ทำไม..หลังแต่งงานกลับรู้สึกอ้างว้างและเหงากว่าตอนที่เป็นโสด ?

ก่อนอื่นต้องเล่าให้ฟังก่อนนะคะ เราอายุ 34 ปี อดีตทำงานออฟฟิศย่านสยามค่ะ เป็นไลฟ์สไตล์สาวออฟฟิศคนเมือง
โดยปกติพื้นเพ เราเป็นคนที่สนุกสนานร่าเริง ชอบไปเที่ยวผับ ชอบปาร์ตี้ กับเพื่อนเสมอๆ
ใช้ชีวิตแบบขาดเพื่อนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะไปไหน ทำอะไร ก็ต้องมีเพื่อนไปด้วยตลอด เราเป็นคนขี้เหงา
สมัยตอนเป็นโสด เราทำงาน 5 วันเต็ม เราบ้างาน ชอบทำงาน
ส่วนวันหยุดอีก 2 วัน ที่เหลือก็จะไม่ค่อยอยู่บ้าน ต้องไปเที่ยวไปดื่มกับเพื่อน
เราก็รู้สึกว่าใช้ชีวิตแบบนี้ก็มีความสุขดี เราชอบมัน เราใช้ชีวิตแบบนี้มาจนอายุเกือบ 30 ปี
จนวันนึงที่รู้สึกว่าอยากแต่งงาน ชีวิตมันก็เลยมาถึงจุดเปลี่ยน


อยู่ๆฟ้าก็เปิด เหมือนเป็นพรหมลิขิต อยู่ดีๆ เราก็เจอผู้ชายคนนึงที่คบกันแล้วรู้สึกว่าเขาใช่ นี่แหละพ่อของลูก
เราก็เลยตัดสินใจแต่งงานกัน หลังจากดูใจกันได้สักพัก
เพราะเค้าเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่เราเป็นอย่างดี ดีกว่าผู้ชายทุกคนที่เราเคยคบมา
เค้ามีเวลาให้เราเยอะมาก เพราะเค้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เขาเลิกงานไว
ส่วนเราทำงานเอกชน ก็จะเลิกงานค่ำหน่อย ทุกเย็นเค้าจะมารับเรากลับบ้าน
จากที่เคยนั่งบีทีเอสไปทำงาน ต้องกินข้าวหรู ต้องเที่ยวผับ ต้องปาร์ตี้
พอมาคบกับแฟนคนนี้ ชีวิตมันก็เริ่มค่อยๆเปลี่ยนไป เพื่อนหายไป สังคมหายไป ช็อปปิ้งหายไป เรากลับกลายมาเป็น "แม่บ้าน"
ในขณะเดียวกัน ตอนั้นเราก็รู้สึกดีมาก เพราะว่าแฟนคนนี้ดูแลเราดีมาก
เติมเต็มทุกอย่างที่เราขาดหายไป เค้าเอาใจใส่เราทุกอย่าง
(อาจจะเพราะเค้ามีเวลาเยอะ ต่างกับผู้ชายคนอื่นๆที่เราเคยคบมา เพราะต่างคนต่างบ้างาน ก็จะไม่ค่อยได้ดูแลใจกัน
แต่แฟนปัจจุบันทำงานราชการ 08.00-16.00 น. หยุดเสาร์-อาทิตย์ เค้าก็จะมีเวลาทุ่มให้เราเยอะ แบบถึงไหนถึงกันค่ะ
อยากไปไหนบอก อยากทำอะไรบอก ขอแค่ให้บอก...
เขาทำให้ได้ทุกอย่างจริงๆ เค้าทำให้เรารู้สึกว่าเขารักเรามากกกก แบบขาดเราไม่ได้)


จนเค้ากลายเป็นทั้งเพื่อน และกลายมาเป็นโลกทั้งใบของเรา ชีวิตเรามีแต่เขา
เรารู้สึกดีและมีความสุข ประทับใจไปกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และเรารักกันมากขึ้นๆทุกวัน

