***ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร:ตอนที่ 4 สงครามเริ่มอุบัติ ***

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ตอนที่ 4 สงครามเริ่มอุบัติ


             เหนือผืนแผ่นดินขึ้นไปบนดินแดนแห่งความสงบสุขและร่มเย็นสถานที่ที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่หลายคนต่างเรียกขานสถานีที่แห่งนี้ว่าสรวงสวรรค์ แต่ใครเลยจะรู้ว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และไม่สงบสุขอย่างที่ทุกคนเข้าใจ
    
              ซากปรักหักพังของเสาหินที่เกาะสลักไว้อย่างสวยงาม ถูกหักโคนลงมากองที่พื้นเกลื่อนกลาดเต็มราชวังแห่งเทพ รูปสลักหินอ่อนของบรรพบุรุษทวยเทพถูกทำลายย่อยยับไม่เหลือซาก กำแพงเมืองถูกทำลาย เปลวเพลิงพัดโหมกระหน่ำจู่โจมแผดเผาทำลายราชวังหมดสิ้น ควันสีขาวขุ่นลอยล่องปกคลุมท้องฟ้ากลิ่นเหม็นไหม้และกลิ่นคาวเลือดปะปนคลุ้งเคล้ากัน

    สถานที่ที่สวยงามแห่งเทพไม่หลงเหลือให้เห็นอีกต่อไปแล้ว นับแต่นี้มีเพียงความน่ากลัวสยดสยองที่ปกคลุมไปด้วยศพของเหล่าเทพและพวกไพรทั่มสมุนของจอมมารสูบวิญญาณ จอมมารมันคิดการใหญ่หวังจะยึดครองอาณาจักรของเหล่าทวยเทพทั้งปวง มันสะสมกำลังคนของมันไว้มากเพื่อทำการนี้ แล้วนำกำลังของตนบุกเข้าโจมตีโดยที่เหล่าเทพไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยแผนการที่แยบยลของมัน

    พวกไพรทั่มบุกเข้าฟาดฟันกับเหล่าเทพอย่างดุเดือด พละกำลังของพวกมันมากมายเกินคาดหมาย เทพหลายตนแพ้พ่ายแก่มันแต่ไม่มีใครล้าถอย เทพทุกตนยอมสู้จนชีพวายแกว่งดาบปะทะฟาดฟันกับศัตรู เสียงจาการต่อสู้ดังสนั่นหวั่นไหวไปทุกย่างก้าว
พวกไพรทั่มมีมากเกินกว่าที่พวกเทพจะต้านทานไหว เสียงกรีดร้องโกรธแค้นของเหล่าทวยเทพดังกึกก้องทั่วท้องนภา นั่นยิ่งทำให้พวกไพรทั่มฮึกเหิมภาคภูมิใจในความสามารถของตนที่สามารถสร้างความตื่นตกใจแก่ศัตรูผู้เป็นเทพได้

“ยิ่งฆ่ามันดูเหมือนพวกมันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

เทพสาวดารันที่อยู่ในชุดอาภรณ์สีเหลืองกระโปรงพลิ้วไหวยาวทั้งพื้น กำลังปะทะดาบต่อสู้กับไพรทั่มอย่างดุเดือด ตะโกนร้องบอกเทพหนุ่มสองตนที่กำลังสกัดกั้นมิให้ไพรทั่มบุกเข้ามาทางประตูที่เป็นเส้นทางมุ่งไปยังที่พักของอัสติอัล ประมุขของเหล่าเทพที่ทรงประชวรอยู่

“สกัดกั้นมันไว้อย่าให้มันเข้าไปได้เด็ดขาด แม้มันจะมามากมายเพียงใดข้าจะสู้จนตัวตาย”

เสียงทุ้มห้าวของเทพหนุ่มไมค์ที่อยู่ในชุดอาภรณ์สีขาวพูดขึ้นก่อนจะหันหลังเข้าชนกันกับเทพสาว พอเอ่ยจบเทพหนุ่มก็จวงดาบแทงเข้ากลางลำตัวของไพรทั่มปลิดชีพมันไปหนึ่ง ไม่ทันให้ได้พัก ไพรทั่มสามตนบุกทะยานเข้ามาฟาดฟันปะทะดาบกันอีกครั้ง แรงปะทะดาบดุดันเหี้ยมโหดของอีกฝ่าย ทำให้ไมค์ต้องกระโดดหลบหลีกคอยเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว

ฝ่ายเทพสาวดารันเพลี่ยงพล้ำให้แก่ไพรทั่ม เธอล้มลงไปกองที่พื้นและต้องกลิ้งกายอยู่บนพื้นหินคอยหลบหลีกดาบแหลมคมของไพรทั่มที่ฟาดฟันใส่เธอแบบไม่หยั่ง ดาบของเธอหลุดมือไปอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง

เทพหนุ่มอีกตนนามออเด็ม เห็นท่าไม่ดีของฝ่ายเทพสาวจึงพุ่งตนเข้ามาปกป้องต่อสู้กับไพรทั่มตนนั่นอย่างดุเดือด ดารันได้โอกาสหนีจึงกลิ้งกายหลบออกมาแล้วรีบวิ่งไปหยิบดาบตนเอง ทันทีที่เธอหันกลับมา ดาบในมือของไพรทั่มก็ปาดเข้าที่คอของออเด็มเลือดสีแดงบริสุทธิ์พุ่งไหลออกมาจากคอ

    “ออเด็ม” เสียงกรีดร้องของดารันและไมค์ดังกลบเสียงปะทะดาบไปทันที

    ดารันพุ่งตนเข้าหาศัตรูด้วยแรงโกรธแค้นที่ฝังอยู่ในอก พร้อมน้ำใสๆที่เปียกชื่นรอบดวงตาของเธอไม่ใช่ปัญหาในการสังหารไพรทั่มตนนี้ เธอไม่มีเวลามาคิดว่าต้องปาดน้ำตาให้แห้งเสียก่อน  ร่างของเทพสาวมุ่งตรงใส่ศัตรูในมือกำดาบมั่น หมายมั่นจะปลิดชีพไพรทั่มตนนี้ด้วยมือตนเอง เทพสาวกลับมาปะทะประดาบกลับมันอีกครั้ง แรงแค้นที่ฝังแน่นในใจยิ่งทำให้เธอมีพละกำลังเพิ่มมากขึ้น  ไม่นานเกินรอเทพสาวบั่นหัวไพรทั่มขาดหลุดล่วงลงพื้นพร้อมกับร่างกายที่ไร้ศีรษะของมันก็ล้มตึงลงไปทันที

     ดารันยืนมองร่างนั่นด้วยแววตาโกรธแค้นฝังลึก แม้ฆ่ามันได้แต่ก็มิได้ทำให้สหายรักพื้นคืนมา ดารันพาใจเหม่อลอยจนไม่ทันระวังตัวไพรทั่มตนหนึ่งพุ่งเสียบแทงดาบจากด้านหลังทะลุไปจนถึงด้านหน้า เลือดในกายของเธอไหลทะลักออกมาอาบทั่วตัว ก่อนลมหายใจจะดับสิ้นนางเหลียวไปมองไมค์ที่นอนจมกองเลือดไปพร้อมกับพวกไพรทั่มอีกสี่ตน

    ไพรทั่มสามตนชูดาบขึ้นฟ้าโห่ร้องก้องดีใจในชัยชนะของตน พร้อมการย่างกรายเข้ามาของนายมัน จอมมารมองดูผลงานของลูกน้องอย่างพึงพอใจ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวานเยือกเย็น

    “ตามหาอัสติอัลและลูกของมันให้เจอแล้วสังหารมันซะ” จอมมารออกคำสั่งแก่ลูกน้อง ไพรทั่มสามตนค้อมศีรษะรับคำสั่งแล้วต่างแยกย้ายกันตามหาเป้าหมายเดียวที่พวกมันต้องการ

