🌼💖🌼 [ถุงมือนักเขียน - FINAL] เรื่องที่ 3 "ความสุขสีเทา" โดย "ถุงมือยาง" ครับ 🌼💖🌼

กระทู้คำถาม


มาถึงเรื่องที่ 3 แล้วครับ และเป็นคนละแนวกับสองเรื่องที่ผ่านมาเลย ในชื่อว่า "ความสุขสีเทา"

ขึ้นชื่อว่าความสุข มันน่าจะมีสีสันสดใส แต่เหตุไฉนจึงเป็นสีเทา ?

มาหาคำตอบกันเลยครับ...อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




     เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับอุปกรณ์ต่อพ่วงจากแป้นพิมพ์สามสี่ครั้ง “เขา” ก็เห็นข้อความปรากฏเรียงรายเต็มหน้าจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ดวงตาคมกริบคู่นั้นกวาดดูข้อความทั้งหมดคร่าวๆ แล้วก็หันไปคว้าแว่นสายตามาสวม ก่อนนั่งตัวตรงในท่าแขนประสานกันบนแผงอกเปลือยเพื่อติดตามเนื้อความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ

    “...หลังจากทบทวนกันเป็นอย่างดีแล้ว ปวงข้าฯก็ได้ข้อสรุปว่า เวลานี้สีทั้งหลายในสต็อกที่เราสะสมไว้เหลืออยู่เพียงสิบห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะถูกมนุษย์ไทแลนด์ขอไปใช้สร้างสีสันชีวิตกันไม่เว้นแต่ละวัน แต่แรกก็ขอกันคนละสี คนละเรื่อง ต่อมามีคนหัวหมออยากได้พิเศษมากขึ้นไปอีก เริ่มขอทีละสองสามสี หลายๆ เรื่อง เมื่อผลสำแดงถูกใจ ถูกจริต ก็ยิ่งอยากได้มากขึ้น จึงขอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็กลายเป็นว่าขอทุกสีรวมกัน

    ฯพณฯ ขอรับ ใครที่เรียนวิชาวิทยาศาสตร์มา แม้จะเป็นระดับพื้นฐานก็ไม่น่าจะลืมนะขอรับว่า หากเนื้อสีทุกสีรวมกันแล้ว สิ่งที่ได้ก็คือ “สีเทา” นั่นเอง ดังนั้น เวลานี้จึงเกิดชีวิตสีเทาขึ้นในไทแลนด์ทุกวัน โดยเฉพาะ “ความสุขสีเทา” นะขอรับ มากมายหลายเคส หลายกรณี ดังที่ท่านวิศวเทพจัตวาได้จัดทำรายชื่อพร้อมกับคลิปวิดีโอมานำเสนอด้วยแล้ว...”

    “เขา” กดปุ่ม PLAY ในคลิปรายการหนึ่ง ภาพเริ่มต้นในห้องนอนบนตึกระฟ้า แสงสีจากบรรยากาศภายนอกห้องที่แลเห็นได้ตลอดเวลาด้วยเป็นแผ่นกระจกใสบ่งบอกให้ทราบถึงเพลาเย็น ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษกับหญิงสาววัยไล่เลี่ยกันทอดร่างแนบชิดภายใต้ผ้าห่มสีฟ้า

    “คุณบอกเขาหรือเปล่าว่าจะกลับกี่โมง” ฝ่ายชายเอนศีรษะไปทางฝ่ายหญิงเมื่อถาม อีกฝ่ายสั่นหน้า ยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของเขาไว้

“อย่าพูดถึงเขา” เธอขยับตัวเป็นท่าตะแคง “ขอเวลาเป็นของเราให้นานที่สุดได้มั้ย ?”

ฝ่ายชายก้มลงซบหน้ากับหัวไหล่ของเธอ กล่าวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงขื่นๆ

“ทำไมชีวิตของเราต้องเป็นแบบนี้ด้วย...”

