ามหน้าหัวหน้าทีมและถือเป็นการดูถูกกัน หัวหน้าใหญ่จึงไม่โอเคมากๆ และเรามีปัญหากับหัวหน้าทีมเพราะเราทำงานพลาดและหาหลักฐานไม่ได้ว่าเราไม่ได้ทำงานชิ้นนี้แบบคิดเองเออเอง หัวหน้าทีมกล่าวดังนี้ค่ะ
"ทำไมถึงไม่ถามพี่ก่อน ที่บริษัทไม่เคยมีใครทำแบบนี้นะ พี่ทำงานมา15ปีไม่เคยมีใครทำแบบนี้" นางก็ด่าเรายาวค่ะ เราก็เงียบ นางก็เค้นคอเราว่าไปเอาแพทเทิร์นนี้มาจากไหน จนเราต้องตอบไปว่า วันนั้นหนูถามพี่อ่ะค่ะ หนูเพิ่งมา หนูไม่มั่นใจ หนูคิดแพทเทิร์นนี้เองไม่ได้ค่ะ เพราะหนูไม่รู้จัก
นางก็สวนมาว่า แล้วทำไมตอนส่งอีเมลล์ล่ะมั่นใจนัก ไม่เคยถามพี่
ขุ่นพระ เราส่งอีเมลล์เองก็เมลล์เรื่องที่เคยถามแล้ว รูปแบบก็เดิมๆ ถามอีกก็กลัวโดนด่า แล้วส่งเองแค่ไม่กี่เมลล์ (เราประสาทกินมากกลัวโดนคนอื่นเกลียดเลยไม่กล้ารบกวนใครถ้าไม่จำเป็น)
งานที่พลาดมันมีสองงาน งานแรกนางก็ไปหามาได้ว่าไม่ใช่ความผิดนางแน่นอนเพราะวันนั้นนางไม่ได้เข้างาน ณ จุดนี้เราวิ้งเลยค่ะ เอาอีกแล้ว เราไปมโนมาจากไหน แล้วเราเอาแพทเทิร์นนี้มาได้ไง
ส่วนงานที่สองเราจำได้ชัดเจนว่าถามนาง จำได้แม้กระทั่งคำพูดที่ใช้ถาม แต่นางบอกว่านางความจำดีมาก และแพทเทิร์นนี้นางไม่มีทางจัดเด็ดขาด พูดมาขนาดนี้แล้วเราก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อได้ เราก็มั่นใจอะไรไม่ได้อีก ยิ่งสมองไม่ดี จำสับสนเหตุการณ์เราก็ได้แต่คิดว่าตัวเองเลอะเลือน เราก็ขอโทษนาง เราก็ว่าหนูผีหลอกอีกแล้ว นางรับไม่ได้กับคำว่าผีหลอกค่ะ
สามวันถัดมาเราถูกให้ออก ไม่ต้องเขียน ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เอาของตัวเองกลับไปก็พอ และบริษัทก็ลงไม่ให้เราผ่านโปร ก็ตามนั้นค่ะ เราก็ร้องไห้เหมือนใครตายอีก เพราะผิดหวังในตัวเองมากๆที่ไม่สามารถรักษางานที่นี่ไว้ได้ เราเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และอยากจะตายขึ้นมาจริงๆ เราเหนื่อยกับตัวเองและรับไม่ไหวที่ตัวเองเป็นแบบนี้
เราก็กลายเป็นผู้ไม่มีรายได้ เงินก็ไม่มีจ่ายกยศ. เลยโทรไปขอผ่อนผัน แต่เคสเราไม่ผ่านเงื่อนไขการผ่อนผัน ไม่รู้จะโดนฟ้องวันไหน คราวนี้ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ผ่าน ว่างงานเป็นปี ประวัติการทำงานเสียไม่มีใครอยากได้ เราก็ไปทำเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารค่ะ ทำได้ไม่นานก็ต้องออกอีกเพราะข้อเข่าอักเสบ ผู้ใหญ่ในบ้านก็เอือมระอา อายุจะสามสิบยังต้องมาเกาะแม่กิน จะค้าขายก็ไม่มีหัว ไม่มั่นใจว่าจะคืนทุนได้ เพราะต้องไปขอทุนชาวบ้าน ไม่กล้าเสี่ยงเอาเงินคนอื่นมาทำจริงๆค่ะ