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ค่อยๆเปลี่ยนตัวเรา
จากไลฟ์สไตล์คนในเมือง ต้องทำตัวชิคๆ ต้องเดินห้าง ต้องปาร์ตี้
เรากลายเป็นคนติดบ้าน เลิกงานต้องกลับบ้าน เพราะแฟนเป็นคนไม่ชอบไปไหน
แฟนชอบกินกับข้าวที่บ้าน ไม่ชอบไปทานที่ห้าง เพราะฉะนั้นมื้อเย็นเราก็จะได้ทานอาหารร่วมกันที่บ้านเสมอๆ
เราดูแลกันดี รักกันมาก ทุกคนที่ผ่านไปมาอิจฉาพวกเรา เพราะเค้าคิดว่าคู่เราสวีทกัน ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋


แต่แล้ววันนึง....ความรู้สึกเรามันก็เริ่มเปลี่ยน
เรารู้สึกว่า ความเป็นตัวตนของเราจริงๆ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น
เราไม่ได้เป็นแม่ศรีเรือน เราไม่ได้อยากมีลูก เราไม่ได้อยากทำกับข้าวกินที่บ้านทุกวัน
เราอยากไปใช้ชีวิตสนุกสนานเฮอาบ้าง อยากเดินห้างช็อปปิ้ง อยากกินอาหารหรูๆ อยากใส่ส้นสูงไปจิบไวน์
อยากมีเพื่อนที่ไปผับด้วยกัน เราเริ่มโหยหาไลฟ์สไตล์แบบเดิมๆ เพราะหลังจากเราแต่งงานชีวิต สังคม และเพื่อนเก่าๆก็ห่างจากเราไป

เราก็พยายามแก้ปัญหา ด้วยการชวนแฟนไปทำกิจกรรมแบบนั้น กิจกรรมที่เราเคยคิดว่ามันสนุก
ตอนนี้เราแค่รู้สึกว่าเราเบื่อ เราขอแค่ 1-2 วัน เท่านั้น ที่อยากทำอะไรแบบที่เราเคยเป็น และขอแค่นานๆครั้ง สัก 3-4 เดือนครั้ง ก็ยังดี
ซึ่งเราเคยใช้ชีวิตแบบนั้น และเรามีความสุขกับมันดี แต่ชีวิตดี๊ด๊าอะไรแบบนั้นมันหายไปนานมากๆแล้ว
เป็นเวลาหลายปีนะคะ ที่เราตัดขาดตัวเองออกจากชีวิตที่เราเคยชอบ
เรากลายมาเป็นแม่บ้านหัวยุ่ง ซักผ้า รีดผ้า ไม่ได้ไปเที่ยวไหน ไปทำงานและกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน
เรารู้สึกว่าชีวิตมันเริ่มจำเจ จำเจ จำเจ จำเจ ทุกวัน
ทุกอย่างมันอยู่ในกรอบเดิมๆ ตื่นเวลาเดิม อาบน้ำ กินข้าว เลิกงาน กลับบ้านมาทำกับข้าวเย็น ให้อาหารนก เปลี่ยนน้ำให้ปลา แล้วก็นอน ซ้ำแบบนี้
เราไม่ค่อยได้ไปช็อปปิ้ง เพราะแฟนจะหน้าบึ้งทุกครั้งที่เราเข้าไปดูไปลองรองเท้า ไปเลือกกระเป๋า
เราไม่ค่อยได้ไปเจอเพื่อน เพราะเพื่อนเราเป็นสายปาร์ตี้ แฟนเค้าก็แอนตี้
เราไม่ค่อยได้โทรคุยอะไรกับเพื่อน เพราะไม่รู้จะเล่าอะไร รู้สึกว่าคงไม่มีใครอยากฟังปัญหาของเรา
โทรไปทีไร ก็มีแต่ปัญหาไปให้เพื่อนช่วยแก้ ตอนหลังก็เลยคิดว่าไม่ โทรปรึกษาใครดีกว่า

