[CR] การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง สำหรับผู้หญิง ไปญี่ปุ่นคนเดียว 8 วัน 7 คืน งบ 4 หมื่นนิดๆ


ต้องเกริ่นก่อนว่าทริปนี้เป็นการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรก เป็นการเดินทางไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรก และเป็นรีวิวแรกจากประสบการณ์ของตัวเอง จะพยายามให้กระชับและเข้าใจง่ายที่สุดนะคะ^^ โดยข้อมูลเบื้องต้นที่เราใช้ในการเตรียมตัวก่อนออกเดินทางจะมีประมาณนี้

1. สถานที่ที่อยากไป

ให้ลองนั่งลิสสถานที่ที่อยากไปดูก่อน แล้วค่อยเอามาจัดวันจัดการเดินทาง พอเราได้สถานที่คร่าวๆแล้วก็จะทราบว่าควรจะต้องบินไปกลับที่สนามบินไหน จะได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินต่อไป และเมื่อแพลนสถานที่เริ่มนิ่งแล้วก็จองโรงแรมต่อได้

สำหรับเราที่ไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อน ไม่รู้จะไปเริ่มจากตรงไหนดี เลยหาข้อมูลคร่าวๆก่อนว่าช่วงที่เราจะเดินทางเค้าแนะนำให้ไปที่ไหน หลังจากนั้นก็เริ่มลิสสถานที่ที่อยากไปออกมา โดยเริ่มจากแยกเป็นภูมิภาค แยกจังหวัดละค่อยมาแยกเป็นย่านอีกที ซึ่งสำหรับเรารู้สึกว่ามันจะง่ายขึ้นเวลาเอามาแพลนต่อ ทั้งเรื่องการเดินทางและเวลา โซนไหนมีที่ที่อยากไปเยอะจะได้เผื่อเวลาให้เยอะหน่อยได้

ตอนแรกอยากไปดูดอกไม้ที่ฮอกไกโดแล้วลงมาเที่ยวต่อโตเกียว แต่เปลี่ยนใจเพราะกลัวเดินทางเหนื่อยเกินไป ไม่อยากแบกกระเป๋าไปๆมาๆ และช่วงที่เราจะเดินทางมันหมดฤดูของลาเวนเดอร์ที่อยากไปดูแล้ว เลยเลือกไปแค่โซนโตเกียวและบริเวณรอบๆ

2. วันเดินทาง

ช่วงเวลาที่สะดวกเดินทางและงบประมาณจะมีผลกับจำนวนวันที่เราจะอยู่ในญี่ปุ่น (ดูจากรีวิวของคนอื่นว่างบ 40,000 - 50,000 บาทจะอยู่ได้ประมาณ 7-8 วัน) แต่สำหรับใครที่มีวันล็อคไว้อยู่แล้วหรือไม่ได้มีงบจำกัดจะข้ามข้อนี้ไปก็ได้ และเนื่องจากเรามีงบจำกัด เพราะฉะนั้นเลยเลือกวันเดินทางไปและกลับจากราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุด โดยดูจากตารางของ www.skyscanner.co.th (เวอร์ชั่น PC) ไม่แน่ใจว่าของเว็บอื่นมีเหมือนกันมั้ย แต่เท่าที่ดูมาหลายๆเว็บ อันนี้ดูง่ายสุด เทียบมาให้เห็นชัดเจนมาก...หลังจากดูตารางเทียบแล้วก็สรุปได้วันเดินทางเป็น 22 - 29 ส.ค. 17  

3. จองตั๋วเครื่องบิน

เทียบจากหลายๆเว็บ skyscanner / traveloka / expedia / nok air / air asia / thai lion air แต่ตัดพวกที่จองกับสายการบินโดยตรงออกไป เพราะเวลาไป-กลับไม่ค่อยสวย แล้วไม่อยากแยกจองสองรอบ เลยตัดออกเหลือแค่สามเว็บแรก สุดท้ายเลือกจองกับ expedia เพราะไม่มีค่าธรรมเนียมการจอง+ถ้าจองโรงแรมก็ได้ส่วนลดเพิ่ม (แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จองโรงแรมผ่าน expedia อยู่ดี เค้าล้อเล่น)

ปล. รูปนี้เป็นเที่ยวบินขาไป ที่ทำกรอบสีแดงไว้ คือซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม 20 กิโล บวกราคาเพิ่มจากค่าตั๋วไป 1,100 บาท