ญาติๆก็เอาไปพูดกันทั้งหมู่บ้านว่าเราไม่ทำงาน เกาะแม่กิน ไม่มีปัญญาเลี้ยงตัวเองแล้วยังจะเลี้ยงแมวอีก ทำไมไม่ฆ่าทิ้งซะหรือไม่ก็เอาไปปล่อย เราเสียใจมากค่ะที่โดนญาติๆว่าแบบนั้น แต่ก็เถียงอะไรไม่ได้เพราะมันเรื่องจริง เราอายมากๆค่ะ และเกลียดตัวเองมากด้วย แต่เราก็ยังไม่ยอมแพ้เราเชื่อว่าเราไม่ได้ไร้ความสามารถ เรากำลังจะหาย เรากำลังจะกลับมาทำงานได้ดี เราบอกตัวเองแบบนั้น
เราหางานไปเรื่อยๆ ล่าสุดก็ตามที่เล่าไว้ด้านบน เราเจองานสายเดิมที่เราเคยทำตั้งแต่บริษัทAเราผิดที่ไม่กล้าบอกความจริงว่าเราไม่ผ่านงานบริษัทล่าสุด และบอกว่าทำมา5เดือน ทั้งที่ทำมาแค่สองเดือนกว่า แต่เรามั่นใจประสบการณ์ทั้งหมดจากที่อื่นของเราที่มีมากกว่า5เดือนไง เลยโม้ไปแบบนั้น พอเขาไปเช็กประวัติก็กลายเป็นโป๊ะแตกจับโกหกได้ ก็เลยถูกยกเลิกงาน ทำตัวเองแท้ๆค่ะ
เราไม่รู้ว่าจะให้สัมพาทย์งานต่อไปยังไงดีค่ะ บอกความจริงเขาก็ไม่รับ โม้ก็ไม่ได้ จะพูดความจริงยังไงไม่ให้คนสัมพาทย์รู้สึกว่าเราน่าเกลียดคะ อยากได้งาน อยากจ่ายกยศ. ไม่อยากโดนฟ้อง
ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคซึมเศร้าประสิทธิภาพการทำงานตกต่ำจนโดนไล่ออกและตกงานยาวกว่าหนึ่งปี
ถ้าไม่ถูกยกเลิกวันนี้คงกำลังนั่งทำงานวันแรก
กระทู้ยาวมากค่ะ แต่เรื่องมันยาวจริงๆ
เรื่องมันเริ่มจากทำงานที่บริษัทA เราชอบสังคมที่นั่นมากค่ะ รู้สึกดีใจที่ได้เจอคนที่มีจริตต้องกันทั้งออฟฟิศ เรากะว่าจะทำงานที่นี่ไปจนตาย แต่แล้วเราก็เริ่มทำงานแย่ลงค่ะ เราจดจำและทำความเข้าใจอะไรได้ยาก เรื่องที่ตัวเองยังไม่ได้ทำก็คิดว่าทำแล้ว เรื่องที่ทำก็จำไม่ได้เลยว่าทำ กังวลและขาดความมั่นใจมากค่ะ เราพยายามจดทุกอย่างที่ทำ และสิ่งที่เราต้องทำเพื่อเตือนตัวเอง เหมือนจะดีค่ะ แต่สุดท้ายเราถูกย้ายไปทำงานที่มีความสำคัญน้อยลง เงินเดือนเท่าเดิม
เราเกรงใจบริษัทมาก รู้สึกตัวเองเอาเปรียบบริษัท แต่จะลาออกก็ไม่กล้าค่ะ เรารักคนที่นี่ และเรายังจำเป็นต้องมีงานทำ ประสิทธิภาพเราแย่ลงเรื่อยๆ เราจะง่วงจนแบบควบคุมไม่ได้2รอบต่อวัน 10โมงกับบ่ายสอง จากการทำงานไปสัปงกไปทำให้เราส่งอีเมลล์ผิดจนได้ใบเตือน เราพยายามทำให้ตัวเองตื่นโดยงดกินข้าวเช้าและกลางวัน กินแค่มื้อเย็นมื้อเดียว ได้ผลค่ะ เลิกง่วงแล้ว ที่ไม่กินกาแฟเพราะกินแล้วหลับทันทีค่ะ
พอเลิกง่วงก็ทำงานได้ดูเป็นปกติ แล้วก็มาส่งเมลล์ผิดอีกรอบ เรารู้ว่าอีเมลล์อะไร ต้องส่งให้ใคร ที่อยู่อีเมลล์อะไร แล้วเราก็พิมพ์อีเมลล์ผู้รับ ตรวจทานอีกทีและกดส่ง สรุปอีเมลล์ที่เราพิมพ์ส่งไปคือซัพพลายเออร์ค่ะ และccหัวหน้า แทนที่จะส่งหาหัวหน้าและccเมมลล์กลางบริษัท ซึ่งอีเมลล์นี้เป็นความลับบริษัท ทุกอย่างจบปิ้ง วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ได้ทำงานกับบริษัทAค่ะ
