คีร์กีสถาน เมื่อพูดถึงประเทศนี้ หลายคนก็ถามกลับมาว่า ที่ไหนวะ อืมก็แถวๆประเทศ สถานๆ ทั้งหลายนั่นแหละ ก่อนไปก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากมาย แต่เคยเห็นรูปแล้ว รู้สึกว่าอยากไป เพราะธรรมชาติแลดูสวยมาก และพอมีโอกาสได้ไป เราพูดได้เต็มปากเลยว่าเราชอบมาก ทั้งภูมิประเทศที่สวย ความใจดีของผู้คน ความสด บริสุทธิ์ ของธรรมชาติ และค่าครองชีพที่เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋ามาก ทริปนี้เราไปกัน 2 คน ใช้เวลา 7 วันเต็ม แต่จะขอเล่าถึงประสบการณ์ขี่ม้า ในช่วงเวลา 3 วัน ถามว่าเจ็บก้นมั๊ย.... ฉันตอบเลยว่า มากกกกกกกกก

จุดหมายปลายทางที่เราจะไปกันคือ Song Kol Lake สามารถไปได้หลายวิธี ทั้งรถยนต์ เดินไป และขี่ม้าไป เราก็เลยเลือกประสบการณ์แปลกใหม่ เออ...ขี่ม้าไปกันเถอะ หรือบางคนก็เลือกที่จะขี่ม้าไปครึ่งทางและเดินต่อไปอีกครึ่งทาง เราไม่มีประสบการณ์ขี่ม้ามาก่อน หรือเรียกง่ายๆว่า ขี่ม้าไม่เป็นเลยนั่นแหละ แต่ก็เอาวะ ถามเค้าแล้วเค้าบอกไม่อันตรายเพราะม้าที่เอามาให้ขี่มันเป็นมาสำหรับเดินขนของ มันไม่ใช่ม้าควบ แต่ในใจลึกๆนี่ก็ยังกังวล คือถ้าขี่วันเดียวก็ยังพอไหว แต่นี่ขี่ 3 วัน บ้ารึป่าว เราติดต่อคนในพื้นที่ว่าพอจะมีใครที่รับจัดโปรแกรมให้มั๊ย อยู่ดีๆ จะไปหาม้ามาขี่เองก็ไม่ใช่ เส้นทางก็ไม่รู้ เพราะบนภูเขามองไปทางไหนก็ดูเหมือนๆกันหมด และสุดท้ายก็ติดต่อคนรับจัดได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็มีบริษัททัวร์จัดโปรแกรมแบบนี้ให้อยู่หลายเจ้า แต่ราคาก็โหดเอาเรื่อง สุดท้ายเราได้ราคาที่พอรับไหว เลยตกลงปลงใจ เค้าเอารถมารับในตอนเช้าวันถัดมา ขับออกไปนอกเมืองประมาณ เกือบชั่วโมง เพื่อไปหาม้า และคนเลี้ยงมาที่จะนำทางเราไป

วิวสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้า มีภูเขาสูงเป็นฉากด้านหลัง ระหว่างทาง เราเห็นม้าวิ่งกันอยู่เป็นฝูง สลับกับฝูงแกะ แพะ เมื่อรถมาถึงจุดนัดพบ เราพบกับม้าสามตัวที่ยืนรอเราอยู่พร้อมกับผู้นำทาง คนขับร่ำลาและทิ้งเราไว้ อากาศช่วงนี้หนาวมาก (สำหรับเรา) เป็นช่วงปลายฤดูท่องเที่ยวแล้ว แต่ก็ยังพอขี่ม้าออกไปได้ ถ้าหน้าหนาวโปรแกรมนี้จะไม่มี เพราะในระหว่างการเดินทางเราจะพักค้างคืนกันที่ Yurt หรือกระโจมของครอบครัวที่พาสัตว์ออกไปหากินตลอดช่วงฤดูร้อน เมื่อถึงหน้าหนาวพวกเค้าจะกลับเข้าเมือง นั่นหมายความว่าเราจะไม่มีที่พักระหว่างทาง และมื้อเที่ยงวันนี้ ความจริงแล้วเราจะได้แวะพักกินกลางวันกับครอบครัวหนึ่ง แต่เค้าย้ายกลับเข้าเมืองมาแล้วเมื่อวานนี้ เราจึงต้องเตรียมอาหารไปเอง

คานัท ผู้ที่จะพาเราไปกับม้า ตลอดสามวันนี้ เมื่อคานัทจัดแจ้งสัมภาระของเราบนหลังม้าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาขึ้นมาของพวกเรา โดยเค้าเป็นคนเลือกให้ว่าม้าตัวไหนสำหรับใคร ม้าตัวที่ใหญ่ที่สุดจะได้แบกคนที่ผอมที่สุด (จริงๆนะ) การขึ้นม้าครั้งแรกก็ถือว่าไม่ทุลักทุเลเท่าไหร่ ม้าแบกทั้งเราแบกทั้งกระเป๋า และอาหารของตัวเอง ค่อยๆออกเดินตามทางไป ทางข้างหน้าไปภูเขาเวิ้งว้าง หญ้าเริ่มแห้งเพราะใกล้เข้าฤดูหนาว อากาศหนาวใช้ได้เลยทีเดียว แดดก็แรงแผดเผา เราตั้งชื่อให้ม้าของพวกเราว่าเจ้าฮิปโปกับเจ้าฮิปปี(ความจริงมันมีชื่อนะแต่เรียกยากและจำไม่ได้) เจ้าฮิปโป 8 ขวบ ตัวใหญ่ที่สุดชอบเดินนำหน้าไม่ยอมให้ใครแซง เจ้าฮิปปี 7 ขวบ ชอบทำตามเจ้าฮิปโป เห็นฮิปโปกินหญ้าก็ต้องเดินไปกินมั่ง เห็นเค้ากินน้ำ ก็เดินไปกินมั่ง บางทีเหมือนตัวเองไม่ได้อยากกินแต่เห็นฮิปโปกินก็ต้องเดินไปกินตาม ระหว่างเดินนั้นก็ชอบอ่อยอิง แวะเล็มหญ้าตลอดทาง เดินไป ขี้ไป ตดไป แรกๆก็เหม็น(ตดเหม็นมาก) หลังๆก็ชิน

คานัทเล่าให้ฟังว่าครอบครัวเค้าเลี้ยงม้าไว้เยอะแยะ บางทีก็ขายไปบ้าง บางทีก็กินบ้าง เค้าเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย พฤศจิกานี้จะไปเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่ บิชเคก แต่ว่าพอปิดเทอมก็จะกลับมาเลี้ยงม้า และพานักท่องเที่ยวออกมาเดินแบบนี้เค้าบอกว่าเค้าชอบ ชีวิตแบบนี้มากกว่าในเมือง แต่ก็ต้องไปทำงานหาประสบการณ์ และเก็บเงินแต่งงาน