Scoot vs. Air Asia X

สกู้ดนั่งสบายกว่า มีสเปซมากกว่า เครื่องใหม่กว่า (อ่านรีวิวมาว่าสกู้ดชอบดีเลย์และจัดการปัญหาได้ไม่ค่อยดี แต่เราลองเสี่ยงดูแล้วก็โชคดีมากที่ไม่เจออะไรเลย) ขาไปตอนเช็คอินขอที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้าย เพราะอ่านในรีวิวมาว่าจะมองเห็นฟูจิ (เห็นจริงๆค่ะแต่อันจิ๋วหลิวมาก) ซึ่งสกู้ดไม่สามารถเช็คอินออนไลน์ได้ จะเช็คอินออนไลน์ได้ต้องออกเดินทางจากสิงคโปร์เท่านั้น

ส่วนขากลับบินกับแอร์เอเชียเอ็กซ์ รู้สึกว่าสเปซแคบกว่าสกู้ด เพราะวางแขนหรือขยับตัวแล้วติดคนข้างๆตลอด (ขนาดเราและผู้หญิงคนข้างๆก็ตัวเล็กเหมือนกันยังรู้สึกได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ชายหรือคนที่ตัวใหญ่หน่อย) ขอที่นั่งริมหน้าต่างเช่นกัน แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เราเลยยอมนั่งตามที่เค้าออกตั๋วมาให้ T^T

ปล. รูปนี้เป็นเที่ยวบินขากลับ ที่ทำกรอบสีแดงไว้ คือซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม 25 กิโล บวกราคาเพิ่มจากค่าตั๋วไป 1,548.69 บาท

4. จองโรงแรม

ดูจาก expedia / agoda / booking.com เราไม่เลือกดูที่พักใน Air bnb เลย ถูกและสวยก็จริง แต่ไปคนเดียวเรื่องเซฟตี้อาจจะไม่เท่ากับพักที่โรงแรมทั่วไป (คิดเอาเองว่าถ้าเผื่อต้องขึ้นตึกประหลาดๆ อาจจะเสี่ยงมากกว่า ซึ่งความเป็นจริงมันคงปลอดภัยกว่านั้น แต่เพื่อความสบายใจของตัวเองเลยตัดออก) อีกอย่างคือ map ใน Air bnb มันไม่ได้ระบุชัดเจนเหมือนของเว็บอื่น โดยจะกางโซนเป็นวงกลม ซึ่งทำให้เราดูยากว่าตำแหน่งที่ตั้งที่ชัดๆ มันอยู่ตรงไหน

เราเริ่มจากไล่ดูทุกโรงแรมที่ราคาไม่เกิน 2,000 บาทต่อคืน (งบน้อย) อยู่ในโซนใกล้แหล่งท่องเที่ยวที่เราจะไป มีคนพลุกพล่าน อยู่ใกล้สถานีรถไฟ อยากได้ห้องเดี่ยว ส่วนห้องน้ำถ้าเป็นห้องน้ำรวมก็จะเช็คก่อนว่าในห้องมันมีแยกเป็นห้องเล็กๆปิดประตูได้มั้ย ถ้ามีก็โอเค แต่ถ้าเป็นห้องน้ำรวมแบบต้องอาบพร้อมคนอื่นทุกครั้งก็ตัดออก ลิสออกมาได้เป็น 10 ที่...แต่ผลสุดท้ายเลือกไปพักกับป้าวรรณ (LAI’s HOUSE) ซึ่งไม่ได้อยู่ในเว็บที่บอกไปข้างบนเลย 5555 เราตามมาจากรีวิวหนึ่งที่แม่ส่งมาให้ตามลิ้งข้างล่างนี้
https://m.pantip.com/topic/35903831?

เลือกไปพักที่นี่เพราะแม่บอกว่าอย่างน้อยเจ้าของเป็นคนไทย เผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือจะได้ติดต่อได้ง่ายๆ แม่จะได้สบายใจขึ้นด้วย บวกกับเป็นห้องส่วนตัว มีห้องน้ำในตัว มีเซเว่นอยู่ปากซอย อยู่ใกล้สถานีรถไฟ อยู่ในโซนแสงสี ดูเซฟสำหรับการไปเที่ยวคนเดียวเลยเลือกที่นี่ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ประทับใจคุณป้าวรรณมากกก

5. สภาพอากาศ

เริ่มนำสถานที่ต่างๆที่เราทำไว้มาลงแพลนจัดวันเดินทาง โดยตอนแรกเราเริ่มจากดูสภาพอากาศเป็นหลัก เพราะอยากไปดูฟูจิตอนฟ้าโปร่งๆ เลยเช็คจากเว็บ www.accuweather.com ซึ่งสามารถดูล่วงหน้าได้ 3 เดือน (หลังจากนั้นใกล้ๆหนึ่งอาทิตย์ก่อนเริ่มเดินทางดูจากเว็บ www.jnto.go.jp รีเช็คอีกที) แล้วก็มาลองจัดวันจัดสถานที่ลงไป