    ในห้องบรรทมประมุขแห่งเทพ อัสติอัลยืนมองลูกชายวัยสามเดือนที่นอนหลับใหลอยู่ในเปลด้วยความรักและหวงแหน เขาจะปกป้องลูกชายตัวน้อยนี้เท่าชีวิตมือข้างหนึ่งของเขากำดาบไว้แน่น เตรียมพร้อมสู้กับจอมมารทุกเมื่อ

    “เจ้าจงพาลูกหนีไป ทางนี้เราจัดการเอง” อัสติอัลเอ่ยกับมเหสีของตนที่ยืนอยู่ข้างกาย มเหสีขยับกายเข้ามาใกล้สามีมือหนึ่งยื่นไปกุมมือคนรักไว้สายตาจับจ้องมองลูกชายตัวน้อย

    “หากแม้ต้องตายก็จะตายด้วยกัน ข้าจะขอสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับท่าน” มเหสีมีอาเอ่ยกับผู้เป็นสามีน้ำเสียงหนักแน่นไร้ความหวาดกลัวต่อเหล่าศัตรู
    อัสติอัลหันกายมาประชัดหน้ากับมีอาคนรักของตน ตาสบประสานกันอย่างรู้ความใน ความเจ็บปวดในหัวใจของผู้เป็นสามีที่มิอาจปกป้องบ้านเมืองไว้ได้ และความห่วงใยที่มีต่อลูกเมียก็ยิ่งหนักในดวงใจมิอาจปล่อยให้ทั้งสองเป็นอะไรไปได้  มีอาเข้าใจผู้เป็นสามีดีและไม่อาจจะทิ้งสามีเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว

    “เจ้าต้องพาลูกหนีไปมีอา เจ้าต้องปกป้องลูก เลี้ยงดูมันให้เติบใหญ่ หากเป็นเช่นดั่งคำทำนายลูกชายเราจะเป็นผู้เดียวที่สามารถปราบจอมมารสูบวิญญาณให้ดับสิ้นไปชั่วกัปชั่วกาล”อัสติอัลเอ่ยกับมเหสีของตน

    “หากเป็นเช่นนั้นจริงลูกของเราจะอยู่รอดปลอดภัยจนเติบใหญ่ แล้วกลับมาจัดการกับจอมมารให้สิ้นซาก ข้าไม่ต้องห่วงลูกแล้ว  แต่ท่าน..ข้าห่วงท่านยิ่งนักหากท่านตายไปชีวิตข้าคงไร้ซึ่งความสุข ข้าจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีท่าน ข้าขอสู้จนตัวตายตามคนที่ข้ารัก” มเหสีมีอาน้ำเสียงสั่นคลอน้ำใสเอ่อนองรอบดวงตา นางก้มลงค่อยๆซ้อนเด็กทารกน้อยขึ้นมาอุ้มกอดไว้แนบอกแล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของบุตรชาย

    “แม่รักเจ้านะไคลน์” นางเอ่ยกระซิบแผ่วเบาข้างหูบุตรชาย

    “เจ้าต้องหนีไปกับลูก ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรเด็ดขาด” อัสติอัลเอ่ยเสียงดัง ก่อนจะหันไปทางทหารเอกที่ยืนกั้นทางเข้าอยู่หน้าประตู

    “กอลดันพามเหสีกับองค์ชายหนีไป” อัสติอัลหันไปบอกกับทหารเอก แต่มเหสีมีอาไม่ทรงเห็นด้วย นางเดินมาหยุดที่หน้าทหารแล้วพูดกับทหารที่เฝ้าประตู

    “กอลดันเจ้าจงพาลูกข้าหนีไป ปกป้องมันเฉกเช่นมันเป็นบุตรของท่าน พามันไปให้ไกลจากนี้ไปยังดินแดนแห่งมนุษย์ ซ่อนมันไว้จากพวกเทพพวกมารทั้งปวงและไม่ต้องบอกอะไรแก่มันทั้งนั้นจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะ เลี้ยงมันให้มันเป็นมนุษย์” น้ำเสียงหนักแน่นของมเหสีมีอากล่าวกับทหารเอก น้ำใสๆในดวงตาเหือดแห้งไปหมดสิ้น นางยื่นบุตรชายที่อยู่ในอ้อมกอดให้ทหารไป