เส้นทางที่เดินวันนี้ เป็นทางขึ้นเขาซะส่วนใหญ่ ระหว่างทางเราต้องหยุดให้ม้าพักเป็นระยะ ประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็ลงมานอนเอกขเนกกลางทุ่งหญ้าและขี้ม้า อากาศดี ฟ้าใส ไม่ต้องคิดอะไร ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นั่งมองม้า มองแกะ มองวัว เพลินดีทีเดียว พวกเราพักกลางวันพร้อมกับอาหารที่เตรียมมา ลมแรงบนยอดเนิน แล้วไม่นานทุกคนก็งีบหลับไป
เราออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่ ทุ่งราบ ที่ตั้งของกระโจมที่พวกเราจะไปอาศัยนอนในคืนนี้ เมื่อไปถึงฟ้าก็ใกล้ค่ำพอดี อากาศก็เริ่มเย็นลง มีกระโจมอยู่ สามหลัง และบ้านเล็กๆ ที่ใช้เป็นห้องครัวอีกหนึ่งหลัง มีฝูงแกะ แพะ หมา เด็ก

พวกเราจัดแจงเอาสัมภาระเข้ามาเก็บในกระโจม คานัทพาม้าไปผูกไว้ไม่ไกลและให้อาหาร กระโจมหลังถัดไป มีเสียงคนคุยกันอยู่ ก็เลยแวะไปทักทายและขอเข้าไปร่วมวงด้วย สองคนจากเยอรมัน และสองคนจากฝรั่งเศษ เรานั่งแทะถั่ว ที่พกมาเป็นเสบียง ผิงไฟ และคุยกันเพื่อรอเวลาอาหารเย็น ไม่นานนักก็มีผู้มาเยือนเพิ่ม 4 คน แยกกันมาเป็นคู่ และเวลาอาหารเย็นก็มาถึง พวกเราทั้งหมด 10 คนก็เข้าไปนั่งรอบโต๊ะ และทานอาหารร่วมกัน อาหารมื้อนี้คือ ขนมจีบวัว!!! ชื่อเรียกคือ Manty เป็นแป้งยัดไส้ด้วยเนื้อวัวและหัวหอม แล้วมานึ่ง มื้อนี้ทุกคนได้กินมันตีคนละ 5 ก้อน พร้อมด้วย Non แยม และ เนย สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเวลานี้คือ ชาร้อน หลังจากท้องอิ่มแล้ว ทุกคนก็แยกย้าย มาจัดการตัวเอง ล้างหน้าแปรงฟัน พร้อมเข้านอน ฟ้าที่นี่โล่งกว้าง ดาวเยอะ แต่ก็หนาวเกินกว่าที่จะนอนดูดาว ขอเข้าไปอยู่ใน Yurt ดีกว่า
เราตื่นกันตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง เพราะมันหนาวจน นอนหลับๆตื่นๆ ทั้งคืน เช้านี้มีอาหารเช้าเป็นก้อนแป้งที่รสชาติเหมือน ซาลาเปาเดะ(ที่ขายกะปาท่องโก๋) กินกับผัก และชาร้อน
และนี่คือสภาพ Yurt ของเรา นอนรวมกันทั้งหมด 6 คน
ข้างในมีเตาผิง แต่พอกลางดึกที่ไฟมอดหมดแล้วก็ยังหนาวทะลุเข้าไปในเสื้อ
เวลาปวดฉี่นี่แทบไม่อยากออกมา เพราะกว่าจะทำให้ตัวอุ่นได้ใหม่ก็นาน

เมื่อจัดการกับมื้อเช้าเสร็จ เราก็เก็บของ และเตรียมตัวออกเดินทาง
ชาวเยอรมันและฝรั่งเศษ ออกเดินไปก่อนแล้ว วันนี้พวกเค้าจะเดินไปทะเลสาบกัน
มีแค่พวกเราที่ขี่ม้าไป...