“เขา” กดปุ่ม STOP แล้วแลหารายชื่อที่เขียนแนบมากับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับนั้น ก่อนเปลี่ยนคลิปวิดีโอเรื่องใหม่

.....ยังคงเป็นภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชายในที่รโหฐานคล้ายคลิปแรก เพียงแต่เปลี่ยนตัวละคร ”เขา” จึงกดปุ่ม STOP แล้วไล่ดูรายชื่ออีกครั้ง พร้อมกับกดปุ่ม PLAY ในคลิปวิดีโอ

....ภาพมุมสูงเหนือศีรษะของคนสองคนที่นั่งอยู่คนละฟากโต๊ะ คนหนึ่งเป็นชายสูงวัยศีรษะล้านในมือคีบบุหรี่ อีกคนเป็นชายหนุ่มผมดำหยักศกที่ถือแก้วในมือ

“หาคนทำให้ได้ไหมล่ะ ผมให้คุณอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์”

คนศีรษะล้านพูดเสียงเบาแล้วอัดบุหรี่ลงปอดหนักๆ อีกฝ่ายยังใช้ความคิด บุรุษคนเดิมจึงพูดต่อไป

“ถ้าไม่สนสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่คุณต้องไม่เข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้”

“ขออย่างหลังดีกว่าพ่อเลี้ยง เพราะ...ผมยังอยากรับราชการต่อ” คนหนุ่มตอบเสียงแผ่วคล้ายกันแล้วจิบของเหลวในแก้วลงคอ ทั้งคู่ประสานสายตากันในแสงไฟสว่าง....

คลิปนี้จบเท่านี้ “เขา” อ่านรายชื่อบนหน้าจอ “ราเมศ  กังวานวิทย์ ปลัด อบต.น้ำคราม มีสายสัมพันธ์ส่วนตัวทางธุรกิจกับนายพรเลิศ  มณีพาณิชย์ พ่อค้าไม้แปรรูปรายใหญ่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ”

รายการข้อมูลนั้นยังมีอีกเหยียดยาว หลายต่อหลายกรณีที่ส่อไปในทางทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน การหาผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลในองค์กรศาสนา เรื่องชู้สาวระหว่างนักเรียนชายกับนักเรียนหญิง ครูกับศิษย์ นายจ้างและลูกจ้าง คนในครอบครัว การเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมเพื่อตนเอง ธุรกิจฟอกเงินตั้งแต่ระดับหมู่บ้านไปจนถึงระดับชาติ การลักลอบปลูกพืชบางชนิดที่ยังถกเถียงกันไม่จบว่าเป็นยาเสพติดหรือไม่..ฯลฯ

“เขา” ทยอยปิดสวิทซ์เครื่องมื่อสื่อสารทีละรายการ แล้วแหงนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ สูดลมหายใจเข้า-ออกช้าๆ นึกถึงภาพวงสนทนาของสี่หนุ่มวิศวเทพ ผู้แต่งแต้มรสชาติและลีลาของชีวิตให้แก่มนุษย์โลกอันผ่านพ้นมาหลายเพลา

“ฯพณฯ จัดการปิดบัญชีไทแลนด์ให้เร็วขึ้นอีกไม่ได้หรือขอรับ” วิศวเทพเอกเคยโทรศัพท์มาหาเขาสองครั้งแล้ว

“ท่านเอก ท่านคงไม่รู้ว่างานเราล้นมือเพียงใด”

“พอจะทราบขอรับ” เสียงปลายสายแว่วมา

“แน่นอนอย่างที่สุด เพราะตั้งแต่โลกเชื่อมถึงกันหมดด้วยความเจริญทางเทคโนโลยี จิตใจผู้คนก็ตกต่ำและมืดบอดมากเข้าทุกขณะ เวลานี้เราต้องตั้งนายเวรดูแลพื้นที่แยกเป็นรายทวีป แล้วดูรึ-แต่ละทวีปมีกี่ประเทศกัน คนที่เลวทรามพวกนี้ทำให้ลานพิพากษาของเราแคบลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งมันทำลายมนุษย์ด้วยกันมากเท่าใด เราก็ต้องติดตามเอาชีวิตของมันและพวกพ้องเครือข่ายมาให้ได้โดยไว ไม่ใช่เรื่องง่ายนะท่าน”