กอลดัน ราซานโอบอุ้มรับองค์ชายน้อยมาไว้ในอ้อมแขน เขาก้มลงมององค์ชายน้อยที่ยังหลับใหลด้วยความรักและเอ็นดู

“ไป ไปได้แล้ว ก่อนจอมมารจะมาเจอ” มเหสีมีอาเอ่ยปากไล่ทหารเอก กอลดันไม่อยากทิ้งทั้งสองไว้ลำพัง เขาอยากจะอยู่ต่อสู้กับองค์ประมุขตายเคียงคู่กับทั้งสอง แต่สิ่งที่อยู่ในอ้อมขนของเขานี่ก็สำคัญยิ่งนัก กอลดันสองจิตสองใจอยากอยู่สู้กับนายอีกใจก็อยากปกป้ององค์ชาย เขาลังเลที่จะหนีไปเพียงลำพังแล้วปล่อยให้ทั้งสองต่อสู้กับเหล่ามาร

“นี่เป็นคำสั่ง” อัสติอัลเอ่ยขึ้นเสียงดังเมื่อเห็นท่าทีทหารเอกไม่อยากหนี

“ขอรับ ดูแลพระองค์ด้วย”กอลดันตอบเพียงแค่นั่น เขาค้อมศีรษะเคารพทั้งสองก่อนจะรีบวิ่งจากไปยังทางลับที่เขาชำนาญทางโดยมีองค์ชายน้อยอยู่ให้อ้อมแขน    




                เหล่าทหารทั้งสิบสองคนควบม้าเดินไปตามเส้นทางที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยป่าไม้ทั้งสองข้างทางเดินกิ่งไม้แผ่ปกคลุมท้องฟ้าจนดูเหมือนท้องฟ้ามืดมิดตลอดเวลาทั้งที่เป็นช่วงกลางวัน สายลมพัดกระทบโสตประสาทหูเสียงดังหวู่ๆ ความหนาวเย็นความเงียบงันเกิดขึ้นตลอดเส้นทางไม่มีแม้แต่ผู้คนที่ออกหาของป่า ไม่มีแม้แต่เสียงสิงสาราสัตว์ที่ส่งเสียงร้องเหมือนอย่างป่าทั่วๆไป ทุกอย่างดูวังเวงน่ากลัวจะได้ยินก็เพียงเสียงใบไม้ร่วงหล่นลงพื้นดิน
เสียงกิ่งไม้เสียดสีถาดถูกันไปมา แม้ท้องฟ้าจะดูสว่างไสวแต่บนพื้นดินหาได้เป็นเช่นนั้นมีเพียงความว่างเปล่ากับเหล่าคณะเดินทางนักรบผู้กล้า ที่ควบม้าเดินย่างสุมอย่างช้าๆ

“เกิดอะไรขึ้นทำไมผืนป่าแห่งนี้ถึงได้เงียบงัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ข้าจำได้ว่าที่แห่งเป็นแหล่งหาอาหารของชาวบ้านรวมทั้งสัตว์ป่าก็มีมากมาย แต่ตอนนี้แม้แต่นกซักตัวข้ายังไม่เห็นเลย”ไฟย่ากล่าวขึ้นทำลายความเงียบ

“ใช่..มันเกิดอะไรขึ้น” ไคลน์เสริมต่อ แล้วทุกคนต่างกวาดสายตามองไปรอบๆพื้นป่าอย่างสงสัย

    เจ้าหญิงทอรีเนียกระโดดลงจากหลังม้าอย่างว่องไว ดูเหมือนมิใช่เด็กตัวเล็กอย่างที่เห็นเลยแม้แต่นิด เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้นอส เซียมิคา ลูสและเหล่าทหารผ้าคลุมสีเหลืองก็ทำตามเจ้าหญิง ทุกคนเดินตรงไปยังต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้างขวาง