คนเลี้ยงม้าที่เหลือ ต้องพาม้ากลับไปก่อน ทุกคนเลยต้องเดินไปกันเอง ทางเดินค่อนข้างมีเส้นทางที่ชัดเจน ช่วงต้นเป็นการเดินขึ้นเนินอย่างเดียว ขึ้น ขึ้น ขึ้น ส่วนเราก็ให้เจ้าฮิปโปและฮิปปีแบกขึ้น
เมื่อขึ้นไปถึงจุดที่สุงที่สุด วิวที่มองลงมาเป็นเทือกเขาที่ดูเวิ้งว้าง
ลมแรงและเย็นพัดจนหน้าชา จนเราต้องไปนั่งแอบอยู่หลังโขดหิน เพื่อให้บังลม
เราปล่อยให้ม้าพัก ระหว่างที่แวะพักเราก็ผล็อยหลับกันไปอีกแล้ว

หลังจากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ทุ่งราบ แวะพักที่กระโจมอีกแห่ง เพื่อกินอาหารกลางวัน
ที่นี่มีเด็กมาป่วน มาเล่นด้วยสนุกดี ที่ตลกคือ เราเจอเด็กคนนี้ในยูทูปของหลายๆคน
มื้อกลางวัน วันนี้ เป็น ลักมัน และมะเขือเทศอีก 1 จาน
เติมพลังเสร็จเราก็ออกเดินทางต่อ โดยเจ้าฮิปโปและฮิปปี ...มุ่งหน้าตรงสู่ทะเลสาบ
ยิ่งใกล้ทะเลสาบยิ่งหนาวขึ้นเรื่อย ลมแรงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
คานัทบอกว่าที่นอนคืนนี้หนาวกว่าเมื่อคืนนะเพราะเราอยู่ใกล้ทะเลสาบ (ไม่อยากจะนึก)



เจ้าฮิปโปและฮิปปีเดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อย ลมหนาวปะทะหน้าจนตอนนี้หน้าชาจนไม่รู้สึกแล้ว วิวที่ได้เห็นก็สวยงามมาก คานัทบอกว่าถ้าเป็นฤดูร้อนสวยกว่านี้ และเราจะเพลิดเพลินกับอากาศมากกว่านี้ ทุ่งหญ้าสีเหลืองที่เราเห็นตอนนี้ก็จะเขียวขจี มีดอกไม้บานสะพรั่ง ปลาในทะเลสาบก็อร่อยมาก น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีโอกาสได้ลอง เพราะอากาศไม่ดี เลยออกไปหาปลาไม่ได้


เดินเลียบทะเลสาบมากได้สัก สองชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงที่พักสำหรับคืนนี้ มีชุมชนกระโจมอยู่ ประมาณ 3 ครอบครัว ตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก เราจัดแจงเก็บข้าวของเข้าที่พัก และออกไปเดินเล่นริมทะเลสาบ ท้าความหนาว น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำจืด และใสมาก ทะเลสาบนี้ใหญ่เป็นอันดับสองของคีร์กีสถาน และตั้งอยู่ที่ความสูง 3พันเมตรนิดๆ เหนือระดับน้ำทะเล นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ขามาถึงมีแต่เดินขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้นเขามาเรื่อยๆ และก่อนที่ตัวจะแข็งมากไปกว่านี้เราเดินกลับมายังกระโจม และพบกับ สองคนที่นอนด้วยกันเมื่อคืนนี้
นี่เราขี่ม้ามานะ เค้าเดินมา เรามาถึงก่อนเค้าแป๊ปเดียวเองอ่ะ
เราเข้ามานั่งผิงไฟกันในกระโจม รอเวลาอาหารเย็นและ มีเจ้าแมวน้อยมานอนซุกอยู่ด้วย