เขาก็ยังเมตตาให้เขียนใบลาออกเอง จะได้ไม่เสียประวัติและให้เงินเดือนเต็ม เราไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกยังไง รู้สึกผิดมากๆและยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิมที่บริษัทAเมตตากับเรามาก เราช็อก ไม่กล้าบอกที่บ้าน ในหัวมีแต่เสียงวิ้งยาวๆ เรารีบหางานใหม่ทันทีทั้งที่ยังอึนๆ เราต้องออกจากบ้านทุกวันเหมือนว่าเรายังทำงานปกติ ไปนั่งจับโปเกม่อนทั้งวันบ้าง ไปร้านเน็ต ไปอยู่บ้านเพื่อน
เราทำแบบนี้จนเพื่อนบอกว่าอย่าจะอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะ เพราะการออกจากบ้านมันมีค่าใช้จ่าย ควรจะบอกความจริงที่บ้านและไม่ใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นจนกว่าจะได้งาน เรากัดฟันบอกที่บ้านค่ะ และตามคาด เรากลายเป็นคนไม่เอาไหนแบบคูณสองในสายตาผู้ปกครอง แต่ก็ต้องทนค่ะ เพื่อจะได้ประหยัดจนกว่าจะได้งานใหม่
เราได้งานใหม่ในอีกสองสัปดาห์ถัดมา และเหมือนเดิม เราจำและทำความเข้าใจอะไรได้ยาก และเสียความมั่นใจยิ่งกว่าเดิม หัวหน้าใหม่เป็นคนใจดีและพยายามกระตุ้นเราค่ะ แต่ไม่รู้กรรมอะไรเราได้ยินเสียวเขาแล้วรู้สึกจี๊ดขึ้นสมองเหมือนตอนที่โมโหจัดๆ เสียงเขาจะแหลมๆและหน้าก็เหมือนเพื่อนคนที่โกงเงินเราไปเป๊ะๆเลยค่ะ เราเลยยิ่งรู้สึกอึดอัดจนต้องแอบไปร้องไห้บ่อยๆ
อยู่ที่นั่นเรานึกว่าเราเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง เราตกใจมากค่ะ มือเท้าเราชา ต้องจิ้มคีย์บอร์ดแรงๆเพราะไม่รู้สึกถึงนิ้วตัวเอง ลิ้นแข็งกดเพดานปากทุกครั้งที่เผลอ น้ำลายก็จะไหลเพราะเหมือนปากปิดไม่แน่น เดินๆอยู่ก็วูบจะล้มเพราะไม่มีความรู้สึกตั้งแต่ใต้เข้าลงไปค่ะ นั่งเก้าอี้ก็เอียงจนจะล้มเพราะจัดตัวตรงไม่ได้ เราลืมหนักมากด้วย เราจำไม่ได้ว่าเราแสกนบัตรเข้าทำงานรึยัง เราถึงขั้นไปยืนร้องไห้กับHRเพราะจำไม่ได้ว่าตัวเองแสกนบัตรรึยัง ไม่รู้จะร้องไห้ทำไม ร้องแบบหนักมากเหมือนใครตาย มันกลัวแบบไม่มีสาเหตุ น้ำตาไหลก่อนที่จะรู้สึกกลัวซะอีก
จนสุดท้ายเราทนตัวเองในสภาพแวดล้อมนี้ไม่ได้ เราก็ไปขอลาออกทั้งที่เพิ่งทำงานได้แค่2เดือน ลาออกเสร็จปุ๊บเรารีบไปโรงพยาบาลเลย เรากลัวตัวเองตาย ไม่รู้ว่าตัวเองจะวูบล้มให้ตกบันไดหรือให้รถทับตายวันไหน เราโทรบอกแม่ว่าอยู่โรงพยาบาล แม่ก็ตกใจจนเอารถไปจิ้มเสียเงินไปอีกห้าพัน