“แต่ข้าฯก็ไม่อยากเห็นโลกมนุษย์เป็นสีเทาไปมากกว่านี้นะขอรับ สงสารดวงวิญญาณที่เกิดใหม่ต้องไปเป็นทารกในสภาพแวดล้อมที่กำลังอับเฉา น่าหวาดกลัว และชั่วร้าย” วิศวเทพเอกพึมพำก่อนวางสายไปในครานั้น


ราวสี่โมงเย็น เด็กชายวัยเจ็ดขวบสองคนนั่งกินไอศกรีมแท่งด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อยบนสนามหญ้าในโรงเรียน พวกเขาสวมเครื่องแบบพละศึกษาเหมือนกันคือเสื้อยืดสีชมพู กางเกงวอร์มสีน้ำเงินแก่ แต่ของคนหนึ่งแลปอนเพราะสีซีดจางลงและเนื้อผ้าเริ่มสึก ส่วนชุดของอีกคนหนึ่งแลใหม่ทั้งสีและเนื้อผ้า

“เอ้า ! ไม้ที่สอง นายจะเอารสอะไร ?”

คนชุดใหม่ถามคนชุดเก่า อีกฝ่ายยังคงดูดเนื้อไอศกรีม ทำท่าครุ่นคิด “สละมั้ย...รสสละ สีแดง หอมนะ เคยกินรึยัง” คนเดิมเซ้าซี้เพื่อนต่อ

“ไม่เอาหรอก” คนชุดเก่าเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เรากินไม้เดียวพอ...นายกินเหอะ ”

“เออน่า-เราจะเลี้ยงนายเอง” เขาพูดอย่างคนใจกว้าง

“บ้านนายรวยใช่มั้ย ?” คนสวมชุดพละเก่าหันมาถามเพื่อนอย่างไร้เดียงสา

“คนข้างบ้านเค้าก็ถามแบบนี้แหละ” เด็กชายในชุดพละใหม่เอาแขนกอดอกแล้วมองไปข้างหน้า “ก็พ่อเราน่ะเป็นเจ้ามือ....” คำสุดท้ายเขาแค่ขยับปากแต่ไม่ออกเสียง แล้วก็พูดเสียงดังในประโยคต่อมา

“มีสตางค์เยอะแยะเลยในตู้แม่เรา”

“ตำรวจไม่จับพ่อนายเหรอ ?”

“ม่าย..” เขาทำหน้าตาท่าทางว่าสำคัญ “พ่อคุยกับตำรวจรู้เรื่อง ลุงผู้กำกับยังซื้อรถบังคับวิทยุมาให้เราเลย”

บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น เมื่อฝ่ายที่คอยตั้งคำถามกินไอศกรีมจนหมดแท่งแต่ยังคงถือไม้เปล่าไว้ในมือ คนที่ออกปากเลี้ยงเพื่อนจึงชักชวนกันเดินไปที่ร้านค้าริมกำแพงโรงเรียนอีกรอบ...    

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของวิศวเทพทั้งสี่ โดยวิศวเทพเอกเป็นผู้แสดงความเห็นก่อน

“ดูเถิด แล้วไอ้หนูนี่โตขึ้นไปมันจะทำอะไรได้ นอกจากเดินตามรอยพ่อแม่ของมัน” เขาออกปากอย่างละเหี่ยใจ

“สมัยนี้คนหวังแต่ใช้เงินซื้อความสุขสบาย ไม่มีใครอยากลงแรงกันเลย ข้าราชการบางกลุ่มก็กลับทรยศบ้านเมืองตัวเอง” วิศวเทพโทออกปาก