นาทีนั้น เรารู้สึกว่า เราเบื่อ เราเหงา เราอยากสนุก เราขอแฟนว่าพาเราไปเที่ยวหน่อย แบบที่เราเคยอยากไป
เราไม่ได้ลงรายละเอียดนะ ว่าเราอยากทำอะไร ที่ไหน เพราะไม่อยากไปกดดันเค้า
ไม่อยากไปสั่งเค้าว่า ต้องแบบนั้นแบบนี้ แต่ออกแนวเสนอ เพื่ออยากให้เค้าช่วยกันคิดว่าไปไหนกันดีๆ

เราแค่บอกว่า เราอยากไปเที่ยวลั้นล้าบ้าง ไปดื่มกันมั้ย ?
เราอยากทานอาหารบนรูฟท๊อป ใส่ส้นสูงสวยๆ ไปจิบไวน์ แล้วถ่ายรูปลงเฟสบุ๊คกันบ้างดีกว่า ไปที่ไหนก็ได้
ให้เค้าเลือกร้าน ให้เค้าเลือกโลเคชั่น ....

เพราะทุกวันนี้ภาพในเฟสเรามีแต่รูปคู่ ที่ถ่ายบริเวณสวนดอกไม้ ตลาดน้ำฯ ข้างน้ำตก ริมภูเขา กว่า 90 เปอร์เซ็น
นั่นเพราะเราเลือกที่จะโคจรตัวเอง ไปตามไลฟ์สไตล์แบบที่แฟนชอบ
และทิ้งความเป็นตัวเราไว้เบื้องหลัง เพราะเราคิดว่าถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบที่เราชอบอยู่
แล้วเรายังคบกันแฟนคนนี้ ชีวิตครอบครัวเราพังแน่ๆ เพราะเขาคงไม่เข้าใจตัวตนของเรา
สุดท้ายก็เลยเอ่ยปากถามแฟนไปแบบนั้น......


ในที่สุดคำตอบที่เขาตอบเรากลับมา หลังจากที่ชวนไปเที่ยวในแบบที่เราชอบ คือ  
"..............อืมม............"


งั้น...อาทิตย์นี้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันไหม เขาอยากไปดูทุ่งดอกทานตะวัน
อยากไปเที่ยวตลาดน้ำ อยากไปให้อาหารสัตว์ อยากไปกางเต๊นท์ ฯลฯ
เราน้ำตาแทบเอ่อเลย....ความรู้สึกมันเย็นๆที่มือนะ
แล้วคำถามมันก็เด้งกลับมาที่เรา เหมือนคนได้สติทันที!

"นี่...ฉันทำอะไรอยู่วะเนี้ย??"



ตอนนี้ความรู้สึกเรากลับกลายเป็นว่า เราอ้างว้าง โดดเดี่ยว และเราอยู่ตัวคนเดียว
ความรู้สึกที่ดีๆกับแฟน มันก็ยังอยู่นะ ยังรักเขาเหมือนเดิม เขาไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเรา
แต่ว่าความเบื่อมันเริ่มเข้ามาแซกทีละนิดๆ เราคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครผิด และเราก็ไม่คิดจะไปโทษใคร
หรือโทษการตัดสินใจอะไรใดๆที่ผ่านมาทั้งสิ้น เพราะทุกอย่างเกิดขึนจากความรักของเราทั้งคู่
และเป็นความสมัครใจของเราจริงๆที่จะเปลี่ยนตัวเราเอง ขนาดนี้

แต่ตอนนี้....เรารู้สึกว่ามันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
คำถามในใจมันดังตลอดว่า "ฉันอยากใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆอีกกี่ปี......?"
"ฉัน....มาทำอะไรอยู่ตรงนี้?"


เราไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไรกับปัญหาเหล่านี้ต่อ
ทุกวันเหมือนมันจะบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ นับวันคำถามมันยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
เราพยามประคับประคองทุกอย่างให้ดีที่สุด แฟนไม่เคยรู้นะ ว่าเราคิดไม่สบายใจเรื่องนี้
ถ้าความทุกข์จะเกิดขึ้น ขอให้มันเกิดกับเราคนเดียว และไม่อยากให้ใครมารับความรู้สึกแย่ๆแบบนี้
แต่เราก็ไม่รู้จะจัดการกับปัญหาอย่างไร ให้มันออกมาดีที่สุด ไม่รู้จริงๆ

.............เราควรทำอย่างไรต่อไปดี.............
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 58
ผมอยากจะบอกแบบนี้ ในกระทู้นี้เหมือนมีคนมาติคุณ มาว่าคุณ เจ้าของกระทู้  ว่าตัวเขาก็นิสัยเหมือนแฟนเจ้าของกระทู้
ผู้ชายแบบนี้ก็น่าตบกระบาลนะครับ เพราะเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ จนลืมคนคิดของคนเป็นแฟน ซึ่งผมเรียกผู้ชายพวกนี้ ว่า เห็นแก่ตัว

แต่หลักๆควรจะเปิดใจคุยกับแฟนดูนะครับ บ้างครั้งไลย์สไตย์ของเราแต่ก่อนมันเป็นไลย์สไตย์ที่มีความสุข แม้ว่ามันดูอาจจะสนุกหรือไม่มีหลักการไม่มีเป้าหมาย  ซึ่งผมว่ามันไม่เกี่ยวนะ   ส่วนตัวผมไม่มีครอบครัวนะ แต่ก็เห็นใจผู้หญิงที่ชีวิตต้องเปลี่ยนไป แต่ก่อนเคยมีความสุข แต่อยู่ดีๆวันนึงกลับต้องมาใช้ชีวิตจำเจ  คือก็เข้าใจว่าแฟนเจ้าของกระทู้นิสัยดีนะครับ แต่เราควรคุยกันครับ ขับเขาคุยเลย เพราะผู้ชายแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ความคิดเห็นที่ 4
ไม่ต้อง"ชวนหรือพาเขาไปค่ะ" นั่นไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของเขา คุณให้เขาฝืนใจไปด้วยเขาก็ไม่สนุก ชวนเขาไปด้วยบ่อยๆเข้าเขาก็จะรู้สึกเหมือนคุณตอนเขาพาไปตลาดน้ำ คือไปได้นะแต่ไม่มีความสุข

คุยกับเขาตรงๆค่ะว่าคุณขอไปดื่มเที่ยวกับเพื่อนบ้างนานๆครั้งโดยที่เขาไม่ต้องไปด้วย คุณไปกับเพื่อนสาวตามลำพัง คุยให้เขาเข้าใจว่าคุณยังรักเขา รักไลฟ์สไตล์ของเขา แต่คุณยังมีมุมที่อยากสนุกของตัวเองด้วย ขอไปปลดปล่อยบ้าง ค่อยๆคุยกันนะคะ อย่าชวนทะเลาะ ค่อยๆอ้อนค่อยๆกล่อม ใหม่ๆเขาอาจไม่ชิน อาจนอยด์ว่าคุณไม่ชอบสิ่งที่เขาชวนทำ ค่อยๆอธิบายไป
ความคิดเห็นที่ 2
ผมคิดว่า ผมเป็นคนที่คล้ายๆแฟนคุณนะ

งั้นผมขอตอบตามความเห็นเลยว่า ไลฟ์สไตล์ ไม่ตรงกันครับ เขาเป็นผู้ชายนิ่งๆ และดูเหมือนเป็นคนที่ประหยัด อดออม ซึ่งต่างจากคุณ

ถ้าคุณคิดว่า คุณไม่สามารถอยู่กับสิ่งจำเจพวกนี้ได้แล้ว ผมแนะนำให้คุณทำในสิ่งที่อยากทำครับ ทำในสิ่งที่คุณคิดว่ามีความสุข

สุดท้าย ถ้าผู้ชายยอมเปลี่ยนตัวเขาเอง คุณก็จะมีความสุข

แต่ถ้าผู้ชายทนไม่ได้ เขาก็คงแสดงออกให้เรารับรู้บ้างอย่าง จากนั้นคุณก็คุยกับเขาเลยว่า จะแยกกัน หรือ จะอยู่กันต่อ