สรุปหมอวินิจฉัยว่าเครียด เราฟังแล้วก็งงว่าเครียดทำให้เป็นขนาดนี้ได้เลยเหรอ เราก็ขอยืนยันกับหมอว่าไม่ได้เป็นอะไรเกี่ยวกับร่างกายใช่มั้ยคะ หมอยืนยันล้านเปอร์เซนต์ว่าร่างกายเราปกติดี หมอจ่ายยานอนหลับและแก้เครียดให้ แต่เราไม่กินค่ะ เรากลัว วันถัดมาเลยไปโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวชค่ะ สรุปเป็นซึมเศร้าค่ะ เราก็แบบ ฮะ? ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็น เพราะไม่เคยอยากฆ่าตัวตาย เรากลัวเจ็บ เราบอกหมอว่าเราแค่อยากพัก อยากหายไปก่อนแล้วค่อยกลับมาตอนมีเรื่องดีๆ แต่เราพักไม่ได้ เพราะมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ นี่ก็บอกหมอว่า ถ้าวินาทีนี้หนูรวยหนูหายเลยค่ะ ปัญหานี่กังวลเรื่องรายจ่ายล้วนๆ
ป่วยนะ แต่พักไม่ได้ มันเจ็บในใจจี๊ดเลยค่ะ
ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เราได้งานใหม่ในหนึ่งอาทิตย์ และเป็นงานที่ถูกจริตเรามาก ที่ทำงานใกล้บ้าน ชีวิตแฮปปี้มีความสุข รู้สึกดีมากและคิดว่าตัวเองคงจะหายเร็วๆนี้ แต่ก็ดีได้แค่สองเดือนครึ่งมั้งคะ
เราทำงานพลาดและขอให้หัวหน้าใหญ่ช่วย เพราะมันมีความต้องลดกำไร เราเห็นว่าหัวหน้าทีมเรากำลังยุ่งและหงุดหงิดมากค่ะ เราก็ไม่กล้าบอกนาง เรากลัวนางมาก หัวหน้าใหญ่ที่เคยออกตัวว่าถ้ามีอะไรบอกได้เลยนะ หัวหน้าทีมยูค่อนข้างยุ่ง อย่างน้อยก็ยังมีไอช่วยเหลือตรงนี้ได้ เราไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้าขอความช่วยเหลือหัวหน้าใหญ่ทันที
กลายเป็นว่า พฤติกรรมนี้ของเราเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เป็นการข้ามหน้าหัวหน้าทีมและถือเป็นการดูถูกกัน หัวหน้าใหญ่จึงไม่โอเคมากๆ และเรามีปัญหากับหัวหน้าทีมเพราะเราทำงานพลาดและหาหลักฐานไม่ได้ว่าเราไม่ได้ทำงานชิ้นนี้แบบคิดเองเออเอง หัวหน้าทีมกล่าวดังนี้ค่ะ
"ทำไมถึงไม่ถามพี่ก่อน ที่บริษัทไม่เคยมีใครทำแบบนี้นะ พี่ทำงานมา15ปีไม่เคยมีใครทำแบบนี้" นางก็ด่าเรายาวค่ะ เราก็เงียบ นางก็เค้นคอเราว่าไปเอาแพทเทิร์นนี้มาจากไหน จนเราต้องตอบไปว่า วันนั้นหนูถามพี่อ่ะค่ะ หนูเพิ่งมา หนูไม่มั่นใจ หนูคิดแพทเทิร์นนี้เองไม่ได้ค่ะ เพราะหนูไม่รู้จัก
นางก็สวนมาว่า แล้วทำไมตอนส่งอีเมลล์ล่ะมั่นใจนัก ไม่เคยถามพี่
ขุ่นพระ เราส่งอีเมลล์เองก็เมลล์เรื่องที่เคยถามแล้ว รูปแบบก็เดิมๆ ถามอีกก็กลัวโดนด่า แล้วส่งเองแค่ไม่กี่เมลล์ (เราประสาทกินมากกลัวโดนคนอื่นเกลียดเลยไม่กล้ารบกวนใครถ้าไม่จำเป็น)
งานที่พลาดมันมีสองงาน งานแรกนางก็ไปหามาได้ว่าไม่ใช่ความผิดนางแน่นอนเพราะวันนั้นนางไม่ได้เข้างาน ณ จุดนี้เราวิ้งเลยค่ะ เอาอีกแล้ว เราไปมโนมาจากไหน แล้วเราเอาแพทเทิร์นนี้มาได้ไง