อาหารเย็นวันนี้ คือ Pilaf หรือ Plov เป็นข้าวผัดกับเนื้อวัว มีNon เป็นเครื่องเคียง พร้อม แยม และเนย
และที่นี่เรายังได้ลอง kymyz เป็นเครื่องดื่มท้องถิ่นของที่นี่ ทำมาจากนมม้าหมักจนเกิดแอลกอฮอลนิดๆ เอาไว้ดื่มแก้หนาว
เมื่ออิ่มแล้วทุกคนก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะมันไม่มีอะไรให้ทำเลยจริงๆ ข้างนอกก็หนาว ถึงดาวจะเยอะ แต่ก็ทนดูไม่ไหว สิ่งที่ทรมานที่สุดคือการปวดฉี่กลางดึก ต้องลุกออกมาฝ่าความหนาวและห้องน้ำก็ไกล๊ ไกล
...แต่ข้างนอกมันมืดมาก และใครจะรู้ว่าคุณฉี่ตรงไหน หึหึ... ข้อดีอย่างหนึ่งคือ ได้ฉี่ใต้แสงดาวนะ
ขี่ม้า ฝ่าลมหนาว Krygyzstan 3 days 2 nights
คีร์กีสถาน เมื่อพูดถึงประเทศนี้ หลายคนก็ถามกลับมาว่า ที่ไหนวะ อืมก็แถวๆประเทศ สถานๆ ทั้งหลายนั่นแหละ ก่อนไปก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากมาย แต่เคยเห็นรูปแล้ว รู้สึกว่าอยากไป เพราะธรรมชาติแลดูสวยมาก และพอมีโอกาสได้ไป เราพูดได้เต็มปากเลยว่าเราชอบมาก ทั้งภูมิประเทศที่สวย ความใจดีของผู้คน ความสด บริสุทธิ์ ของธรรมชาติ และค่าครองชีพที่เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋ามาก ทริปนี้เราไปกัน 2 คน ใช้เวลา 7 วันเต็ม แต่จะขอเล่าถึงประสบการณ์ขี่ม้า ในช่วงเวลา 3 วัน ถามว่าเจ็บก้นมั๊ย.... ฉันตอบเลยว่า มากกกกกกกกก
จุดหมายปลายทางที่เราจะไปกันคือ Song Kol Lake สามารถไปได้หลายวิธี ทั้งรถยนต์ เดินไป และขี่ม้าไป เราก็เลยเลือกประสบการณ์แปลกใหม่ เออ...ขี่ม้าไปกันเถอะ หรือบางคนก็เลือกที่จะขี่ม้าไปครึ่งทางและเดินต่อไปอีกครึ่งทาง เราไม่มีประสบการณ์ขี่ม้ามาก่อน หรือเรียกง่ายๆว่า ขี่ม้าไม่เป็นเลยนั่นแหละ แต่ก็เอาวะ ถามเค้าแล้วเค้าบอกไม่อันตรายเพราะม้าที่เอามาให้ขี่มันเป็นมาสำหรับเดินขนของ มันไม่ใช่ม้าควบ แต่ในใจลึกๆนี่ก็ยังกังวล คือถ้าขี่วันเดียวก็ยังพอไหว แต่นี่ขี่ 3 วัน บ้ารึป่าว เราติดต่อคนในพื้นที่ว่าพอจะมีใครที่รับจัดโปรแกรมให้มั๊ย อยู่ดีๆ จะไปหาม้ามาขี่เองก็ไม่ใช่ เส้นทางก็ไม่รู้ เพราะบนภูเขามองไปทางไหนก็ดูเหมือนๆกันหมด และสุดท้ายก็ติดต่อคนรับจัดได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็มีบริษัททัวร์จัดโปรแกรมแบบนี้ให้อยู่หลายเจ้า แต่ราคาก็โหดเอาเรื่อง สุดท้ายเราได้ราคาที่พอรับไหว เลยตกลงปลงใจ เค้าเอารถมารับในตอนเช้าวันถัดมา ขับออกไปนอกเมืองประมาณ เกือบชั่วโมง เพื่อไปหาม้า และคนเลี้ยงมาที่จะนำทางเราไป
วิวสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้า มีภูเขาสูงเป็นฉากด้านหลัง ระหว่างทาง เราเห็นม้าวิ่งกันอยู่เป็นฝูง สลับกับฝูงแกะ แพะ เมื่อรถมาถึงจุดนัดพบ เราพบกับม้าสามตัวที่ยืนรอเราอยู่พร้อมกับผู้นำทาง คนขับร่ำลาและทิ้งเราไว้ อากาศช่วงนี้หนาวมาก (สำหรับเรา) เป็นช่วงปลายฤดูท่องเที่ยวแล้ว แต่ก็ยังพอขี่ม้าออกไปได้ ถ้าหน้าหนาวโปรแกรมนี้จะไม่มี เพราะในระหว่างการเดินทางเราจะพักค้างคืนกันที่ Yurt หรือกระโจมของครอบครัวที่พาสัตว์ออกไปหากินตลอดช่วงฤดูร้อน เมื่อถึงหน้าหนาวพวกเค้าจะกลับเข้าเมือง นั่นหมายความว่าเราจะไม่มีที่พักระหว่างทาง และมื้อเที่ยงวันนี้ ความจริงแล้วเราจะได้แวะพักกินกลางวันกับครอบครัวหนึ่ง แต่เค้าย้ายกลับเข้าเมืองมาแล้วเมื่อวานนี้ เราจึงต้องเตรียมอาหารไปเอง
คานัท ผู้ที่จะพาเราไปกับม้า ตลอดสามวันนี้ เมื่อคานัทจัดแจ้งสัมภาระของเราบนหลังม้าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาขึ้นมาของพวกเรา โดยเค้าเป็นคนเลือกให้ว่าม้าตัวไหนสำหรับใคร ม้าตัวที่ใหญ่ที่สุดจะได้แบกคนที่ผอมที่สุด (จริงๆนะ) การขึ้นม้าครั้งแรกก็ถือว่าไม่ทุลักทุเลเท่าไหร่ ม้าแบกทั้งเราแบกทั้งกระเป๋า และอาหารของตัวเอง ค่อยๆออกเดินตามทางไป ทางข้างหน้าไปภูเขาเวิ้งว้าง หญ้าเริ่มแห้งเพราะใกล้เข้าฤดูหนาว อากาศหนาวใช้ได้เลยทีเดียว แดดก็แรงแผดเผา เราตั้งชื่อให้ม้าของพวกเราว่าเจ้าฮิปโปกับเจ้าฮิปปี(ความจริงมันมีชื่อนะแต่เรียกยากและจำไม่ได้) เจ้าฮิปโป 8 ขวบ ตัวใหญ่ที่สุดชอบเดินนำหน้าไม่ยอมให้ใครแซง เจ้าฮิปปี 7 ขวบ ชอบทำตามเจ้าฮิปโป เห็นฮิปโปกินหญ้าก็ต้องเดินไปกินมั่ง เห็นเค้ากินน้ำ ก็เดินไปกินมั่ง บางทีเหมือนตัวเองไม่ได้อยากกินแต่เห็นฮิปโปกินก็ต้องเดินไปกินตาม ระหว่างเดินนั้นก็ชอบอ่อยอิง แวะเล็มหญ้าตลอดทาง เดินไป ขี้ไป ตดไป แรกๆก็เหม็น(ตดเหม็นมาก) หลังๆก็ชิน
คานัทเล่าให้ฟังว่าครอบครัวเค้าเลี้ยงม้าไว้เยอะแยะ บางทีก็ขายไปบ้าง บางทีก็กินบ้าง เค้าเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย พฤศจิกานี้จะไปเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนที่ บิชเคก แต่ว่าพอปิดเทอมก็จะกลับมาเลี้ยงม้า และพานักท่องเที่ยวออกมาเดินแบบนี้เค้าบอกว่าเค้าชอบ ชีวิตแบบนี้มากกว่าในเมือง แต่ก็ต้องไปทำงานหาประสบการณ์ และเก็บเงินแต่งงาน