“อันที่จริงก็มีคนให้สตินะ แต่คนในประเทศนี้เฉื่อยและประมาทสุดๆ ” วิศวเทพจัตวากล่าวเสริม “เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับความสงบสุขมากเกินไป”

“ถ้าเราจะดำเนินการเองโดยไม่คอยบัญชาจาก ฯพณฯ ผู้พิทักษ์โลก พวกท่านเห็นว่าอย่างไร ยินดีร่วมมือกับเราไหม ?” วิศวเทพเอกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ท่านคิดถึงวิธีการใดหรือ ?” วิศวเทพโทหันมามองหน้าผู้ตั้งคำถาม

“ล้างสีออกให้หมด” วิศวเทพเอกกล่าวอย่างหนักแน่น “แล้วตั้งกติกาการแบ่งสีเพื่อสร้างสีสันชีวิตกันใหม่”

“ไทแลนด์ตอนนี้กำลังมีศึกภายในเรื่องการแบ่งสีเสื้อกันเสียด้วยซีท่าน.....สมควรยิ่งนัก” วิศวเทพโทยิ้มเยือกเย็น

“ต้องจัดอภิมหาอุทกภัยให้อีกครั้ง” วิศวเทพตรีออกความเห็นบ้าง “จะได้สอนบทเรียนราคาแพงเรื่องความประมาทกับการแตกสามัคคี”

“ถูกต้อง แล้วต่อไป เราต้องให้คนขอพรได้เพียงสีเดียวเท่านั้น” วาทะของวิศวเทพเอกชัดเจนทั้งเสียงและความหมาย และหลังจากนั้น ทั้งสี่เทพก็สนทนากันต่อไปอีกในลักษณะออกไปทางเคร่งเครียด          


ประตูไม้สักสีน้ำตาลแก่ ด้านบนเจาะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก และมีอักษรไม้แกะสลักสีน้ำตาลอ่อนเรียงไว้เป็นข้อความว่า “นายกรัฐมนตรี” บัดนี้กำลังถูกเปิดจากภายใน ผู้ที่ก้าวออกมาก่อนคือ สตรีวัยสี่สิบห้าในชุดกระโปรงสีครีม เส้นผมสีดำสนิทของเธอยาวเคลียบ่า ผิวหน้าขาวนวลนั้นถูกแต่งแต้มอย่างประณีตด้วยเครื่องสำอางจากฝีมือผู้ชำนาญการ

ตำรวจหญิงในเครื่องแบบหนึ่งนายก้าวตามออกมาติดๆ ก่อนจะกระซิบบอกเธอว่า “พบสื่อที่ห้องโถงก่อนค่ะ”

อีกไม่กี่นาทีต่อมา ภาพที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์ทั่วประเทศก็คือ ใบหน้าของนายกรัฐมนตรีหญิงที่มีไมโครโฟนตั้งรออยู่ในระดับใต้คางไม่ต่ำกว่ายี่สิบตัว เธอพยายามตั้งใจฟังคำถามของนักข่าวและตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ

“พรุ่งนี้จะนำเข้าที่ประชุม ครม.เพื่อหารือร่วมกันก่อนค่ะ...จากรายงานของกรมชลประทานยืนยันค่ะว่า ยังรองรับน้ำได้อีกมาก คิดว่ามรสุมลูกใหม่นี่น่าจะ—เอาอยู่....เอาอยู่ค่ะ” เธอยิ้มหวานตบท้าย หันไปตามเสียงถามนำของสื่อมวลชนชายรายหนึ่ง

“ไม่ทราบว่ากรณีที่มีคนร้องเรียนเรื่องนายกฯไปทำธุระส่วนตัวที่ปิงปิงสตาร์ชั้นหกเมื่อสัปดาห์ก่อน ท่านจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไรครับ”

เธอไม่ตอบ ยังคงยิ้มหวานเช่นเดิม แล้วส่งสัญญาณมือแสดงอาการว่าจบการให้สัมภาษณ์ จากนั้นจึงรีบก้าวเท้าออกไปจากจุดยืนแถลงข่าวทันที…


  “พ่อ พ่อเชื่อนายกฯมั้ยว่าปีนี้น้ำจะไม่ท่วม” เด็กสาวปิดโทรทัศน์ก่อนจะหมุนตัวกลับมาพูดกับบิดาที่นั่งเก้าอี้ไม้ตรงข้ามกับจอภาพ

“แล้วลูกเชื่อหรือเปล่าล่ะ ?”
    