ในรูปจะเป็นตารางเทียบที่เราวาดขึ้นมาเอง เพื่อให้ดูง่ายขึ้นว่าวันไหนเหมาะจะไปที่ไหน ซึ่งไม่ใช้อันไฟนอลของเรานะคะ เพราะเราเปลี่ยนหลายรอบมากค่ะ มีตั้งแต่ Plan A - D แล้วถึงวันที่เดินทางจริงๆ เจอฝนปรอยๆแค่วันเดียว คือวันที่ไปนิกโก้ ที่เหลือใช้ร่มกางกันแดดหมด^^

6. การเดินทาง

ควรศึกษาก่อนเดินทาง อันนี้สำคัญมาก!!! หลังจากมีแพลนแล้วว่าจะไปที่ไหนวันไหนบ้าง ก็มาดูเรื่องการเดินทาง เราใช้เวลาศึกษานานมาก เพราะญี่ปุ่นมีหลายบัตรพาส เบลอไปช่วงนึงเลยค่ะ และจากการลองปรับแพลนไปๆมาๆ ก็ตัดสินใจเปลี่ยนที่นอนคืนที่สองไปนอนที่ lake kawaguchiko (คุยกับคุณป้าวรรณขอแคนเซิลห้องในคืนที่ 2 คุณป้าโอเค แล้วให้ฝากกระเป๋าไว้ได้ด้วย^^) ส่วนที่ kawaguchiko จองห้องผ่าน agoda เลือกพักที่ fuji royal hotel kawaguchiko เพราะมีออนเซนกับเซตอาหารเช้าแบบญี่ปุ่น

7.Sim card

เนื่องจากเราไปคนเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้ pocket wifi เลยเลือกใช้ซิมค่ะ ไม่ต้องแบกตัวเครื่องให้หนักกระเป๋าด้วย สะดวกสุดๆ โดยซิมการ์ดที่เป็นตัวเลือกคือ AIS Sim 2 Fly กับ True Travel Sim ที่ตัดอันอื่นออกไป เพราะเท่าที่อ่านรีวิวมา 2 ค่ายนี้เน็ตเสถียรดี และส่วนตัวโอเคกับสองค่ายนี้ค่ะ สุดท้ายเลือก AIS Sim 2 Fly (Asia) แบบ 4 GB ใช้ได้ 8 วัน ราคา 399 บาท

ซื้อมาจากบูธตัวแทนในงาน TITF ที่ศูนย์สิริกิต์ ซึ่งเราเพิ่งมาเปิดอ่านดีเทลก่อนวันเดินทาง 1 วัน เห็นระบุว่าต้องทำการลงทะเบียนซิมก่อน เลยโทรไป ais call center ซึ่งเค้าแจ้งว่าไม่สามารถทำผ่านเว็บหรือโทรศัพท์ได้ เพราะต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนหรือพาสปอรตอ้างอิงและต้องไปที่สาขาเท่านั้น แต่เราถามเพื่อนที่เคยใช้มาเค้าบอกตอนไปถึงก็ใช้ได้เลยนะ ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย เราเลยโทรไปถามกับทางบูธตัวแทนอีกที ซึ่งเค้าแจ้งว่าไม่ต้องไป เค้าเอาสำเนาบัตรประชาชนเราไปตอนซื้อแล้ว เค้าจะจัดการให้ ทาง ais call center ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ด้วยความกังวลว่ามันจะใช้ไม่ได้ตอนไปถึง พอไปเช็คอินโหลดกระเป๋าที่สนามบินเสร็จ เราก็เดินหา ais counter เพื่อจะเช็คให้แน่ใจอีกที ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่ายังไม่ได้ลงทะเบียนนะ เราก็เลยให้เจ้าหน้าที่จัดการให้เลยค่ะ สบายใจ แต่ไปเริ่มใส่ซิมที่ญี่ปุ่นนะคะ เพราะมันจะเริ่ม activate และนับวันจากตอนที่เราใส่ซิมเลย

ส่วนการใช้งานก็ลื่นไหลดี จะมีบางที่ที่อาจจะอับสัญญาณหน่อย เช่น ช่วงที่นั่งกระเช้าในฮาโกเน่ แล้วช่วงหลังๆเน็ตช้าลง แต่น่าจะเป็นเพราะเราใช้เปิด google map เยอะ มีใช้ call line บ้าง และสำคัญสุดคืออัพรูปลงโซเชียลตลอดเวลา 555

8.ประกันการเดินทาง

มีเปรียบเทียบไว้หลายเจ้าค่ะ พยายามเลือกแผนที่ครอบคลุมสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราตามที่เห็นในตาราง แต่สุดท้ายเลือกทำกับไทยวิวัฒน์ เพราะเราไม่ต้องสำรองจ่ายเอง และสามารถเข้าได้ทุกโรงพยาบาล (ไม่จำเป็นต้องเช็คก่อนว่าเป็นรพ.ในเครือหรือไม่) และในส่วนอื่นๆก็ครอบคลุมดีพอๆกับเจ้าอื่น