ส่วนงานที่สองเราจำได้ชัดเจนว่าถามนาง จำได้แม้กระทั่งคำพูดที่ใช้ถาม แต่นางบอกว่านางความจำดีมาก และแพทเทิร์นนี้นางไม่มีทางจัดเด็ดขาด พูดมาขนาดนี้แล้วเราก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อได้ เราก็มั่นใจอะไรไม่ได้อีก ยิ่งสมองไม่ดี จำสับสนเหตุการณ์เราก็ได้แต่คิดว่าตัวเองเลอะเลือน เราก็ขอโทษนาง เราก็ว่าหนูผีหลอกอีกแล้ว นางรับไม่ได้กับคำว่าผีหลอกค่ะ
สามวันถัดมาเราถูกให้ออก ไม่ต้องเขียน ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เอาของตัวเองกลับไปก็พอ และบริษัทก็ลงไม่ให้เราผ่านโปร ก็ตามนั้นค่ะ เราก็ร้องไห้เหมือนใครตายอีก เพราะผิดหวังในตัวเองมากๆที่ไม่สามารถรักษางานที่นี่ไว้ได้ เราเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และอยากจะตายขึ้นมาจริงๆ เราเหนื่อยกับตัวเองและรับไม่ไหวที่ตัวเองเป็นแบบนี้
เราก็กลายเป็นผู้ไม่มีรายได้ เงินก็ไม่มีจ่ายกยศ. เลยโทรไปขอผ่อนผัน แต่เคสเราไม่ผ่านเงื่อนไขการผ่อนผัน ไม่รู้จะโดนฟ้องวันไหน คราวนี้ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ผ่าน ว่างงานเป็นปี ประวัติการทำงานเสียไม่มีใครอยากได้ เราก็ไปทำเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารค่ะ ทำได้ไม่นานก็ต้องออกอีกเพราะข้อเข่าอักเสบ ผู้ใหญ่ในบ้านก็เอือมระอา อายุจะสามสิบยังต้องมาเกาะแม่กิน จะค้าขายก็ไม่มีหัว ไม่มั่นใจว่าจะคืนทุนได้ เพราะต้องไปขอทุนชาวบ้าน ไม่กล้าเสี่ยงเอาเงินคนอื่นมาทำจริงๆค่ะ
ญาติๆก็เอาไปพูดกันทั้งหมู่บ้านว่าเราไม่ทำงาน เกาะแม่กิน ไม่มีปัญญาเลี้ยงตัวเองแล้วยังจะเลี้ยงแมวอีก ทำไมไม่ฆ่าทิ้งซะหรือไม่ก็เอาไปปล่อย เราเสียใจมากค่ะที่โดนญาติๆว่าแบบนั้น แต่ก็เถียงอะไรไม่ได้เพราะมันเรื่องจริง เราอายมากๆค่ะ และเกลียดตัวเองมากด้วย แต่เราก็ยังไม่ยอมแพ้เราเชื่อว่าเราไม่ได้ไร้ความสามารถ เรากำลังจะหาย เรากำลังจะกลับมาทำงานได้ดี เราบอกตัวเองแบบนั้น
เราหางานไปเรื่อยๆ ล่าสุดก็ตามที่เล่าไว้ด้านบน เราเจองานสายเดิมที่เราเคยทำตั้งแต่บริษัทAเราผิดที่ไม่กล้าบอกความจริงว่าเราไม่ผ่านงานบริษัทล่าสุด และบอกว่าทำมา5เดือน ทั้งที่ทำมาแค่สองเดือนกว่า แต่เรามั่นใจประสบการณ์ทั้งหมดจากที่อื่นของเราที่มีมากกว่า5เดือนไง เลยโม้ไปแบบนั้น พอเขาไปเช็กประวัติก็กลายเป็นโป๊ะแตกจับโกหกได้ ก็เลยถูกยกเลิกงาน ทำตัวเองแท้ๆค่ะ
เราไม่รู้ว่าจะให้สัมพาทย์งานต่อไปยังไงดีค่ะ บอกความจริงเขาก็ไม่รับ โม้ก็ไม่ได้ จะพูดความจริงยังไงไม่ให้คนสัมพาทย์รู้สึกว่าเราน่าเกลียดคะ อยากได้งาน อยากจ่ายกยศ. ไม่อยากโดนฟ้อง