เส้นทางที่เดินวันนี้ เป็นทางขึ้นเขาซะส่วนใหญ่ ระหว่างทางเราต้องหยุดให้ม้าพักเป็นระยะ ประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็ลงมานอนเอกขเนกกลางทุ่งหญ้าและขี้ม้า อากาศดี ฟ้าใส ไม่ต้องคิดอะไร ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นั่งมองม้า มองแกะ มองวัว เพลินดีทีเดียว พวกเราพักกลางวันพร้อมกับอาหารที่เตรียมมา ลมแรงบนยอดเนิน แล้วไม่นานทุกคนก็งีบหลับไป
เราออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่ ทุ่งราบ ที่ตั้งของกระโจมที่พวกเราจะไปอาศัยนอนในคืนนี้ เมื่อไปถึงฟ้าก็ใกล้ค่ำพอดี อากาศก็เริ่มเย็นลง มีกระโจมอยู่ สามหลัง และบ้านเล็กๆ ที่ใช้เป็นห้องครัวอีกหนึ่งหลัง มีฝูงแกะ แพะ หมา เด็ก
เราตื่นกันตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง เพราะมันหนาวจน นอนหลับๆตื่นๆ ทั้งคืน เช้านี้มีอาหารเช้าเป็นก้อนแป้งที่รสชาติเหมือน ซาลาเปาเดะ(ที่ขายกะปาท่องโก๋) กินกับผัก และชาร้อน
ข้างในมีเตาผิง แต่พอกลางดึกที่ไฟมอดหมดแล้วก็ยังหนาวทะลุเข้าไปในเสื้อ
เวลาปวดฉี่นี่แทบไม่อยากออกมา เพราะกว่าจะทำให้ตัวอุ่นได้ใหม่ก็นาน
ชาวเยอรมันและฝรั่งเศษ ออกเดินไปก่อนแล้ว วันนี้พวกเค้าจะเดินไปทะเลสาบกัน
มีแค่พวกเราที่ขี่ม้าไป...
เมื่อขึ้นไปถึงจุดที่สุงที่สุด วิวที่มองลงมาเป็นเทือกเขาที่ดูเวิ้งว้าง
ลมแรงและเย็นพัดจนหน้าชา จนเราต้องไปนั่งแอบอยู่หลังโขดหิน เพื่อให้บังลม
เราปล่อยให้ม้าพัก ระหว่างที่แวะพักเราก็ผล็อยหลับกันไปอีกแล้ว
ที่นี่มีเด็กมาป่วน มาเล่นด้วยสนุกดี ที่ตลกคือ เราเจอเด็กคนนี้ในยูทูปของหลายๆคน
มื้อกลางวัน วันนี้ เป็น ลักมัน และมะเขือเทศอีก 1 จาน
เติมพลังเสร็จเราก็ออกเดินทางต่อ โดยเจ้าฮิปโปและฮิปปี ...มุ่งหน้าตรงสู่ทะเลสาบ
ยิ่งใกล้ทะเลสาบยิ่งหนาวขึ้นเรื่อย ลมแรงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
คานัทบอกว่าที่นอนคืนนี้หนาวกว่าเมื่อคืนนะเพราะเราอยู่ใกล้ทะเลสาบ (ไม่อยากจะนึก)
นี่เราขี่ม้ามานะ เค้าเดินมา เรามาถึงก่อนเค้าแป๊ปเดียวเองอ่ะ
เราเข้ามานั่งผิงไฟกันในกระโจม รอเวลาอาหารเย็นและ มีเจ้าแมวน้อยมานอนซุกอยู่ด้วย
และที่นี่เรายังได้ลอง kymyz เป็นเครื่องดื่มท้องถิ่นของที่นี่ ทำมาจากนมม้าหมักจนเกิดแอลกอฮอลนิดๆ เอาไว้ดื่มแก้หนาว
เมื่ออิ่มแล้วทุกคนก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะมันไม่มีอะไรให้ทำเลยจริงๆ ข้างนอกก็หนาว ถึงดาวจะเยอะ แต่ก็ทนดูไม่ไหว สิ่งที่ทรมานที่สุดคือการปวดฉี่กลางดึก ต้องลุกออกมาฝ่าความหนาวและห้องน้ำก็ไกล๊ ไกล
...แต่ข้างนอกมันมืดมาก และใครจะรู้ว่าคุณฉี่ตรงไหน หึหึ... ข้อดีอย่างหนึ่งคือ ได้ฉี่ใต้แสงดาวนะ