นอกเหนือจากของไทยวิวัตน์ เรามีทำของ Travel Guard เพิ่มเติมไว้ด้วยค่ะ ซึ่งไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไร ทราบรายละเอียดมาจากใบปลิวที่เค้าให้มาตอนไปแลกเงินที่ Superrich Thailand ซึ่งรายละเอียดประกันมันจะครอบคลุมแค่ตามที่ในใบปลิวบอกไว้ (2-3 ข้อ จำไม่ได้) สำหรับเราคือพอแล้วค่ะ แค่เห็นว่ามันไม่มีค่าใช้จ่ายก็เลยทำเผื่อเพิ่มไว้เฉยๆ ส่วนวิธีการทำของ Travel Guard เพิ่มเติมก็ไม่ยากค่ะ แค่ต้องกรอกรายละเอียดนิดหน่อย + ใส่โค้ดที่ดูได้จากในใบเสร็จที่เราแลกเงินมา ซึ่งในเว็บจะมีบอกรายละเอียดอยู่ว่าต้องเอามาจากตรงไหนบ้าง

ปล.ในตารางราคาที่เป็นสำหรับ 9 วันจะมีแค่ของไทยวิวัฒน์ อีกสองอันเป็นราคาสำหรับ 8 วัน เพราะเราไม่ได้อัพเดต

9.Application

โหลดตามๆเค้ามาค่ะ ที่เค้าว่าควรมีไว้ แต่สรุปที่ใช้จริงๆมีไม่กี่แอป
- Hyperdia ใช้บ่อยสุด
- Google translate ใช้นิดหน่อย ส่วนใหญ่ใช้ภาษามือ
- Currency ใช้ตอนอยากรู้ราคาไทย
- Japan Wi-Fi & Travel Japan Wi-fi ใช้ในบางที่ บางที่ก็ใช้ 2 แอปนี้เข้าไม่ได้ ส่วนใหญ่ใช้เน็ตซิมตัวเอง
- AirAsia ใช้เช็คอินออนไลน์ขากลับ

10.Pocket money

เราแบ่งเงินไว้ 2 ส่วน ส่วนแรกพกติดตัว ส่วนที่สองเก็บทั้งหมดล็อคไว้ในกระเป๋าเดินทางที่ที่พัก ซึ่งเรากันเงินไว้ใช้วันที่เหลือวันละ 10,000 เยน ละค่อยๆดึงออกมาใช้เพิ่มทีละวัน (เผื่อระหว่างเที่ยวทำกระเป๋าตังหาย) ส่วนเงินไทยเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางเหมือนกัน เผื่อไว้ซื้อของกินในสนามบินก่อนเดินทาง กับค่าแท๊กซี่ขากลับจากสนามบินไปบ้าน

ถามว่ากันเงินไว้ทำไม เพราะเราไปแบบไม่มีบัตรเครดิตและอยากจะจำกัดงบการช้อปปิ้งเลยแบ่งเงินไว้แบบนี้ ต่อให้เราช้อปหมดตัวตั้งแต่วันแรก ก็ไม่เดือดร้อนวันอื่นที่เหลืออยู่ เพราะกันเงินเผื่อค่าเดินทาง+อาหารไว้หมดแล้ว อยู่ต่อไปได้แบบไม่อดตาย 5555 สบายใจค่ะ สุดท้ายใช้ไม่เกินงบแถมมีเงินเหลือกลับมาไทยอีกนิดหน่อย :’)

พวกแผนที่แนะนำให้ไปเดินงานท่องเที่ยว เพราะจะได้แผนที่เป็นภาษาไทย นำมาใช้ประโยชน์ตอนวางแพลนเดินทางและใช้งานตอนเดินทางจริงได้มากๆ โดยเฉพาะในโซนที่อับสัญญาณอินเตอร์เน็ต...สำหรับเราแผนที่ทั้งหมดคือสิ่งสำคัญที่ทำให้การเดินทางทุกอย่างมันราบรื่นไปได้ด้วยดี^^

สำหรับคนที่มีแพลนเดินทางคร่าวๆแล้ว เราแนะนำให้ไปต่อแถวปรึกษากับเจ้าหน้าที่ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) ที่จะตั้งบูธอยู่ตามงานท่องเที่ยวต่างๆด้วย เพราะเจ้าหน้าที่เค้าจะตอบข้อสงสัยและให้ข้อมูลเราได้ค่อนข้างดีค่ะ

อ่านต่อความเห็นถัดไป...
ชื่อสินค้า:   ญี่ปุ่น , Japan , โตเกียว , Odaiba , Disneyland , Fuji , Nikko , Kawaguchiko , Hakone , Kawagoe , Yokohama , One Piece
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่