             เจ้าหญิงทอรีเนียเดินไปหยุดอยู่ภายในต้นไม้ใหญ่นี่เพียงลำพัง โดยมีเหล่าทหารคอยยืนอยู่ห่างๆ เจ้าหญิงทอรีเนียยื่นมือของตนสัมผัสกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ไม่นานเกิดเสียงกิ่งไม้เสียดสีถาดถูกกันไปมาอย่างบ้าคลั่ง สายลมพัดเอาเศษใบไม้ปลิวว่อนทั่วท้องฟ้า ลมเย็นพัดเข้ากระทบร่างกายของคณะเดินทางทุกส่วนประสาท  
             ลมพัดแรงขึ้นจนเหล่าทหารของเจ้าชายฟาดาเฟียต้องจับม้าของตนไว้แน่น มิเช่นนั้นอาจปลิวไปพร้อมกับลมก็เป็นได้
เสียงม้าทุกตัวโก่ร้องดังทั่วท้องป่า เจ้าหญิงทอรีเนียถูกใบไม้ปลิวลอยขึ้นมาพันรอบร่างกาย ทุกคนต่างจับตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความแปลกใจ ไม่นานบรรยากาศกลับกลายมาเป็นปกติดังเดิม เจ้าหญิงทอรีเนียเดินออกมาจากใต้ต้นไม้ด้วยแววตาที่นิ่งเฉย แต่ก็ยังดูออกว่ามีความกังวลปรากฏบนใบหน้า

    “ท่านหญิงมีเรื่องใดหรือขอรับ” ลูสเอ่ยถามเจ้าหญิงทอรีเนียด้วยความกังวล เจ้าหญิงทอรีเนียได้แต่กวาดสายตามองทุกคนอย่างเยือกเย็นพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า

    “สงครามก่อตัวขึ้นแล้ว” เจ้าหญิงทอรีเนียพูดเสียงดังฟังชัด จนผู้ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับถอดสีหน้าตกใจ

    “เป็นเรื่องราวอะไรกัน ท่านพอจะบอกได้หรือไม่” เคียลูสถามเจ้าหญิงทอรีเนียด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน

    “เหล่าต้นไม้บอกแก่ข้าว่าอสูรจอมมารสูบวิญญาณได้สร้างกองทัพขึ้นมาใหม่เพื่อที่มันจะยึดครองโลกมันส่งทหารเหล่านี้ออกไปเข็ญฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกพื้นที่อย่างเงียบๆ สัตว์ที่อยู่ในป่าแห่งนี้ต่างโดนพวกไพรทั่มฆ่าตายจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ มันกำลังทำสงครามที่จะล้างเหล่าเผ่าพันธุ์ทุกสรรพสิ่ง” เจ้าหญิงทอรีเนียกล่าว

    “เป็นแบบนี้พวกเราจะทำอย่างไร” เฟสรเอ่ยขึ้น

    “ลำพังแค่มนุษย์อย่างพวกเจ้ามิสามารถสู้กับพวกมันได้ดอก อสูรร้ายมันยังรวมมือกับเหล่าพ่อมดแม่มดฝ่ายมืดอีก ตอนนี้มันมีกำลังมากมายที่จะเข้าทำลายล้างบ้านเมืองให้ดับสลายไปในชั่วพริบตา” เจ้าหญิงทอรีเนียว่าต่อ ทุกคนที่ได้ฟังต่างแสดงสีหน้าที่เคร่งเครียดแม้แต่ไฟย่าเองที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาถึงตอนนี้นางกลับมีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

    “เราต้องแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้เจ้าชายฟาดาเฟียได้ทราบ ให้พระองค์ได้บอกกล่าวกับเจ้าเมืองท่านอื่นๆ และขอความร่วมมือเพื่อทำสงคารมกับเหล่าอสูรร้าย”เคียลูสพูดขึ้น

    “สิ่งนี้พวกเจ้าสมควรทำเป็นยิ่ง” เจ้าหญิงทอรีเนียกล่าวเสริม เคียลูสยกสร้อยรูปนกอินทรีย์ขึ้นมาเป่า เสียงเป่าเรียกนกพิราบส่งข่าวดังไปทั่วท้องป่าไม่นานเจ้านกพิราบสีขาวก็บินลงร่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ ยังไม่ทันที่จะเกาะบนแขนของเคียลูส
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่