ถ้าเป็นผม ถ้าแฟนผมใช้เงินเพื่อสนองความสุขของตัวเองมากเกินไป หรือว่าอยู่ไม่ติดบ้าน ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ผมก็ขอแย่งทางนะครับ

ผมว่าคุณยังติดเล่นอยู่และยังไม่มีเป้าหมายใหญ่ๆในชีวิต เพียงแต่ใช้ชีวิตและหาความสุขใส่ตัวไปวันๆครับ
ความคิดเห็นที่ 11
ใจเย็นๆ  เวลาไปผับแล้วเห็นกลุ่มป้าๆ 35+ นี้เซ็งเลย สีก็ไม่ได้ เดี๋ยวผัวเขามาตาม 55+  ชีวิตมันก็ตามวัยแหละครับ คุณจะเที่ยวผับได้อีกกี่ปีกัน

เพื่อนฝูงแก๊งเที่ยวเดี๋ยวก็แยกย้ายไปครอบครัวใครครอบครัวมันเชื่อเถอะ  ส่วนใครเพลิน ใครช้า ไหวตัวไม่ทันรู้ตัวอีกทีถูกทิ้งไว้กลางทางนั่งบูชาความโสดจ้าาา
ความคิดเห็นที่ 26
สงสารคุณเจ้าของกระทู้จริงๆค่ะ

...คนเราไลฟ์สไตล์ต่างกัน และข้าราชการไม่จำเป็นต้องไปสวนสัตว์ หรือกางเต้นท์ เดินป่าเดินเขา เพื่อรักษาภาพลักษณ์ นั่นมันยุคโบราณแล้วค่ะ...
คุณสามารถเข้าผับเข้าบาร์ ไปช็อปกับเมียได้ดื่มไวน์หรูๆในโรงแรมดีๆ ก็ได้ คือทำไงก็ได้ที่ปรับเข้าหาเมียคนละครึ่ง

ไม่ใช่ว่า พอเมียชวนคุณก็ อืม...เหมือนรับรู้ แต่ดันชวนไปสวนสัตว์ตามที่ตัวเองชอบ เราว่ามันเห็นแก่ตัวเกินไปนะ
คือคุณจะไม่ยอมปรับตัวเลยหรือไง แค่คิดว่าตรงนี้ไม่ดี คุณไม่ชอบ คุณก็จะให้เมียไม่ชอบไปด้วย เราว่าไม่ไหวอะ

...ส่วนคุณเจ้าของกระทู้ ต้องพูดกับเค้าเลยค่ะว่าถ้าเค้าไม่ไป คุณขอไปกับเพื่อน และเค้าไปกางเต้นท์ก็ไปกับเพื่อนแทนบ้าง
เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ คู่ชีวิตไม่ได้หมายความว่า ตัวต้องติดกันตลอด เพราะแต่ละคนมีความชอบต่างกัน

อ้อ..ที่เราโพสตอบทู้นี้เพราะว่า เพื่อนเราค่ะนิสัยเหมือนคุณ นางมีลูกมีผัวแล้วนะคะ ผัวนางเป็นข้าราชการเหมือนกัน ไม่เห็นนางแคร์นิ
นางยังไปดริ๊งกับเพื่อนเป็นปกติ พอกลับบ้านก็ดูแลลูกผัวได้เหมือนเดิม เพียงแต่ผัวนางไม่เคยบ่นค่ะ ผัวนางก็ชอบอีกแบบเค้าก็ไปตามแบบ
ที่เค้าชอบ....เรายังเห็นคู่นี้รักกันดีนิ อยู่กันมาเป็นยี่สิบปีแล้ว เพื่อนเราสี่สิบกว่าแล้วค่ะ นางยังเฮฮาสายดริ๊งสายช็อปอยู่เลย

พอวันหยุดยาว นางก็นัดแก๊งค์เพื่อนนางไปเที่ยวต่างประเทศกันค่ะ ทิ้งลูกไว้กะผัวที่บ้าน ผัวนางก็ดูแลลูกไปค่ะ สลับกันพอผัวไปกับแก๊งค์เค้า
นางก็ดูลูก เราเห็นชีวิตคู่นางมีความสุขดีออก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่