เด็กสาวทำสีหน้าประหลาดก่อนตอบ

“ไม่อยากเชื่อ...เพื่อนหนูที่อยู่ทางเหนือบอกว่าน้ำเหนือปีนี้แรงมากเลยพ่อ”  

“งั้นก็--ต้องช่วยกันเก็บของได้แล้วลูกเอ๊ย” พ่อถอนใจหนักๆ ก่อนหันไปดูข้าวของต่างๆ ภายในห้องโถงชั้นล่าง “อะไรที่ไม่น่าจะเกิด พ่อว่ามันก็อาจจะเกิดขึ้นได้คราวนี้แหละ”


ปีพุทธศักราช 2554

“กรงเทพ” มหานครของไทแลนด์เป็นข่าวไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี น้ำจากทิศเหนือของประเทศไหลบ่าลงมาสู่ทิศใต้ทุกทิศทาง พาให้เขตปริมณฑลรวมถึงหลายเขตของมหานครเอ่อท้นไปด้วยน้ำกับบรรดาเศษสวะที่ลอยติดตามกันมาอย่างมโหฬาร

ความไม่คุ้นชิน ความเครียด และความเดือดร้อนย่างสาหัสจากการเผชิญสภาวะน้ำหลาก ทำให้ชาวกรุงและย่านปริมณฑลโดยรอบหลายต่อหลายครอบครัวตัดใจทิ้งบ้านไปพำนักกับญาติ หรือไม่ก็เช่าบ้านพักอยู่ตามต่างจังหวัด ขณะที่อีกหลายพันคนจำยอมไปพักรวมกับเพื่อนร่วมชะตากรรมในที่ซึ่งทางการได้จัดสรรไว้ให้

เด็กชายเจ็ดขวบคนหนึ่งนั่งดูโทรทัศน์ร่วมกับเด็กๆ ในศูนย์พักพิงสำหรับผู้เดือดร้อนซึ่งคละวัยกันไปทั้งหญิงและชาย รายงานข่าวแจ้งให้ทราบว่ามีพื้นที่แห่งใดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้บ้าง เขามองที่ภาพเหล่านั้นและนึกไปถึงเพื่อนสนิทที่เคยเลี้ยงไอศกรีมแท่งเมื่อหลายวันก่อน

บ้านของคนที่ใจดีอย่างเพื่อนของเขาคนนั้นจะถูกน้ำท่วมอย่างบ้านของเขาไหมนะ...

ถ้าน้ำท่วมบ้าน-แล้วเพื่อนของเขาจะไปอยู่ที่ไหน...

และตำรวจคนนั้น คนที่เคยซื้อรถบังคับวิทยุให้ จะเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนของเขาบ้างไหม...


เด็กน้อยหลับไปในคืนนั้นพร้อมคำถามในใจ ก่อนที่จะได้รับรู้ในอีกหนึ่งเดือนต่อมาซึ่งเป็นยามที่น้ำลดและสิ่งต่างๆ กำลังคืนกลับสู่สภาวะปกติว่า เพื่อนผู้ใจดีของเขาต้องกำพร้าพ่อเสียแล้ว เพราะพ่อของเขาถูกไฟฟ้าดูดตอนที่เตรียมตัวเดินทางหนีน้ำจากบ้านหลังใหญ่เพื่อไปอยู่กับญาติที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ และที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับเด็กชายอย่างเขาในเวลานั้นก็คือ เพื่อนใจดีคนนี้ไม่ได้กลับมาเรียนที่เดิมร่วมกับเขาอีกแล้ว


(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่